ASTVผู้จัดการรายวัน-“คมนาคม” เร่งชง สผ.เคาะ EIA รถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพ- แก่งคอย ,แก่งคอย-มาบตาพุด ,แก่งคอย -โคราช, โคราช-หนองคาย ทั้งโครงการในเดือน ส.ค. แบ่งก่อสร้าง 4 สัญญา จ่อประมูลพิเศษเลือกผู้รับเหมาไทยรับงานโยธา 70% ตั้งเป้าทำพิธีเปิดเริ่มต้นก่อสร้าง 23 ต.ค.58 ที่แก่งคอย
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมรถไฟไทย-จีนครั้งที่ 5ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกการประชุมร่วมกับ Mr.Wang Xiaotao หัวหน้าคณะฝ่ายจีน วานนี้ (2 ก.ค.) ว่า การทำข้อตกลงกรอบการทำงาน (Frame Work Agreement) นั้น จะมีการตั้งคณะทำงาน 2 ฝ่ายขึ้นพิจารณาความเหมาะสมและเนื้อหาของการทำงาน โดยกรอบจะแล้วเสร็จได้ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ จากนั้นจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในวันที่ 10 ก.ย. พิจารณาก่อนลงนาม
โดยโครงการ รถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพ- แก่งคอย ,แก่งคอย-มาบตาพุด ,แก่งคอย -โคราช, โคราช-หนองคาย ระยะทาง 873 กิโลเมตร (กม.) จะดำเนินการสำรวจ ออกแบบรวดเร็วกว่าโครงการทั่วไป เพราะมีแนวเส้นทางรถไฟเดิม และมีการศึกษาไว้ก่อนแล้ว
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบเส้นทางรถไฟ สปป.ลาว-จีน เส้นทางในประเทศลาวระยะทาง 471 กม. ใช้เวลาในการสำรวจมากถึง 2 ปี เนื่องจากไม่มีแนวเส้นทางรถไฟเดิม และเส้นทางผ่านพื้นที่ป่าแลภูเขาเขากว่า 70% ดังนั้น ไทยใช้ข้อมูลเดิมประกอบการใช้เทคโนโลยีการสำรวจใหม่ทำให้รวดเร็วขึ้น จาก 1 ปี เหลือ 6 เดือนเท่านั้น
ส่วนหลักการก่อสร้าง จะแบ่งเป็น 4 สัญญา คือ สัญญา 1 (ช่วงกรุงเทพ- แก่งคอย) สัญญา 2 (ช่วง แก่งคอย-มาบตาพุด) สัญญาที่ 3 (ช่วงแก่งคอย -โคราช) และสัญญาที่ 4 (ช่วง โคราช-หนองคาย) โดยจะแบ่งทีมก่อสร้างออกเป็น 2 คู่ คือ สัญญา 1 ,3 และสัญญา 2,4 เพื่อสามารถเปรียบเทียบผลงานและมาตรฐานกันได้ โดยจีนจะส่ง 2 ทีมมาก่อสร้าง
สำหรับส่วนของผู้รับเหมาไทย ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว จะรับผิดชอบงานก่อสร้างพื้นราบสัดส่วนประมาณ 70% ส่วนผู้รับเหมาจีนจะก่อสร้างทางผ่านภูเขาและสะพาน สัดส่วนประมาณ 30% ซึ่งคาดว่าจะประกวดราคาได้ในเดือนก.ย.นี้ เพื่อเริ่มก่อสร้างใน ต.ค. โดยอาจจะต้องใช้วิธีพิเศษ แต่จะต้องให้มีความโปร่งใสมากที่สุด
พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA ) จะต้องได้รับอนุมัติทั้งโครงการก่อนลงมือก่อสร้าง โดยขณะนี้ได้เสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) พิจารณาผลการศึกษา EIA ในส่วนของโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-หนองคายเดิม ส่วนบางตอนที่มีการเปลี่ยนแนว หรือสถานีเพิ่ม ซึ่งเป็นข้อมูลใหม่จะต้องนำเสนอเพิ่มเติม ซึ่งจะมีไม่เกิน 15% ของเนื้องานทั้งหมด คาดว่าจะเสนอ สผ. และได้รับการพิจารณาในส.ค.
สำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงใหญ่จะใช้ที่แก่งคอย จ.สระบุรี เนื่องจากมีพื้นที่มากและอยู่ในแนวเส้นทางจะมีความสะดวก ส่วนศูนย์ควบคุมการเดินรถ (OCC) จะอยู่ที่เชียงรากน้อย
“จะมีบางช่วงที่มีการเบี่ยงเส้นทางจากเดิม และเพิ่มสถานีใหม่ โดยจะไม่ให้กระทบต่อการเวนคืนมากเกินไปและไม่กระทบสิ่งแวดล้อมเกินไป หากมากไปจะพยายามดึงกลับมาใช้แนวเดิม ส่วนมูลค่าโครงการ ตามการศึกษาเดิมที่เป็นรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-หนองคายนั้น อยู่ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ขณะนี้เป็นรถไฟทางคู่ ขนาดรางมาตรฐาน 1.345 เมตร ความเร็วปานกลาง โดยการศึกษาผ่านมา 2 ปีเศษแล้ว และมีบางช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มสถานี และเส้นทางเพิ่มเติม ปัจจัยสภาพดิน ดังนั้น มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อประมาณการณ์ค่าก่อสร้างงานโยธาที่จะปรับไป ซึ่งต้องรอผลสำรวจออกแบบจบก่อนในเดือนส.ค.นี้ ”พล.อ.อ.ประจินกล่าว
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า รถไฟทางคู่ขนาด 1.435 เมตร รถจะเป็นระบบไฟฟ้า ความเร็วปานกลาง ดังนั้น จะก่อสร้างเป็นทางคู่ใหม่ในพื้นที่เขตทางรถไฟ ไม่สามารถใช้ทางร่วม หรือแชร์แทร็กกับรถไฟทางคู่ ขนาดราง 1 เมตร ซึ่งใช้รถดีเซลได้ แต่ในอนาคตภายในปี 2575 รถไฟจะต้องปรับจากดีเซลเป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมด ดังนั้น จะต้องมีการวางแผนในการเชื่อม 3 ระบบที่กลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์ คือ ราง 1.435 รถไฟไทย-จีน ราง 1.435 รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-เชียงใหม่ ความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น และรถไฟขนาดราง 1 เมตรที่มีอยู่เดิม อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ระบบอาณัติสัญญาณของจีน แต่จะต้องศึกษาว่าระบบของจีน เป็น ระบบเปิด (Open System) เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนผ่านและใช้เทคโนโลยีที่ต่อเนื่องกันได้ทุกประเทศ
อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดตารางการประชุมว่า ในครั้งที่ 7 ว่าจะต้องสรุปเงื่อนไขและข้อตกลง ด้านการเงิน รูปแบบการลงทุน งานสำรวจ ช่วงที่ 1และ 3 งาน EIA ช่วงที่ 1 และ 3 งานเวนคืนแล้วเสร็จคาดว่าจะเป็นช่วง วันที่ 28-30 ส.ค.2558 และมีการลงนามใน Frame Work Agreementวันที่ 10 ก.ย.2558 ดำเนินการร่างสัญญาการก่อสร้าง ช่วง 11 ก.ย.-19 ต.ค. ลงนามสัญญาก่อสร้าง 20 ต.ค. 2558 เพื่อทำพิธีเปิดโครงการก่อสร้าง ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี วันที่ 23 ต.ค.2558
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมรถไฟไทย-จีนครั้งที่ 5ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกการประชุมร่วมกับ Mr.Wang Xiaotao หัวหน้าคณะฝ่ายจีน วานนี้ (2 ก.ค.) ว่า การทำข้อตกลงกรอบการทำงาน (Frame Work Agreement) นั้น จะมีการตั้งคณะทำงาน 2 ฝ่ายขึ้นพิจารณาความเหมาะสมและเนื้อหาของการทำงาน โดยกรอบจะแล้วเสร็จได้ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ จากนั้นจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในวันที่ 10 ก.ย. พิจารณาก่อนลงนาม
โดยโครงการ รถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพ- แก่งคอย ,แก่งคอย-มาบตาพุด ,แก่งคอย -โคราช, โคราช-หนองคาย ระยะทาง 873 กิโลเมตร (กม.) จะดำเนินการสำรวจ ออกแบบรวดเร็วกว่าโครงการทั่วไป เพราะมีแนวเส้นทางรถไฟเดิม และมีการศึกษาไว้ก่อนแล้ว
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบเส้นทางรถไฟ สปป.ลาว-จีน เส้นทางในประเทศลาวระยะทาง 471 กม. ใช้เวลาในการสำรวจมากถึง 2 ปี เนื่องจากไม่มีแนวเส้นทางรถไฟเดิม และเส้นทางผ่านพื้นที่ป่าแลภูเขาเขากว่า 70% ดังนั้น ไทยใช้ข้อมูลเดิมประกอบการใช้เทคโนโลยีการสำรวจใหม่ทำให้รวดเร็วขึ้น จาก 1 ปี เหลือ 6 เดือนเท่านั้น
ส่วนหลักการก่อสร้าง จะแบ่งเป็น 4 สัญญา คือ สัญญา 1 (ช่วงกรุงเทพ- แก่งคอย) สัญญา 2 (ช่วง แก่งคอย-มาบตาพุด) สัญญาที่ 3 (ช่วงแก่งคอย -โคราช) และสัญญาที่ 4 (ช่วง โคราช-หนองคาย) โดยจะแบ่งทีมก่อสร้างออกเป็น 2 คู่ คือ สัญญา 1 ,3 และสัญญา 2,4 เพื่อสามารถเปรียบเทียบผลงานและมาตรฐานกันได้ โดยจีนจะส่ง 2 ทีมมาก่อสร้าง
สำหรับส่วนของผู้รับเหมาไทย ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว จะรับผิดชอบงานก่อสร้างพื้นราบสัดส่วนประมาณ 70% ส่วนผู้รับเหมาจีนจะก่อสร้างทางผ่านภูเขาและสะพาน สัดส่วนประมาณ 30% ซึ่งคาดว่าจะประกวดราคาได้ในเดือนก.ย.นี้ เพื่อเริ่มก่อสร้างใน ต.ค. โดยอาจจะต้องใช้วิธีพิเศษ แต่จะต้องให้มีความโปร่งใสมากที่สุด
พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA ) จะต้องได้รับอนุมัติทั้งโครงการก่อนลงมือก่อสร้าง โดยขณะนี้ได้เสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) พิจารณาผลการศึกษา EIA ในส่วนของโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-หนองคายเดิม ส่วนบางตอนที่มีการเปลี่ยนแนว หรือสถานีเพิ่ม ซึ่งเป็นข้อมูลใหม่จะต้องนำเสนอเพิ่มเติม ซึ่งจะมีไม่เกิน 15% ของเนื้องานทั้งหมด คาดว่าจะเสนอ สผ. และได้รับการพิจารณาในส.ค.
สำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงใหญ่จะใช้ที่แก่งคอย จ.สระบุรี เนื่องจากมีพื้นที่มากและอยู่ในแนวเส้นทางจะมีความสะดวก ส่วนศูนย์ควบคุมการเดินรถ (OCC) จะอยู่ที่เชียงรากน้อย
“จะมีบางช่วงที่มีการเบี่ยงเส้นทางจากเดิม และเพิ่มสถานีใหม่ โดยจะไม่ให้กระทบต่อการเวนคืนมากเกินไปและไม่กระทบสิ่งแวดล้อมเกินไป หากมากไปจะพยายามดึงกลับมาใช้แนวเดิม ส่วนมูลค่าโครงการ ตามการศึกษาเดิมที่เป็นรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-หนองคายนั้น อยู่ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ขณะนี้เป็นรถไฟทางคู่ ขนาดรางมาตรฐาน 1.345 เมตร ความเร็วปานกลาง โดยการศึกษาผ่านมา 2 ปีเศษแล้ว และมีบางช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มสถานี และเส้นทางเพิ่มเติม ปัจจัยสภาพดิน ดังนั้น มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อประมาณการณ์ค่าก่อสร้างงานโยธาที่จะปรับไป ซึ่งต้องรอผลสำรวจออกแบบจบก่อนในเดือนส.ค.นี้ ”พล.อ.อ.ประจินกล่าว
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า รถไฟทางคู่ขนาด 1.435 เมตร รถจะเป็นระบบไฟฟ้า ความเร็วปานกลาง ดังนั้น จะก่อสร้างเป็นทางคู่ใหม่ในพื้นที่เขตทางรถไฟ ไม่สามารถใช้ทางร่วม หรือแชร์แทร็กกับรถไฟทางคู่ ขนาดราง 1 เมตร ซึ่งใช้รถดีเซลได้ แต่ในอนาคตภายในปี 2575 รถไฟจะต้องปรับจากดีเซลเป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมด ดังนั้น จะต้องมีการวางแผนในการเชื่อม 3 ระบบที่กลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์ คือ ราง 1.435 รถไฟไทย-จีน ราง 1.435 รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-เชียงใหม่ ความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น และรถไฟขนาดราง 1 เมตรที่มีอยู่เดิม อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ระบบอาณัติสัญญาณของจีน แต่จะต้องศึกษาว่าระบบของจีน เป็น ระบบเปิด (Open System) เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนผ่านและใช้เทคโนโลยีที่ต่อเนื่องกันได้ทุกประเทศ
อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดตารางการประชุมว่า ในครั้งที่ 7 ว่าจะต้องสรุปเงื่อนไขและข้อตกลง ด้านการเงิน รูปแบบการลงทุน งานสำรวจ ช่วงที่ 1และ 3 งาน EIA ช่วงที่ 1 และ 3 งานเวนคืนแล้วเสร็จคาดว่าจะเป็นช่วง วันที่ 28-30 ส.ค.2558 และมีการลงนามใน Frame Work Agreementวันที่ 10 ก.ย.2558 ดำเนินการร่างสัญญาการก่อสร้าง ช่วง 11 ก.ย.-19 ต.ค. ลงนามสัญญาก่อสร้าง 20 ต.ค. 2558 เพื่อทำพิธีเปิดโครงการก่อสร้าง ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี วันที่ 23 ต.ค.2558