ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท.จับมือราชบุรีฯเซ็นเอ็มโอยู 3 ฉบับลุยธุรกิจพลังงานในอาเซียน คาดใช้เงินลงทุนรวม 9.4หมื่นล้านบาทตั้งคลังแอลเอ็นจีลอยน้ำชั่วคราวและโรงไฟฟ้าถ่านหินในเมียนมา รวมทั้งผุดโรงไฟฟ้าที่อินโดนีเซียและเวียดนาม
วานนี้ (24 มิ.ย.) นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนโครงการด้านพลังงานระหว่างกลุ่มปตท.กับบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนโครงการด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รองรับความต้องการใช้พลังงานของประเทศและเสริมความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคต
โดยการบันทึกลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้มี 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 บันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เพื่อศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการLNG Receiving Terminal ในเมียนมารวมถึงโอกาสในการจัดแหล่งก๊าซธรรมชาติให้กับโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ
ฉบับที่ 2 บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท พีทีที เอ็นเนอร์ยี่ รีซอร์สเซส และบมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีฯ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในเมียนมา และฉบับที่ 3 บันทึกความเข้าใจระหว่างบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ และบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีฯเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในอินโดนีเซีย และโครงการโรงไฟฟ้าและสาธารณูปโภคในตอนกลางประเทศเวียดนาม
นายพงษ์ดิษฐ พจนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง กล่าวว่า ความร่วมมือกับกลุ่มปตท.ครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จเบื้องต้น และยังแสดงถึงบทบาทขององค์กรธุรกิจใหญ่ที่เป็นต้นแบบในการผนึกกำลังกันเป็นแบบทีมไทยแลนด์ เพื่อแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่ในต่างประเทศซึ่งการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มปตท. เชื่อว่าจะสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตขององค์กรต่อไปได้
โดยมูลค่าการลงทุนของโครงการต่างๆที่ลงนามเอ็มโอยูทั้ง 3 ฉบับกับกลุ่มปตท.คิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 2,850 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 9.4 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย โครงการความร่วมมือในเรื่องคลังแอลเอ็นจีชั่วคราว(FSRU) ในเมียนมา เฟสแรก 3 ล้านตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยราชบุรีฯจะถือหุ้น 25-30% ที่เหลือถือหุ้นโดยปตท.และผู้ร่วมทุนอื่น ซึ่งถือเป็นโครงการเร่งด่วนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ
นอกจากนี้ ยังศึกษาร่วมกันที่จะลงทุนFSRU ระยะที่ 2 อีก 7 ล้านตัน/ปี รองรับอีก 6-7 ปีข้างหน้าที่ปริมาณแหล่งก๊าซในเยตากุลและยาดานาจะเริ่มลดลง คาดจะลงทุนอีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยโครงการนี้ไม่อยู่ในงบการลงทุนที่เซ็นเอ็มโอยูดังกล่าว โดยโครงการนี้นอกจากจะส่งก๊าซมาไทยแล้วยังจำหน่ายในเมียนมาด้วย
นายพงษ์ดิษฐ กล่าวต่อไปว่า ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เชียงตุง ในประเทศเมียนมา กำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยราชบุรีฯถือหุ้น 50% ปตท. 40% ที่เหลือเป็นผู้ร่วมทุนท้องถิ่นโดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้คาดจะขายไฟฟ้าให้แก่ไทย 500 เมะกวัตต์ในปี2565
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าและสาธารณูปโภคเพื่อป้อนให้โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ของกลุ่มปตท.ในเวียดนาม โดยจะสร้างโรงไฟฟ้าเบื้องต้นขนาด 500เมกะวัตต์ ทางราชบุรีฯจะถือหุ้น 30% ใช้เงินลงทุน1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนของอินโดนีเซียโครงการแรกที่จะร่วมมือกันคือการเตรียมแผนซื้อโรงไฟฟ้าซัมเซล กำลังผลิต 300 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน150 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายพงษ์ดิษฐ กล่าวถึงโครงการโรงไฟฟ้ามะริด ที่เมียนมาขนาด2,640 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 4,800 ล้านเหรียญสหรัฐว่า ขณะนี้รอคำตอบจากทางรัฐบาลเมียนมาว่าจะเห็นชอบลงทุนเมื่อใด โดยราชบุรีฯถือหุ้น 45% ที่เหลือเป็นนักลงทุนท้องถิ่น ดังนั้นในปี 2566 ราชบุรีฯคาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 9,700เมกะวัตต์จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตตามแผนงาน 6,200เมกะวัตต์
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานกรรมการบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC)กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นสูงกว่า 1พันเมกะวัตต์ใน 5ปีจากสิ้นปีนี้ที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้น 1,355 เมกะวัตต์
โดยเป้าหมายหลักคือ การเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศเมียนมา อินโดนีเซีย ซึ่งยังมีความต้องการใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก ส่วนลักษณะการลงทุนนั้นจะขึ้นอยู่ในแต่ละโครงการ ว่าจะต้องตั้งบริษัทร่วมทุนหรือไม่ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้แต่จะเริ่มเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุนต่างๆ ระหว่างทั้งสองกลุ่มบริษัทภายในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯตัดสินใจลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น 24เมกะวัตต์ ซึ่งปตท.ลงทุนเอง 100%ได้อัตราค่าไฟฟ้าที่ 42 เยน/หน่วย และในอนาคตมีแผนจะเพิ่มกำลังผลิตโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นให้ได้ 100-150เมกะวัตต์ใน 5ปีข้างหน้า
วานนี้ (24 มิ.ย.) นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนโครงการด้านพลังงานระหว่างกลุ่มปตท.กับบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนโครงการด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รองรับความต้องการใช้พลังงานของประเทศและเสริมความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคต
โดยการบันทึกลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้มี 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 บันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เพื่อศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการLNG Receiving Terminal ในเมียนมารวมถึงโอกาสในการจัดแหล่งก๊าซธรรมชาติให้กับโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ
ฉบับที่ 2 บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท พีทีที เอ็นเนอร์ยี่ รีซอร์สเซส และบมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีฯ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในเมียนมา และฉบับที่ 3 บันทึกความเข้าใจระหว่างบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ และบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีฯเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในอินโดนีเซีย และโครงการโรงไฟฟ้าและสาธารณูปโภคในตอนกลางประเทศเวียดนาม
นายพงษ์ดิษฐ พจนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง กล่าวว่า ความร่วมมือกับกลุ่มปตท.ครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จเบื้องต้น และยังแสดงถึงบทบาทขององค์กรธุรกิจใหญ่ที่เป็นต้นแบบในการผนึกกำลังกันเป็นแบบทีมไทยแลนด์ เพื่อแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่ในต่างประเทศซึ่งการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มปตท. เชื่อว่าจะสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตขององค์กรต่อไปได้
โดยมูลค่าการลงทุนของโครงการต่างๆที่ลงนามเอ็มโอยูทั้ง 3 ฉบับกับกลุ่มปตท.คิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 2,850 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 9.4 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย โครงการความร่วมมือในเรื่องคลังแอลเอ็นจีชั่วคราว(FSRU) ในเมียนมา เฟสแรก 3 ล้านตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยราชบุรีฯจะถือหุ้น 25-30% ที่เหลือถือหุ้นโดยปตท.และผู้ร่วมทุนอื่น ซึ่งถือเป็นโครงการเร่งด่วนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ
นอกจากนี้ ยังศึกษาร่วมกันที่จะลงทุนFSRU ระยะที่ 2 อีก 7 ล้านตัน/ปี รองรับอีก 6-7 ปีข้างหน้าที่ปริมาณแหล่งก๊าซในเยตากุลและยาดานาจะเริ่มลดลง คาดจะลงทุนอีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยโครงการนี้ไม่อยู่ในงบการลงทุนที่เซ็นเอ็มโอยูดังกล่าว โดยโครงการนี้นอกจากจะส่งก๊าซมาไทยแล้วยังจำหน่ายในเมียนมาด้วย
นายพงษ์ดิษฐ กล่าวต่อไปว่า ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เชียงตุง ในประเทศเมียนมา กำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยราชบุรีฯถือหุ้น 50% ปตท. 40% ที่เหลือเป็นผู้ร่วมทุนท้องถิ่นโดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้คาดจะขายไฟฟ้าให้แก่ไทย 500 เมะกวัตต์ในปี2565
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าและสาธารณูปโภคเพื่อป้อนให้โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ของกลุ่มปตท.ในเวียดนาม โดยจะสร้างโรงไฟฟ้าเบื้องต้นขนาด 500เมกะวัตต์ ทางราชบุรีฯจะถือหุ้น 30% ใช้เงินลงทุน1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนของอินโดนีเซียโครงการแรกที่จะร่วมมือกันคือการเตรียมแผนซื้อโรงไฟฟ้าซัมเซล กำลังผลิต 300 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน150 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายพงษ์ดิษฐ กล่าวถึงโครงการโรงไฟฟ้ามะริด ที่เมียนมาขนาด2,640 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 4,800 ล้านเหรียญสหรัฐว่า ขณะนี้รอคำตอบจากทางรัฐบาลเมียนมาว่าจะเห็นชอบลงทุนเมื่อใด โดยราชบุรีฯถือหุ้น 45% ที่เหลือเป็นนักลงทุนท้องถิ่น ดังนั้นในปี 2566 ราชบุรีฯคาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 9,700เมกะวัตต์จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตตามแผนงาน 6,200เมกะวัตต์
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานกรรมการบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC)กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นสูงกว่า 1พันเมกะวัตต์ใน 5ปีจากสิ้นปีนี้ที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้น 1,355 เมกะวัตต์
โดยเป้าหมายหลักคือ การเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศเมียนมา อินโดนีเซีย ซึ่งยังมีความต้องการใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก ส่วนลักษณะการลงทุนนั้นจะขึ้นอยู่ในแต่ละโครงการ ว่าจะต้องตั้งบริษัทร่วมทุนหรือไม่ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้แต่จะเริ่มเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุนต่างๆ ระหว่างทั้งสองกลุ่มบริษัทภายในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯตัดสินใจลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น 24เมกะวัตต์ ซึ่งปตท.ลงทุนเอง 100%ได้อัตราค่าไฟฟ้าที่ 42 เยน/หน่วย และในอนาคตมีแผนจะเพิ่มกำลังผลิตโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นให้ได้ 100-150เมกะวัตต์ใน 5ปีข้างหน้า