ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายกฟ้องในคดี ที่น.พ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา พญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข ต่อศาลปครองสูงสุด เพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอนกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. 2553 โดยศาลเห็นว่า กระบวนการออกกฎกระทรวงดังกล่าว เป็นไปตามหลักการ และวิธีการที่รัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 57 และกฎหมายบัญญัติไว้แล้ว โดยก่อนออกกฎกระทรวง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการเรื่องนี้ ได้มีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการจัดสัมมนา เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น 4 ภูมิภาค ทั่วประเทศ จึงแสดงให้เห็นว่า รัฐได้จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนอย่างทั่วถึง
ส่วนเนื้อหาสาระของกฎกระทรวงดังกล่าว ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า สิ่งที่ยืนยันความเป็นมนุษย์ คือ เสรีภาพอันมิอาจก้าวล่วงได้ แต่เสรีภาพย่อมถูกจำกัด เมื่อล่วงล้ำเสรีภาพของบุคคลอื่นภายใต้การรับรองของรัฐธรรมนูญ เสรีภาพจึงเป็นการกระทำโดยอิสระของบุคคลที่มิได้อยู่ภายใต้บังคับของบุคคลอื่น
สำหรับสิทธินั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงเสรีภาพดังกล่าวของบุคคล ทำให้มีสภาพบังคับต่อบุคคลภายนอก สิทธิ และเสรีภาพ จึงเป็นสิ่งเดียวกันที่มิอาจแยกจากกันได้ ส่วนที่บุคคลใดเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ หรือเลือกที่จะไม่มีชีวิตนั้นย่อมเห็นได้ชัดว่า เป็นเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย แต่การที่บุคคลแสดงเจตนาในการไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้าย ของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย ซึ่งมีผลทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องเคารพการตัดสินใจดังกล่าวนั้น การดังกล่าวย่อมเรียกว่าสิทธิของบุคคล ทั้งสิทธิดังกล่าวมิใช่สิทธิที่จะเลือกไม่มีชีวิตอยู่ แต่เป็นสิทธิในการเลือกที่จะปฏิเสธการรักษาพยาบาล เพื่อที่จะได้ตายโดยธรรมชาติ หากพิจารณาหลักเกณฑ์ของกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว การที่ให้บุคคลทำหนังสือแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้าว่า ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย เป็นการยื่นความประสงค์ไว้ล่วงหน้า เพื่อประกาศให้สาธารณชนทราบความประสงค์ของตนว่า จะใช้สิทธิเช่นใด จึงไม่ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน
อีกทั้งเมื่อพิจารณาถ้อยคำตามกฎกระทรวงดังกล่าว ก็ไม่ใช่การปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตลงโดยงดเว้น ไม่ให้การรักษา หรือการใช้ยา และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิต ถึงแม้ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาประสงค์จะให้ใช้วิธีการปล่อยให้ผู้คนเสียชีวิตลงโดยงดเว้นไม่ให้การรักษาหรือการใช้ยา และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิต ก็หาต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวไม่ และไม่ได้ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ประกาศใด หากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขกระทำ ตามหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ต้องถือว่ากระทำความผิด และไม่พ้นจากความรับผิดทั้งปวง นอกจากนี้ การปฏิบัติตามกฎกระทรวงดังกล่าวมิได้เป็นการทอดทิ้งผู้ที่พึ่งตนเองไม่ได้ เนื่องจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมยังคงมีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยแบบประคับประคอง
ดังนั้น การออกกฎกระทรวงดังกล่าว จึงไม่ได้เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ และองค์ประกอบอันมีความหมายในการปล่อยให้ผู้ที่ทำหนังสือแสดงเจตนาเสียชีวิตลงโดยงดเว้นไม่ให้การรักษา หรือการใช้ยา เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิต แต่เป็นการรักษาอย่างประคับประคอง เพื่อให้ผู้ที่ทำหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าว ตายอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อมิให้ยื้อความตายอย่างสิ้นหวัง หรือทำให้ผู้นั้นต้องทรมานจากการเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลาทั้งๆ ที่ หากไม่มีบริหารสาธารณะที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมาน จาการเจ็บป่วยแล้ว ผู้นั้นควรจะตายอย่างธรรมชาติแล้ว จึงวินิจฉัยว่า เนื้อหาสาระของกฎกระทรวงดังกล่าวไม่ปรากฏว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 50 หรือกฎหมายแต่อย่างใด
ส่วนเนื้อหาสาระของกฎกระทรวงดังกล่าว ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า สิ่งที่ยืนยันความเป็นมนุษย์ คือ เสรีภาพอันมิอาจก้าวล่วงได้ แต่เสรีภาพย่อมถูกจำกัด เมื่อล่วงล้ำเสรีภาพของบุคคลอื่นภายใต้การรับรองของรัฐธรรมนูญ เสรีภาพจึงเป็นการกระทำโดยอิสระของบุคคลที่มิได้อยู่ภายใต้บังคับของบุคคลอื่น
สำหรับสิทธินั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงเสรีภาพดังกล่าวของบุคคล ทำให้มีสภาพบังคับต่อบุคคลภายนอก สิทธิ และเสรีภาพ จึงเป็นสิ่งเดียวกันที่มิอาจแยกจากกันได้ ส่วนที่บุคคลใดเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ หรือเลือกที่จะไม่มีชีวิตนั้นย่อมเห็นได้ชัดว่า เป็นเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย แต่การที่บุคคลแสดงเจตนาในการไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้าย ของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย ซึ่งมีผลทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องเคารพการตัดสินใจดังกล่าวนั้น การดังกล่าวย่อมเรียกว่าสิทธิของบุคคล ทั้งสิทธิดังกล่าวมิใช่สิทธิที่จะเลือกไม่มีชีวิตอยู่ แต่เป็นสิทธิในการเลือกที่จะปฏิเสธการรักษาพยาบาล เพื่อที่จะได้ตายโดยธรรมชาติ หากพิจารณาหลักเกณฑ์ของกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว การที่ให้บุคคลทำหนังสือแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้าว่า ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย เป็นการยื่นความประสงค์ไว้ล่วงหน้า เพื่อประกาศให้สาธารณชนทราบความประสงค์ของตนว่า จะใช้สิทธิเช่นใด จึงไม่ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน
อีกทั้งเมื่อพิจารณาถ้อยคำตามกฎกระทรวงดังกล่าว ก็ไม่ใช่การปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตลงโดยงดเว้น ไม่ให้การรักษา หรือการใช้ยา และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิต ถึงแม้ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาประสงค์จะให้ใช้วิธีการปล่อยให้ผู้คนเสียชีวิตลงโดยงดเว้นไม่ให้การรักษาหรือการใช้ยา และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิต ก็หาต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวไม่ และไม่ได้ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ประกาศใด หากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขกระทำ ตามหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ต้องถือว่ากระทำความผิด และไม่พ้นจากความรับผิดทั้งปวง นอกจากนี้ การปฏิบัติตามกฎกระทรวงดังกล่าวมิได้เป็นการทอดทิ้งผู้ที่พึ่งตนเองไม่ได้ เนื่องจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมยังคงมีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยแบบประคับประคอง
ดังนั้น การออกกฎกระทรวงดังกล่าว จึงไม่ได้เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ และองค์ประกอบอันมีความหมายในการปล่อยให้ผู้ที่ทำหนังสือแสดงเจตนาเสียชีวิตลงโดยงดเว้นไม่ให้การรักษา หรือการใช้ยา เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิต แต่เป็นการรักษาอย่างประคับประคอง เพื่อให้ผู้ที่ทำหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าว ตายอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อมิให้ยื้อความตายอย่างสิ้นหวัง หรือทำให้ผู้นั้นต้องทรมานจากการเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลาทั้งๆ ที่ หากไม่มีบริหารสาธารณะที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมาน จาการเจ็บป่วยแล้ว ผู้นั้นควรจะตายอย่างธรรมชาติแล้ว จึงวินิจฉัยว่า เนื้อหาสาระของกฎกระทรวงดังกล่าวไม่ปรากฏว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 50 หรือกฎหมายแต่อย่างใด