วานนี้ (10มิ.ย.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง "การเลือกตั้งคุณภาพโดยพลเมืองคุณภาพ" ซึ่งมีนายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมือง สปช. และ นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดี คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม นิด้า เป็นวิทยากร
โดยนายประวิช กล่าวว่า การเลือกตั้งคุณภาพโดยพลเมืองคุณภาพ กกต. กำหนดเป็นวิสัยทัศน์ในอีก 5 ปีนับจากนี้ ที่ผ่านมาเรามองว่าถ้าในการเลือกตั้งมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ ร้อยะล 70-75 ถือว่าประสบความสำเร็จ เป็นการมองเชิงปริมาณ แต่ในอนาคตเห็นว่า จำเป็นต้องเป็นการเลือกตั้งที่มีคุณภาพ ซึ่งมีนัยยะความหมายหมายถึงการที่พลเมืองมีจิตสำนึกในการที่จะเลือกนักการเมือง พรรคการเมือง ที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้เลือกจากการซื้อสิทธิ ขายเสียง วันนี้มีการพูดถึงการปฏิรูปเยอะมาก แยกย่อยถึงขนาดว่า จะปฏิรูปก่อน หรือเลือกตั้งก่อน ล่องลอยเป็นที่สนใจอยู่ในกระแสสังคม ส่วนตัวเห็นว่า เราเคยปฏิรูปการศึกษา ทำมา 20 ปี ทุกวันนี้ยังดำเนินการอยู่ มีการพูดถึงการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดประเทศไทยทำมาแล้ว สะท้อนว่าการปฏิรูปต้องใช้เวลา ที่ผ่านมา กกต. นำสิ่งที่เป็นปัญหาจากประสบการณ์ในอดีตมาเสนอขอแก้ไขกฎหมาย อย่างการเลือกตั้ง 2 ก.พ .57 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ ก็ได้ทำข้อเสนอแก้ไขกฎหมาย ปิดช่องปัญหาไปยัง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะเราต้องการให้การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นเกิดความสำเร็จ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. เป็นโมฆะ มีถ้อยคำหนึ่งของคำวินิจฉัย ที่เขียนไว้ว่า ในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติอย่างรุนแรง ยากที่จะทำให้การเลือกตั้งเกิดความสำเร็จ กกต.ได้มีการแก้ไขกฎหมายต่างๆเอาไว้ ยังไง กกต.ก็เอาตัวรอดได้ แต่จากข้อความดังกล่าว เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เมื่อใจคนในสังคมยังไม่ปฏิรูป แล้วเราไปเลือกตั้ง จะไม่เจอปัญหาเดิมหรือ อย่าลืมว่าการอยู่ร่วมกันได้ในสังคม ไม่ได้อยู่ที่กฎหมายกำหนดอย่างไร แต่ต้องอยู่ด้วยใจที่ยอมรับ
นายประวิช กล่าวอีกว่า ระบบการเลือกตั้งที่ผ่านมา เราใช้ระบบปาร์ตี้ลิสต์ มี ส.ส.ทั้งหมด 450 คน ถ้า กกต.ประกาศรับรองผลร้อยละ 95 จึงเปิดสภาได้ แต่ขณะนี้ มีการแก้ไขระบบเลือกตั้งที่ใช้ระบบสัดส่วน คะแนนจากทุกหน่วยจะต้องถูกนำมานับรวม จะมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 250 คน และกำหนดไว้ว่า ถ้า กกต.ประกาศรับรองผลเพียงร้อยละ 90 ก็เปิดสภาได้ แต่ถามว่า ถ้าคะแนนขาดเพียงหน่วยเดียว ก็นับหรือประกาศผลไม่ได้ ถึงตรงนั้นอาจกลายเป็นกว่าร้อยละ 50 ที่ไม่สามารถประกาศผลได้ ความวุ่นวายจะเกิดขึ้น ปัญหาเหล่านี้ ตนเคยพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับ นายสุเทพ เทือก สุบรรณ เลขาฯ กปปส. ว่าการแก้ไขวิกฤติประเทศ ต้องเริ่มที่ต้นน้ำ ทำให้พลเมืองมีความรู้ ตระหนักถึงการไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ซึ่งนายสุเทพเ ห็นว่าต้องแก้ไขที่พรรคการเมือง ไม่ให้พรรคเป็นของคนใดคนหนึ่ง ทำให้เกิดคำถามในวันนี้ที่อยู่ในช่วงการปฏิรูปว่า เราได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่จะไม่ทำให้การเมืองลงถนนอีกหรือไม่ ตนไม่อยากให้มีการมโน หรือพูดเรื่องปฏิรูปอย่างล่องลอย การปฏิรูปจะใช้เวลาเท่าไหร่ ตนไม่ทราบ แต่ถ้าสองตัวอย่างดังกล่าวเกิดขึ้นอีก โดยที่เราไม่แก้ไขอะไรเลย ถามว่าจะเกิดการเลือกตั้งที่มีคุณภาพได้อย่างไร
" ต่อให้เราเตรียมการเลือกตั้งที่ดี มีคุณภาพ หรือทำพลเมืองให้แข็งแรงอย่างไร ถ้าบรรยากาศพิเศษเหมือนที่ผ่านมา ถ้ายังไม่ปฏิรูปเพื่อลดความขัดแย้ง จะยุติปัญหาได้อย่างไร ยังสงสัยว่าจะเกิดการเลือกตั้งได้จริงหรือไม่ ผมไม่ใช่โฆษก คสช. แต่ในฐานะที่เป็นกกต. ยังเห็นว่า เรื่องนี้ต้องทำให้ได้ เพื่อเป็นกลไกในการเลือกตั้ง อย่างไปมโน หรือพูดเพียงแค่ว่าให้จัดเลือกตั้งที่ดี เราเคยคิดว่ากฎหมายเลือกตั้งครอบคลุมทุกอย่าง สุดท้ายเมื่อเจอเหตุการณ์ ก็ไปไม่เป็น จึงต้องแก้ปัญหาความขัดแย้งให้จบ เพื่อการเลือกตั้งที่มีคุณภาพ อีกทั้ง กกต. ต้องมีการทบทวนตัวเองจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการหาข่าว การซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ต้องขึ้นบัญชีบรรดาหัวคะแนนไว้ ปรับปรุงกระบวนการสืบสวนสอบสวน ตอนเริ่มต้น กกต.คึกคักแข็งแกร่ง เพราะมีภารกิจเดียวคือการเลือกตั้งระดับชาติ จนมาถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นที่มีความซับซ้อน
นายประวิช กล่าวอีกว่า กกต.ไม่มีปัญหาเรื่องจัดเลือกตั้ง แต่สิ่งที่ตำอกตำใจ คือ การซื้อเสียงขายเสียงจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เราพยายามทำอยู่ เราก็ดูตัวเราเองที่เรานั่งพิจารณาสำนวนคดี เรารับข้อเท็จจริงหรือไม่ สำนวนที่มาจากจังหวัดมาถึงเรานั้น ในฐานะที่เคยเป็นนักการเมือง ตนรู้ดีว่าอะไรที่พ้นมาจากจุดเกิดเหตุ มันเกิดความเพี้ยนไปหรือไม่ เรากำลังคิดว่า กกต.จัดเลือกตั้งแค่ระดับชาติอย่างเดียวจะดีหรือไม่ ให้เรื่องท้องถิ่น จบที่จังหวัด การสร้างพลเมืองต้องใช้เวลา กกต. 5 คน ตัดสินใจว่าจะใช้เวลานี้ดำเนินการ จะเลิกไม่ได้ หรือหวังผลทันทีไม่ได้ ซึ่ง กกต.กำลังจับมือกับหน่วยงานอื่น อย่างกระทรวงศึกษาธิการ ที่พยายามรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 49 ล้านคน มีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า วันนี้เราสรุปกันว่า ประชาธิปไตยต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่สนใจว่าการเลือกตั้งนั้นบริสุทธิ์ ยุติธรรม หรือไม่ ระบอบประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนา ทำให้คนที่รวยอยู่แล้ว รวยเพิ่มมากขึ้น จึงมีคำถามเยอะว่า ระบอบนี้จะทำให้คนอยู่ดี กินดี จริงหรือไม่ ประชาธิปไตย จะเป็นระบอบที่ดีก็ต่อเมื่อประชาชน พลเมือง มีความรู้ที่จะเลือกคนดีมาเป็นผู้ปกครอง ถ้าคุณเลือกคนโกงเข้ามาปกครองคุณก็จะได้ทรราชมาหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง เราจะสร้างวัฒนธรรมการเมืองแบบมีเหตุมีผลได้
อย่างไร ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีตรรกะที่เห็นชัดคือพลเมืองเขามีคุณภาพ โครงสร้างประชากรเหมือนเป็นสี่เหลี่ยม คนจนน้อย คนรวยน้อย มีแต่ชนชั้นกลาง ที่มีความรู้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคนเหล่านี้มักมีความสามารถในการหาข้อมูล รู้ประวัติผู้สมัครเลือกตั้ง ว่าเป็นอย่างไร
ส่วนประเทศด้อยพัฒนา โครงสร้างจะเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่ว คนรวยน้อย คนจนเยอะ ความรู้น้อย ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าเรื่องปากท้อง เวลาทำประชามติ ไปแจกร่างรัฐธรรมนูญ ถามว่าชาวบ้านจะอ่านหรือไม่ เขาไม่อ่าน แต่ก็ต้องแจก เวลาลงมติรับไม่รับ เขาตัดสินใจอย่างไร เขาก็จะถามหัวคะแนน ไปหลงคิดได้อย่างไร ว่า ประชาชนตัดสินใจเอง มันเป็นเพียงแค่รูปแบบ แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่ ประเทศไทยวันนี้ ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร เรายังปล่อยให้ชาวบ้านถูกทอดทิ้ง ไม่มีรัฐบาลใดแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนได้อย่างจริงจัง ถามว่ามีทางหรือไม่ ตนสนใจการเลือกตั้งผู้ ว่ากทม. โดยเฉพาะผลคะแนนครั้งล่าสุด ถ้าหากว่าการพัฒนาประเทศทำให้คนมีความรู้มากขึ้น มีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น พูดได้เลยว่าทุกบ้านที่มีรั้วในกรุงเทพไม่เคยมีการซื้อเสียง
" การสร้างวัฒนธรรมที่ให้ประชาชนมีเหตุ มีผลนั้น อันดับแรกคือ ประชาชนต้องคิดได้เองว่า เมื่อมีคนมาซื้อสิทธิ์ขายเสียงนั้น คนนั้นคือคนโกง หากคิดเช่นนี้ไม่ได้ ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ แต่หากคิดในทางกลับกันได้โอกาสที่ประชาธิปไตยจะประสบคววามสำเร็จก็มี " นายสมบัติ กล่าว และว่า ส่วนคำถามว่า กลไกในร่างรัฐธรรมนูญ จะสอดคล้องกับการเลือกตั้งคุณภาพ หรือแก้ไขวิกฤติทางการเมืองได้หรือไม่นั้น ร่างรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดมาวันนี้ใครๆไม่ว่าทำอะไร ก็แก้ปัญหาซื้อสิทธิ์ ขายเสียงไม่ได้ แต่อาจสามารถลดอิทธิพลของการใช้เงิน ในการซื้อสิทธิ์ได้บ้าง เราดูการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ชนะเพราะกระแสการเมือง ไม่ใช่อิทธิพล หรือ การซื้อเสียง จึงต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองที่ให้ประชาชนเลือก นายกฯ-ครม.โดยตรง การที่เราไม่ไว้ใจตัวเราเอง แต่ไว้ใจผู้แทนที่มาจากการซื้อเสียง ให้ไปตัดสินใจแทน จึงเป็นเรื่องแปลก
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ถ้าส.ส.ไม่สามารถเลือกนายกฯ อำนาจต่อรอง และระบบอุปถัมภ์ จะลดลง การที่ฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ก็ไม่จำเป็นต้องมาดูแลคนแบบนี้ อย่างไรก็ตาม หากร่างรัฐธรรมนูญญฉบับนี้ผ่าน ภายใต้ระบบรัฐสภาแบบนี้ วิกฤติการเมืองไม่หายไป เลือกตั้งก็จะมีแต่นักการเมืองหน้าเก่าๆ กล่มการเมืองเก่าๆ เข้ามา เกิดรัฐบาลผสม พรรคแกนนำ จะมีเสียงไม่ถึงครึ่ง เหมือนตอนสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แทบไม่มีกระทรวงให้บริหาร สูตรการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองใหญ่ เพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ใครจะไปแย่งชิงกลุ่มการเมือง พรรค การเมืองขนาดกลางมาผสมพันธุ์ จัดตั้งเป็นรัฐบาลได้สำเร็จ
"ถ้าถามว่า แล้วผมจะโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญนี้ไหม ผมมีคำตอบตั้งแต่แรก ผมไม่รับรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ ผมพูดและพิจารณาด้วยสติสัมปชัญญะของผม ไม่เกี่ยวกับใคร "
ด้านนายพิชาย กล่าวว่า เห็นด้วยที่ กกต. จะเลิกมองการเลือกตั้งเชิงปริมาณ และกำหนดทิศทางการเลือกตั้งคุณภาพ โดยมองเรื่องผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง การทำให้การเลือกตั้งมีคุณภาพ จะต้องมีการปรับปรุงในหลายส่วน ทั้งวิธีคิดของพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่ต้องคิดว่าตนเองเป็นตัวแทนของปวงชน ไม่ใช่กลุ่มผลประโยชน์ใด กระบวนการเลือกตั้ง ต้องมีคุณภาพ กกต. ต้องสร้างระบบกลกไกการเข้าถึงสิทธิ การเลือกตั้งอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ต้องมีคลังข้อมูลข่าวสารของผู้สมัครพรรคกาเมืองให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประกอบการตัดสินใจเลือก ต้องกำหนดการหาเสียงที่มีคุณภาพ ไม่ให้นำลัทธิประชานิยมมาหาเสียง เพราะถือเป็นการซื้อเสียงของนักการเมืองอย่างหนึ่ง พยายามทำให้นักการเมืองหาเสียงโดยให้ความจริงกับประชาชนทั้งหมด ไม่ใช่เพียงครึ่งเดียวเหมือนตอนนี้ ที่ให้มีการทำประชามติ ถือเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะเป็นการใช้ความจริงเพียงครึ่งเดียว ประชามติของประชาชน จะถูกตัดสินใจด้วยอารมณ์ และการปลุกระดมเป็นหลัก ไม่มีใครจะตัดสินใจลงประชามติ โดยพิจารณาจากเนื้อหา ว่ามีผลดี ผลเสีย ต่อประเทศอย่างไร
ส่วนตัวเห็นว่า ถ้าทำประชามติ ทำเฉพาะในประเด็นขัดแย้งใน ร่าง รัฐธรรมนูญ เช่น ถามว่า นายกฯ ควรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงหรือไม่ หากทำเช่นนี้ ก็สามารถเห็นทิศทางของประเทศได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ จะต้องมีการเตรียมในเรื่องพลเมือง ซึ่งการทำให้พลเมืองมีคุณภาพ ต้องทำให้พลเมืองเข้าใจการเชื่อมการเลือกตั้ง และการบริหารประเทศ และผลลัพธ์จากการบริหารประเทศ ที่จะมีผลต่อการดำรงชีวิต ขณะเดียวกัน กกต. ต้องปรับองค์กรภายใน พร้อมกับสร้างเครือข่าย ภาคีหุ้นส่วน จึงจะได้การเลือกตั้งที่มีคุณภาพ
โดยนายประวิช กล่าวว่า การเลือกตั้งคุณภาพโดยพลเมืองคุณภาพ กกต. กำหนดเป็นวิสัยทัศน์ในอีก 5 ปีนับจากนี้ ที่ผ่านมาเรามองว่าถ้าในการเลือกตั้งมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ ร้อยะล 70-75 ถือว่าประสบความสำเร็จ เป็นการมองเชิงปริมาณ แต่ในอนาคตเห็นว่า จำเป็นต้องเป็นการเลือกตั้งที่มีคุณภาพ ซึ่งมีนัยยะความหมายหมายถึงการที่พลเมืองมีจิตสำนึกในการที่จะเลือกนักการเมือง พรรคการเมือง ที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้เลือกจากการซื้อสิทธิ ขายเสียง วันนี้มีการพูดถึงการปฏิรูปเยอะมาก แยกย่อยถึงขนาดว่า จะปฏิรูปก่อน หรือเลือกตั้งก่อน ล่องลอยเป็นที่สนใจอยู่ในกระแสสังคม ส่วนตัวเห็นว่า เราเคยปฏิรูปการศึกษา ทำมา 20 ปี ทุกวันนี้ยังดำเนินการอยู่ มีการพูดถึงการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดประเทศไทยทำมาแล้ว สะท้อนว่าการปฏิรูปต้องใช้เวลา ที่ผ่านมา กกต. นำสิ่งที่เป็นปัญหาจากประสบการณ์ในอดีตมาเสนอขอแก้ไขกฎหมาย อย่างการเลือกตั้ง 2 ก.พ .57 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ ก็ได้ทำข้อเสนอแก้ไขกฎหมาย ปิดช่องปัญหาไปยัง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะเราต้องการให้การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นเกิดความสำเร็จ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. เป็นโมฆะ มีถ้อยคำหนึ่งของคำวินิจฉัย ที่เขียนไว้ว่า ในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติอย่างรุนแรง ยากที่จะทำให้การเลือกตั้งเกิดความสำเร็จ กกต.ได้มีการแก้ไขกฎหมายต่างๆเอาไว้ ยังไง กกต.ก็เอาตัวรอดได้ แต่จากข้อความดังกล่าว เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เมื่อใจคนในสังคมยังไม่ปฏิรูป แล้วเราไปเลือกตั้ง จะไม่เจอปัญหาเดิมหรือ อย่าลืมว่าการอยู่ร่วมกันได้ในสังคม ไม่ได้อยู่ที่กฎหมายกำหนดอย่างไร แต่ต้องอยู่ด้วยใจที่ยอมรับ
นายประวิช กล่าวอีกว่า ระบบการเลือกตั้งที่ผ่านมา เราใช้ระบบปาร์ตี้ลิสต์ มี ส.ส.ทั้งหมด 450 คน ถ้า กกต.ประกาศรับรองผลร้อยละ 95 จึงเปิดสภาได้ แต่ขณะนี้ มีการแก้ไขระบบเลือกตั้งที่ใช้ระบบสัดส่วน คะแนนจากทุกหน่วยจะต้องถูกนำมานับรวม จะมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 250 คน และกำหนดไว้ว่า ถ้า กกต.ประกาศรับรองผลเพียงร้อยละ 90 ก็เปิดสภาได้ แต่ถามว่า ถ้าคะแนนขาดเพียงหน่วยเดียว ก็นับหรือประกาศผลไม่ได้ ถึงตรงนั้นอาจกลายเป็นกว่าร้อยละ 50 ที่ไม่สามารถประกาศผลได้ ความวุ่นวายจะเกิดขึ้น ปัญหาเหล่านี้ ตนเคยพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับ นายสุเทพ เทือก สุบรรณ เลขาฯ กปปส. ว่าการแก้ไขวิกฤติประเทศ ต้องเริ่มที่ต้นน้ำ ทำให้พลเมืองมีความรู้ ตระหนักถึงการไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ซึ่งนายสุเทพเ ห็นว่าต้องแก้ไขที่พรรคการเมือง ไม่ให้พรรคเป็นของคนใดคนหนึ่ง ทำให้เกิดคำถามในวันนี้ที่อยู่ในช่วงการปฏิรูปว่า เราได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่จะไม่ทำให้การเมืองลงถนนอีกหรือไม่ ตนไม่อยากให้มีการมโน หรือพูดเรื่องปฏิรูปอย่างล่องลอย การปฏิรูปจะใช้เวลาเท่าไหร่ ตนไม่ทราบ แต่ถ้าสองตัวอย่างดังกล่าวเกิดขึ้นอีก โดยที่เราไม่แก้ไขอะไรเลย ถามว่าจะเกิดการเลือกตั้งที่มีคุณภาพได้อย่างไร
" ต่อให้เราเตรียมการเลือกตั้งที่ดี มีคุณภาพ หรือทำพลเมืองให้แข็งแรงอย่างไร ถ้าบรรยากาศพิเศษเหมือนที่ผ่านมา ถ้ายังไม่ปฏิรูปเพื่อลดความขัดแย้ง จะยุติปัญหาได้อย่างไร ยังสงสัยว่าจะเกิดการเลือกตั้งได้จริงหรือไม่ ผมไม่ใช่โฆษก คสช. แต่ในฐานะที่เป็นกกต. ยังเห็นว่า เรื่องนี้ต้องทำให้ได้ เพื่อเป็นกลไกในการเลือกตั้ง อย่างไปมโน หรือพูดเพียงแค่ว่าให้จัดเลือกตั้งที่ดี เราเคยคิดว่ากฎหมายเลือกตั้งครอบคลุมทุกอย่าง สุดท้ายเมื่อเจอเหตุการณ์ ก็ไปไม่เป็น จึงต้องแก้ปัญหาความขัดแย้งให้จบ เพื่อการเลือกตั้งที่มีคุณภาพ อีกทั้ง กกต. ต้องมีการทบทวนตัวเองจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการหาข่าว การซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ต้องขึ้นบัญชีบรรดาหัวคะแนนไว้ ปรับปรุงกระบวนการสืบสวนสอบสวน ตอนเริ่มต้น กกต.คึกคักแข็งแกร่ง เพราะมีภารกิจเดียวคือการเลือกตั้งระดับชาติ จนมาถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นที่มีความซับซ้อน
นายประวิช กล่าวอีกว่า กกต.ไม่มีปัญหาเรื่องจัดเลือกตั้ง แต่สิ่งที่ตำอกตำใจ คือ การซื้อเสียงขายเสียงจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เราพยายามทำอยู่ เราก็ดูตัวเราเองที่เรานั่งพิจารณาสำนวนคดี เรารับข้อเท็จจริงหรือไม่ สำนวนที่มาจากจังหวัดมาถึงเรานั้น ในฐานะที่เคยเป็นนักการเมือง ตนรู้ดีว่าอะไรที่พ้นมาจากจุดเกิดเหตุ มันเกิดความเพี้ยนไปหรือไม่ เรากำลังคิดว่า กกต.จัดเลือกตั้งแค่ระดับชาติอย่างเดียวจะดีหรือไม่ ให้เรื่องท้องถิ่น จบที่จังหวัด การสร้างพลเมืองต้องใช้เวลา กกต. 5 คน ตัดสินใจว่าจะใช้เวลานี้ดำเนินการ จะเลิกไม่ได้ หรือหวังผลทันทีไม่ได้ ซึ่ง กกต.กำลังจับมือกับหน่วยงานอื่น อย่างกระทรวงศึกษาธิการ ที่พยายามรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 49 ล้านคน มีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า วันนี้เราสรุปกันว่า ประชาธิปไตยต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่สนใจว่าการเลือกตั้งนั้นบริสุทธิ์ ยุติธรรม หรือไม่ ระบอบประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนา ทำให้คนที่รวยอยู่แล้ว รวยเพิ่มมากขึ้น จึงมีคำถามเยอะว่า ระบอบนี้จะทำให้คนอยู่ดี กินดี จริงหรือไม่ ประชาธิปไตย จะเป็นระบอบที่ดีก็ต่อเมื่อประชาชน พลเมือง มีความรู้ที่จะเลือกคนดีมาเป็นผู้ปกครอง ถ้าคุณเลือกคนโกงเข้ามาปกครองคุณก็จะได้ทรราชมาหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง เราจะสร้างวัฒนธรรมการเมืองแบบมีเหตุมีผลได้
อย่างไร ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีตรรกะที่เห็นชัดคือพลเมืองเขามีคุณภาพ โครงสร้างประชากรเหมือนเป็นสี่เหลี่ยม คนจนน้อย คนรวยน้อย มีแต่ชนชั้นกลาง ที่มีความรู้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคนเหล่านี้มักมีความสามารถในการหาข้อมูล รู้ประวัติผู้สมัครเลือกตั้ง ว่าเป็นอย่างไร
ส่วนประเทศด้อยพัฒนา โครงสร้างจะเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่ว คนรวยน้อย คนจนเยอะ ความรู้น้อย ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าเรื่องปากท้อง เวลาทำประชามติ ไปแจกร่างรัฐธรรมนูญ ถามว่าชาวบ้านจะอ่านหรือไม่ เขาไม่อ่าน แต่ก็ต้องแจก เวลาลงมติรับไม่รับ เขาตัดสินใจอย่างไร เขาก็จะถามหัวคะแนน ไปหลงคิดได้อย่างไร ว่า ประชาชนตัดสินใจเอง มันเป็นเพียงแค่รูปแบบ แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่ ประเทศไทยวันนี้ ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร เรายังปล่อยให้ชาวบ้านถูกทอดทิ้ง ไม่มีรัฐบาลใดแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนได้อย่างจริงจัง ถามว่ามีทางหรือไม่ ตนสนใจการเลือกตั้งผู้ ว่ากทม. โดยเฉพาะผลคะแนนครั้งล่าสุด ถ้าหากว่าการพัฒนาประเทศทำให้คนมีความรู้มากขึ้น มีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น พูดได้เลยว่าทุกบ้านที่มีรั้วในกรุงเทพไม่เคยมีการซื้อเสียง
" การสร้างวัฒนธรรมที่ให้ประชาชนมีเหตุ มีผลนั้น อันดับแรกคือ ประชาชนต้องคิดได้เองว่า เมื่อมีคนมาซื้อสิทธิ์ขายเสียงนั้น คนนั้นคือคนโกง หากคิดเช่นนี้ไม่ได้ ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ แต่หากคิดในทางกลับกันได้โอกาสที่ประชาธิปไตยจะประสบคววามสำเร็จก็มี " นายสมบัติ กล่าว และว่า ส่วนคำถามว่า กลไกในร่างรัฐธรรมนูญ จะสอดคล้องกับการเลือกตั้งคุณภาพ หรือแก้ไขวิกฤติทางการเมืองได้หรือไม่นั้น ร่างรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดมาวันนี้ใครๆไม่ว่าทำอะไร ก็แก้ปัญหาซื้อสิทธิ์ ขายเสียงไม่ได้ แต่อาจสามารถลดอิทธิพลของการใช้เงิน ในการซื้อสิทธิ์ได้บ้าง เราดูการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ชนะเพราะกระแสการเมือง ไม่ใช่อิทธิพล หรือ การซื้อเสียง จึงต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองที่ให้ประชาชนเลือก นายกฯ-ครม.โดยตรง การที่เราไม่ไว้ใจตัวเราเอง แต่ไว้ใจผู้แทนที่มาจากการซื้อเสียง ให้ไปตัดสินใจแทน จึงเป็นเรื่องแปลก
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ถ้าส.ส.ไม่สามารถเลือกนายกฯ อำนาจต่อรอง และระบบอุปถัมภ์ จะลดลง การที่ฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ก็ไม่จำเป็นต้องมาดูแลคนแบบนี้ อย่างไรก็ตาม หากร่างรัฐธรรมนูญญฉบับนี้ผ่าน ภายใต้ระบบรัฐสภาแบบนี้ วิกฤติการเมืองไม่หายไป เลือกตั้งก็จะมีแต่นักการเมืองหน้าเก่าๆ กล่มการเมืองเก่าๆ เข้ามา เกิดรัฐบาลผสม พรรคแกนนำ จะมีเสียงไม่ถึงครึ่ง เหมือนตอนสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แทบไม่มีกระทรวงให้บริหาร สูตรการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองใหญ่ เพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ใครจะไปแย่งชิงกลุ่มการเมือง พรรค การเมืองขนาดกลางมาผสมพันธุ์ จัดตั้งเป็นรัฐบาลได้สำเร็จ
"ถ้าถามว่า แล้วผมจะโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญนี้ไหม ผมมีคำตอบตั้งแต่แรก ผมไม่รับรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ ผมพูดและพิจารณาด้วยสติสัมปชัญญะของผม ไม่เกี่ยวกับใคร "
ด้านนายพิชาย กล่าวว่า เห็นด้วยที่ กกต. จะเลิกมองการเลือกตั้งเชิงปริมาณ และกำหนดทิศทางการเลือกตั้งคุณภาพ โดยมองเรื่องผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง การทำให้การเลือกตั้งมีคุณภาพ จะต้องมีการปรับปรุงในหลายส่วน ทั้งวิธีคิดของพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่ต้องคิดว่าตนเองเป็นตัวแทนของปวงชน ไม่ใช่กลุ่มผลประโยชน์ใด กระบวนการเลือกตั้ง ต้องมีคุณภาพ กกต. ต้องสร้างระบบกลกไกการเข้าถึงสิทธิ การเลือกตั้งอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ต้องมีคลังข้อมูลข่าวสารของผู้สมัครพรรคกาเมืองให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประกอบการตัดสินใจเลือก ต้องกำหนดการหาเสียงที่มีคุณภาพ ไม่ให้นำลัทธิประชานิยมมาหาเสียง เพราะถือเป็นการซื้อเสียงของนักการเมืองอย่างหนึ่ง พยายามทำให้นักการเมืองหาเสียงโดยให้ความจริงกับประชาชนทั้งหมด ไม่ใช่เพียงครึ่งเดียวเหมือนตอนนี้ ที่ให้มีการทำประชามติ ถือเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะเป็นการใช้ความจริงเพียงครึ่งเดียว ประชามติของประชาชน จะถูกตัดสินใจด้วยอารมณ์ และการปลุกระดมเป็นหลัก ไม่มีใครจะตัดสินใจลงประชามติ โดยพิจารณาจากเนื้อหา ว่ามีผลดี ผลเสีย ต่อประเทศอย่างไร
ส่วนตัวเห็นว่า ถ้าทำประชามติ ทำเฉพาะในประเด็นขัดแย้งใน ร่าง รัฐธรรมนูญ เช่น ถามว่า นายกฯ ควรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงหรือไม่ หากทำเช่นนี้ ก็สามารถเห็นทิศทางของประเทศได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ จะต้องมีการเตรียมในเรื่องพลเมือง ซึ่งการทำให้พลเมืองมีคุณภาพ ต้องทำให้พลเมืองเข้าใจการเชื่อมการเลือกตั้ง และการบริหารประเทศ และผลลัพธ์จากการบริหารประเทศ ที่จะมีผลต่อการดำรงชีวิต ขณะเดียวกัน กกต. ต้องปรับองค์กรภายใน พร้อมกับสร้างเครือข่าย ภาคีหุ้นส่วน จึงจะได้การเลือกตั้งที่มีคุณภาพ