วานนี้ (2 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กฃล่าวภายหลังการประชุม ครม.ว่า ในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ ตนจะไปชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการประชุมแม่น้ำ 3 สาย โดยจะชี้แจงผลงานทำงานครบ 1 ปีของรัฐบาล และ คสช. และจะมอบให้รองนายกฯ เป็นคนพูดในกลุ่มงานทั้ง 5 กลุ่ม ตนจะกล่าวเปิดเล็กน้อย ว่าที่ผ่านมาดำเนินการอะไรไปบ้าง ซึ่งขั้นตอนที่ 1 ในเรื่องการปฏิรูป คสช. และรัฐบาลดำเนินการไปแล้ว จากนั้นเป็นเรื่องการส่งต่อให้กับ สปช. เพื่อดำเนินการ และส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ต่อไป
ทั้งนี้ ตนจะสรุป แล้วมอบให้รองนายกฯ พูดคนละ 20-30 นาที จะพูดให้ฟังว่า อะไรทำจบไปแล้ว อะไรที่กำลังทำ หรืออะไรที่จะไม่ได้ทำแน่ ทำไม่ทัน ก็จะส่งต่อ ซึ่งตรงนี้ สปช.จะนำไปสานต่อ จะไปเริ่มต้นใหม่หมดไม่ได้ มิฉะนั้นที่ทำมาทั้งหมด ก็ถือว่าล้มเหลว
เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐบาลเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไปกว่า 100 ประเด็น คิดว่า กรรมาธิการยกร่างฯ จะแก้ไขได้มากน้อยแค่ไหน นายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ ไปถาม กมธ.ยกร่างฯเอง ส่วนประเด็นที่เป็นห่วงคือ เรื่องอย่าให้เกิดความขัดแย้ง และทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ประชาชนยอมรับ ประชาชนได้ประโยชน์ และประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยยั่งยืน ไม่มีความขัดแย้งไม่มีเสื้อสีนั้นสีนี้ขึ้นมาต่อต้านกันอีก ส่วนใครที่จะทำให้เกิดตรงนี้ได้ ไม่ใช่ตน อยู่ที่ทุกคน และอยู่ที่สื่อมวลชน 50 เปอร์เซ็นต์
ผู้สื่อข่าวถามว่า คำขอแก้ไขร่างรธน. ในส่วนของในครม.ไม่มีประเด็น นายกฯคนนอก เพราะอะไร นายกฯ กล่าวว่า "เรื่องนายกฯคนนอก ไม่ใช่เหตุผลอะไร แต่เป็นเพราะนายกฯคนนอก ทุกคนจะระแวงว่าจะเป็นผม หรือใคร ผมบอกแล้วว่า ผมจะไม่ไปอยู่อย่างนั้นเด็ดขาด ผมจะไปอยู่ด้วยอะไร เขาเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า ถ้าสถานการณ์มันเกิดความขัดแย้งสูงจนรัฐบาลดำเนินการไม่ได้ หรือเลือกตั้งไม่ได้ ก็เอาข้อเท็จจริงจากครั้งที่แล้วมาเขียน ซึ่งเป็นเรื่องของเขา ถ้าผ่านได้ เขาก็ผ่านไป แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน แล้วถ้าผมเข้ามา ผมไม่มีอำนาจ มันจะคุมใครอยู่ อำนาจคือความชอบธรรม ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ความชอบธรรม ของผมคือ ประชาชนพึงพอใจในสิ่งที่เขาควรจะได้ ไม่ใช่มาปลุกระดมให้คนเขามารักผม หรืออะไรต่างๆ แต่ผมมองในเรื่องอนาคต ผมไม่ได้มองว่า ให้คนในประเทศมารักผม แม้คนจะเกลียดผมทั้งประเทศ แต่ผมทำให้เกิดประโยชน์ บ้านเมืองมีความเจริญ ผมก็ภูมิใจ ต่อให้คนเกลียดผมทั้งประเทศก็ตาม และวันข้างหน้าคนเขาจะคิดถึงผม ซึ่งผมอาจตายไปแล้วก็ได้ มันเป็นประโยชน์กับประเทศไทย เมื่อถึงวันนั้น ก็คิดถึงผมก็แล้วกัน"
เมื่อถามว่า การที่คงนายกฯที่ไม่ได้มาจาก ส.ส.ด้วย ทางครม.มีการอภิปรายหรือไม่ว่า มีสาเหตุจากอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้สื่อต้องไปฟังคนที่เสนอ และพูดกันว่า 1. ปัญหามาจากครั้งที่แล้ว ปัญหาติดล็อกทั้งหมดแล้วเดินหน้าประเทศไม่ได้ ในระหว่าง 6 เดือน ไม่มีคนบริหารประเทศ รัฐบาลไม่มีอำนาจเต็มแล้วใครจะเดินหน้าในเรื่องเศรษฐกิจ งบประมาณ ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาเช่นนั้น เขาเลยคิดว่า ต้องหาใครมาสักคนมาบริหารประเทศ เมื่อคิดอย่างนี้ก็แล้วแต่เขา ก็ไปสู้กันมา
"ตอนนี้เราไประแวงกันเรื่องอำนาจ แล้วกลัวเรื่องของอำนาจ ซึ่งการใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ เขาถึงเรียกว่า อำนาจ แต่ถ้าสิ่งที่เป็นอำนาจแล้วขี้โกง ทุจริต อย่างนี้ผมคิดว่าไม่ใช่อำนาจ จึงอย่าไปพูดว่าผมอยากจะอยู่ต่อ หรือ คสช. อยู่เพื่ออำนาจ ตอบผมมา ว่าอำนาจคืออะไร" นายกฯ กล่าว
** ลั่นตำแหน่ง ผบ.ทบ. ไม่มีพี่ไม่มีน้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการตอบคำถามประเด็นเหล่านี้ ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ มีอารมณ์ฉุนเฉียว และสั่งให้ผู้สื่อข่าวตอบว่า อำนาจทั้งหมดคืออะไร สื่อฯเวลาเขียน ก็ขอให้เขียนให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปเขียนว่า อำนาจคือเรื่องการอยากอยู่ต่อในตำแหน่ง โดยมีน้องชายตนคอยออกมาปกป้อง อย่ามาพูดอย่างนี้กับตน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การอยู่ในอำนาจของนายกฯ หากมี พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ตามกระแสข่าว จะเป็นการช่วยค้ำรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า ค้ำอะไร ถ้าตนทำไม่ดี กองทัพเขาจะค้ำตนหรือไม่ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าเป็นพี่น้องกัน ก็อาจจะช่วยกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเสียงดังว่า คิดกันอยู่แค่นี้ พี่น้องก็ไม่ใช่พี่น้อง ตนทำงานไม่มีพี่ มีน้อง ไม่รู้อะไรกันนักหนา
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ถามผู้สื่อข่าวว่า เวลาแต่งตั้ง ผบ.ทบ. เขาดูจากอะไรบ้าง เมื่อได้คำตอบว่า ดูจากความรู้ความสามารถ ความมีอาวุโส แล้วคุณสมบัติที่เด่น พล.อ.ประยุทธ์ ตอบทันทีว่า "ถ้าไอ้ 2 คนแรกมันห่วย มันไม่ได้ ก็ต้องตั้งคนที่ 3 "
เมื่อถามว่า มีด้วยหรือ นายกฯ ส่ายหน้า พร้อมกล่าวว่า "ไอ้บ้า กว่าจะโตมาถึงขนาดนี้ เขาก็กรองกันมาทั้งหมดแล้ว ก็ไปไล่ความมี ความอาวุโสกันมา ไม่ใช่ใครก็จะเป็นได้ ไม่ใช่ 5 เสือก็เป็นไปได้ทุกคน ถ้า รอง ผบ.ทบ.ดี ก็ต้องเป็น รอง ผบ.ทบ. ไม่ใช่ รอง ผบ.ไม่เอา ไปเอาเสธ. ไปเอาผู้ช่วยฯ ขึ้นมา แล้วจะตั้งรอง ผบ.ทบ. มาทำไม"
นายกฯ กล่าวว่า การแต่งตั้งคน ต้องเป็นแบบนี้ ซึ่งการปฏิรูปตำรวจก็เหมือนกัน ทำไมจะต้องกังวล ถ้าจะตั้งปลัดกระทรวง หรืออะไร ถ้ามีคณะกรรมการ มี พ.ร.บ.ให้เขา มันก็คงจะไม่เสียอย่างเก่า ความจริงมันก็มีอยู่แล้ว ถ้าเขาทำตัวอย่างตนเองได้ ไม่ไปก้าวก่าย ไม่ไปสั่งคนนั้นคนนี้ ทุกอย่าง เป็นไปตามขั้นตอนว่าใครเป็นได้ ใครเป็นไม่ได้ ในกองทัพเขารู้อยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปเขียนให้คนนั้น คนนี้ จากที่ไม่เคยอยากจะเป็น ก็อยากเป็นขึ้นมาบ้าง คิดว่ากูก็มีสิทธิ์เหมือนกัน นี่แหละที่เรียกว่า ความแตกแยกในกองทัพ เป็นเพราะสื่อ
เมื่อถามว่า สรุปว่าจะตั้งใครเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ต้องไปเขียนว่าใครจะเป็น เพราะคนที่จะเขียน ผบ.ทบ.คนปัจจุบันเป็นคนเขียน แต่ละเหล่าทัพก็จะไปเข้าการพิจารณาของแต่ละคณะ วันนี้สื่อไม่ต้องรีบเขียน เพราะไม่ใช่เรื่องของสื่อ สื่ออยากเป็น รมต.กลาโหมบ้างหรืออย่างไร บางคนอยากเป็น ผบ.เหล่าทัพ เสียเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาตัดสินใจคัดเลือก ผบ.ทบ. และผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนายกฯใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยสั่ง และตอนที่ตนเป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่เคยเกรงใจใคร เพราะถือว่าเป็นสิทธิ และอำนาจของตน แต่ทั้งหมดทุกคนจะเอาพวงของตัวเองเข้าสู่ที่ประชุมสภากลาโหม ซึ่งมีคณะกรรมการแต่งตั้ง ถ้าทุกคนดูแล้ว แต่ละกองทัพไม่มีปัญหา เขาก็ตั้งไปตามนั้น
เมื่อถามว่า คุณสมบัติ ผบ.ทบ.ที่นายกฯ เห็นว่าเหมาะสมในยุคนี้ ควรมีอะไรบ้าง นายกฯกล่าวว่า ไม่มีอะไร ทุกยุคมันจะต้องทำให้กลไกของประเทศเดินหน้าไปด้วยกลไกปกติ อย่าต้องใช้อำนาจ ต้องใช้กฎ หรือใช้ มาตรา 44 ตลอดไปจนตาย ทำไมไม่ลดภาระตรงนี้ลงไป โดยสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคราชการ เราต้องช่วยกันสอน อย่าให้ตนต้องไปบังคับทุกคน จะต้องให้บังคับกันถึงเมื่อไร
ทั้งนี้ ตนจะสรุป แล้วมอบให้รองนายกฯ พูดคนละ 20-30 นาที จะพูดให้ฟังว่า อะไรทำจบไปแล้ว อะไรที่กำลังทำ หรืออะไรที่จะไม่ได้ทำแน่ ทำไม่ทัน ก็จะส่งต่อ ซึ่งตรงนี้ สปช.จะนำไปสานต่อ จะไปเริ่มต้นใหม่หมดไม่ได้ มิฉะนั้นที่ทำมาทั้งหมด ก็ถือว่าล้มเหลว
เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐบาลเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไปกว่า 100 ประเด็น คิดว่า กรรมาธิการยกร่างฯ จะแก้ไขได้มากน้อยแค่ไหน นายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ ไปถาม กมธ.ยกร่างฯเอง ส่วนประเด็นที่เป็นห่วงคือ เรื่องอย่าให้เกิดความขัดแย้ง และทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ประชาชนยอมรับ ประชาชนได้ประโยชน์ และประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยยั่งยืน ไม่มีความขัดแย้งไม่มีเสื้อสีนั้นสีนี้ขึ้นมาต่อต้านกันอีก ส่วนใครที่จะทำให้เกิดตรงนี้ได้ ไม่ใช่ตน อยู่ที่ทุกคน และอยู่ที่สื่อมวลชน 50 เปอร์เซ็นต์
ผู้สื่อข่าวถามว่า คำขอแก้ไขร่างรธน. ในส่วนของในครม.ไม่มีประเด็น นายกฯคนนอก เพราะอะไร นายกฯ กล่าวว่า "เรื่องนายกฯคนนอก ไม่ใช่เหตุผลอะไร แต่เป็นเพราะนายกฯคนนอก ทุกคนจะระแวงว่าจะเป็นผม หรือใคร ผมบอกแล้วว่า ผมจะไม่ไปอยู่อย่างนั้นเด็ดขาด ผมจะไปอยู่ด้วยอะไร เขาเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า ถ้าสถานการณ์มันเกิดความขัดแย้งสูงจนรัฐบาลดำเนินการไม่ได้ หรือเลือกตั้งไม่ได้ ก็เอาข้อเท็จจริงจากครั้งที่แล้วมาเขียน ซึ่งเป็นเรื่องของเขา ถ้าผ่านได้ เขาก็ผ่านไป แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน แล้วถ้าผมเข้ามา ผมไม่มีอำนาจ มันจะคุมใครอยู่ อำนาจคือความชอบธรรม ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ความชอบธรรม ของผมคือ ประชาชนพึงพอใจในสิ่งที่เขาควรจะได้ ไม่ใช่มาปลุกระดมให้คนเขามารักผม หรืออะไรต่างๆ แต่ผมมองในเรื่องอนาคต ผมไม่ได้มองว่า ให้คนในประเทศมารักผม แม้คนจะเกลียดผมทั้งประเทศ แต่ผมทำให้เกิดประโยชน์ บ้านเมืองมีความเจริญ ผมก็ภูมิใจ ต่อให้คนเกลียดผมทั้งประเทศก็ตาม และวันข้างหน้าคนเขาจะคิดถึงผม ซึ่งผมอาจตายไปแล้วก็ได้ มันเป็นประโยชน์กับประเทศไทย เมื่อถึงวันนั้น ก็คิดถึงผมก็แล้วกัน"
เมื่อถามว่า การที่คงนายกฯที่ไม่ได้มาจาก ส.ส.ด้วย ทางครม.มีการอภิปรายหรือไม่ว่า มีสาเหตุจากอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้สื่อต้องไปฟังคนที่เสนอ และพูดกันว่า 1. ปัญหามาจากครั้งที่แล้ว ปัญหาติดล็อกทั้งหมดแล้วเดินหน้าประเทศไม่ได้ ในระหว่าง 6 เดือน ไม่มีคนบริหารประเทศ รัฐบาลไม่มีอำนาจเต็มแล้วใครจะเดินหน้าในเรื่องเศรษฐกิจ งบประมาณ ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาเช่นนั้น เขาเลยคิดว่า ต้องหาใครมาสักคนมาบริหารประเทศ เมื่อคิดอย่างนี้ก็แล้วแต่เขา ก็ไปสู้กันมา
"ตอนนี้เราไประแวงกันเรื่องอำนาจ แล้วกลัวเรื่องของอำนาจ ซึ่งการใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ เขาถึงเรียกว่า อำนาจ แต่ถ้าสิ่งที่เป็นอำนาจแล้วขี้โกง ทุจริต อย่างนี้ผมคิดว่าไม่ใช่อำนาจ จึงอย่าไปพูดว่าผมอยากจะอยู่ต่อ หรือ คสช. อยู่เพื่ออำนาจ ตอบผมมา ว่าอำนาจคืออะไร" นายกฯ กล่าว
** ลั่นตำแหน่ง ผบ.ทบ. ไม่มีพี่ไม่มีน้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการตอบคำถามประเด็นเหล่านี้ ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ มีอารมณ์ฉุนเฉียว และสั่งให้ผู้สื่อข่าวตอบว่า อำนาจทั้งหมดคืออะไร สื่อฯเวลาเขียน ก็ขอให้เขียนให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปเขียนว่า อำนาจคือเรื่องการอยากอยู่ต่อในตำแหน่ง โดยมีน้องชายตนคอยออกมาปกป้อง อย่ามาพูดอย่างนี้กับตน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การอยู่ในอำนาจของนายกฯ หากมี พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ตามกระแสข่าว จะเป็นการช่วยค้ำรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า ค้ำอะไร ถ้าตนทำไม่ดี กองทัพเขาจะค้ำตนหรือไม่ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าเป็นพี่น้องกัน ก็อาจจะช่วยกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเสียงดังว่า คิดกันอยู่แค่นี้ พี่น้องก็ไม่ใช่พี่น้อง ตนทำงานไม่มีพี่ มีน้อง ไม่รู้อะไรกันนักหนา
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ถามผู้สื่อข่าวว่า เวลาแต่งตั้ง ผบ.ทบ. เขาดูจากอะไรบ้าง เมื่อได้คำตอบว่า ดูจากความรู้ความสามารถ ความมีอาวุโส แล้วคุณสมบัติที่เด่น พล.อ.ประยุทธ์ ตอบทันทีว่า "ถ้าไอ้ 2 คนแรกมันห่วย มันไม่ได้ ก็ต้องตั้งคนที่ 3 "
เมื่อถามว่า มีด้วยหรือ นายกฯ ส่ายหน้า พร้อมกล่าวว่า "ไอ้บ้า กว่าจะโตมาถึงขนาดนี้ เขาก็กรองกันมาทั้งหมดแล้ว ก็ไปไล่ความมี ความอาวุโสกันมา ไม่ใช่ใครก็จะเป็นได้ ไม่ใช่ 5 เสือก็เป็นไปได้ทุกคน ถ้า รอง ผบ.ทบ.ดี ก็ต้องเป็น รอง ผบ.ทบ. ไม่ใช่ รอง ผบ.ไม่เอา ไปเอาเสธ. ไปเอาผู้ช่วยฯ ขึ้นมา แล้วจะตั้งรอง ผบ.ทบ. มาทำไม"
นายกฯ กล่าวว่า การแต่งตั้งคน ต้องเป็นแบบนี้ ซึ่งการปฏิรูปตำรวจก็เหมือนกัน ทำไมจะต้องกังวล ถ้าจะตั้งปลัดกระทรวง หรืออะไร ถ้ามีคณะกรรมการ มี พ.ร.บ.ให้เขา มันก็คงจะไม่เสียอย่างเก่า ความจริงมันก็มีอยู่แล้ว ถ้าเขาทำตัวอย่างตนเองได้ ไม่ไปก้าวก่าย ไม่ไปสั่งคนนั้นคนนี้ ทุกอย่าง เป็นไปตามขั้นตอนว่าใครเป็นได้ ใครเป็นไม่ได้ ในกองทัพเขารู้อยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปเขียนให้คนนั้น คนนี้ จากที่ไม่เคยอยากจะเป็น ก็อยากเป็นขึ้นมาบ้าง คิดว่ากูก็มีสิทธิ์เหมือนกัน นี่แหละที่เรียกว่า ความแตกแยกในกองทัพ เป็นเพราะสื่อ
เมื่อถามว่า สรุปว่าจะตั้งใครเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ต้องไปเขียนว่าใครจะเป็น เพราะคนที่จะเขียน ผบ.ทบ.คนปัจจุบันเป็นคนเขียน แต่ละเหล่าทัพก็จะไปเข้าการพิจารณาของแต่ละคณะ วันนี้สื่อไม่ต้องรีบเขียน เพราะไม่ใช่เรื่องของสื่อ สื่ออยากเป็น รมต.กลาโหมบ้างหรืออย่างไร บางคนอยากเป็น ผบ.เหล่าทัพ เสียเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาตัดสินใจคัดเลือก ผบ.ทบ. และผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนายกฯใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยสั่ง และตอนที่ตนเป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่เคยเกรงใจใคร เพราะถือว่าเป็นสิทธิ และอำนาจของตน แต่ทั้งหมดทุกคนจะเอาพวงของตัวเองเข้าสู่ที่ประชุมสภากลาโหม ซึ่งมีคณะกรรมการแต่งตั้ง ถ้าทุกคนดูแล้ว แต่ละกองทัพไม่มีปัญหา เขาก็ตั้งไปตามนั้น
เมื่อถามว่า คุณสมบัติ ผบ.ทบ.ที่นายกฯ เห็นว่าเหมาะสมในยุคนี้ ควรมีอะไรบ้าง นายกฯกล่าวว่า ไม่มีอะไร ทุกยุคมันจะต้องทำให้กลไกของประเทศเดินหน้าไปด้วยกลไกปกติ อย่าต้องใช้อำนาจ ต้องใช้กฎ หรือใช้ มาตรา 44 ตลอดไปจนตาย ทำไมไม่ลดภาระตรงนี้ลงไป โดยสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคราชการ เราต้องช่วยกันสอน อย่าให้ตนต้องไปบังคับทุกคน จะต้องให้บังคับกันถึงเมื่อไร