ASTVผู้จัดการรายวัน-ตำรวจนำตัว "โกโต้ง" ตัวการใหญ่คดีค้ามนุษย์พร้อมพวก 4 คนฝากขัง เจ้าตัวปากแข็งยันบริสุทธิ์ ญาติ "ทัศนีย์" ขอความเป็นธรรม ไม่เกี่ยวข้องโกโต้ง ล่าสุดศาลออกหมายจับเพิ่มอีก 6 คน รวมเป็น 77 คนแล้ว "บิ๊กโด่ง" ยันจริงจังแก้ปัญหา ไม่ได้ผลักไสไล่ส่งชาวโรฮีนจา สวนยูเอ็น-องค์กรต่างชาติที่กดดันไทย บอกจะรับเอาไปบ้างก็ยินดี แจ้ง "สมยศ" หากพบทหารเอี่ยวฟันได้เลย พบแม่-เด็กในบ้านพักมีไข้สูง หวั่นเป็นโรคติดต่อ "ฐปณีย์"โพสต์เฟซขอโทษ-ขออภัยทำป่วน รับจะพิจารณาตัวเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา14.00 น. วานนี้ (20 พ.ค.) ที่สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือ นำตัวผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา 4 คน ประกอบด้วย นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้ง อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) สตูล ตัวการใหญ่เครือข่ายค้ามนุษย์จ.สตูล นางทัศนีย์ สุวรรณรัตน์ นายอนุสรณ์ สุขเกษม หรือโกเล้ง และพ.ต.ท.ชาญ อู่ทอง สารวัตรอำนวยการ สภ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี เครือข่ายจ.ระนอง ออกจากสภ.หาดใหญ่ ไปขออำนาจศาลจังหวัดนาทวีฝากขังผลัดแรก 12 วัน หลังจากพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ 4 คนเสร็จแล้ว แต่ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขณะที่พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เช่นเดียวกับผู้ต้องหาที่ถูกส่งไปฝากขังก่อนหน้านี้
**"โกโต้ง"ปากแข็งปฏิเสธทุกข้อหาขอสู้ทุกคดี
ทั้งนี้ เฉพาะนายปัจจุบันตกเป็นผู้ต้องหา 9 คดี ทั้งค้ามนุษย์และบุกรุกที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ เขตอุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา ซึ่งระหว่างการคุมตัวไปฝากขัง ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวสั้นๆ ว่า ตนปฏิเสธข้อกล่าวหา และพร้อมที่จะสู้คดีทุกคดีตามที่ถูกฟ้อง เนื่องจากไม่ได้กระทำความผิด และยังเป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมชูนิ้วสัญลักษณ์ไอเลิฟยูหยอกล้อกับผู้สื่อข่าวอย่างอารมณ์ดีอีกด้วย
สำหรับผู้ต้องหาที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า ขณะนี้เหลือเพียงคนเดียว คือ ร.ต.ท.นราธร สัมพันธ์ รองสว.สส.บก.ภ.จว.ระนอง ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวน ส่วนผู้ต้องหาอีก 37 คนที่ยังหลบหนีเจ้าหน้าที่ยังคงเร่งติดตามจับกุม
**ศาลนาทวีออกหมายจับอีก6รวมเป็น77ราย
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ก่อนนำตัวไปฝากขัง ญาติของนางทัศนีย์พร้อมทนายความเดินทางมายัง สภ.หาดใหญ่ เพื่อเตรียมยื่นเรื่องต่อศาลขอตัวไปทำคีโมที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็งเต้านม และแพทย์นัดวันที่ 21 พ.ค. และญาติยังได้เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับนางทัศนีย์ โดยระบุว่าไม่เคยมีความสัมพันธ์หรือรู้จักกับโกโต้งตามที่เป็นข่าว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ แต่ทำธุรกิจลานรับซื้อปาล์ม นากุ้ง และยางพารา เพียงแต่ยอมรับว่าพี่สาว ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าแรงงานพม่า ได้ยืมรถกระบะ ซึ่งเป็นชื่อของนางทัศนีย์ไปใช้ และมาทราบภายหลังว่าถูกนำไปขนชาวโรฮีนจา จนประสบอุบัติเหตุที่อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ศาลจังหวัดนาทวีออกหมายจับผู้ต้องหาเครือข่ายค้ามนุษย์เพิ่มอีก 6 คน จากเดิมที่ออกหมายจับแล้ว 71 คน รวมเป็น 77 คน ซึ่งเป็นการขยายผลมาจากการสอบสวนพยาน และผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี และทางอัยการสูงสุดยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการ 1 ชุดมาประสานงานกับฝ่ายสืบสวนสอบสวน เพื่อให้ขั้นตอนการสอบสวนและรวมรวมพยานหลักฐานรวดเร็วยิ่ง
**ผู้ว่าฯนำยึดเรือเครือข่ายที่เกาะหยงหลิง3ลำ
ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ ต.ตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล นายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัด พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย รองผบช.ภ. 9 รักษาราชการแทน ผบก.ภ.จว.สตูล พร้อมเจ้าหน้าที่เจ้าท่าสาขาสตูล ตำรวจน้ำ ร่วมตรวจยึดเรือ 3 ลำ แยกเป็นเรือตรวจการณ์ มีตรากรมการปกครอง ยึดได้ที่เกาะหยงหลิง เป็นของนายสมบูรณ์ สันโด หรือดีน กำนันตำบลเกาะสาหร่าย ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีค้ามนุษย์ เรือชื่อป๊อบอาย ตรวจยึดได้ที่เกาะปูยู เป็นของนายชาติ หรือชาญ ภูมิลำเนาอยู่เขตมีนบุรี กทม. และเรือสปีทโบ๊ทไม่มีชื่อเป็นของนายสาและ โต๊ะดิน ทั้ง 3 ลำยึดได้ที่เกาะหยงหลิง ทำให้สามารถยึดเรือได้แล้วรวม 5 ลำ โดย2 ลำโดยก่อนหน้านี้ เป็นเรือประมงหงส์ทอง 2,000 มูลค่า 3.5 ล้านบาท และสปีทโบ๊ท 4 เครื่องยนต์ มูลค่า 4.5 ล้าน
**ตำรวจชุมพรลากคอแก๊งค้าพม่าได้แล้ว4คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแก๊งค้ามนุษย์ในจ.ชุมพร ตำรวจจับกุมตัวตามหมายจับได้แล้ว 4 คน ที่อ.เมือง 2 คน คือ นายประเสริฐ สังข์สม อายุ 52 ปี หรือผู้ใหญ่เคว็ด และนายเจริญชัย ยอดจันทร์ หรืออ้น และ อ.ท่าแซะ 2 คน คือ นายธีรพงษ์ ปราบมาก หรือชาย อายุ 43 ปี นายณรงค์ศักดิ์ นุ้ยเขียว หรือเบิร์ด
**ผบ.ทบ.ยันไทยทำตามกฎหมาย-ยึดหลักสากล
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) กล่าวถึงการเปิดสถานที่พักพิงชั่วคราวว่า ต่างจากศูนย์พักพิงที่มีอยู่ 9 ศูนย์ ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นภาระ เพราะอยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า มีผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบหลายแสนคน แต่ตอนนี้ลดลงจากการที่พม่ารับประชาชนของเขากลับไป แต่ชาวโรฮีนจาเป็นคนละกรณีกัน เพราะหลบหนีเข้าเมือง อยู่ในสถานที่ควบคุมคนหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนเด็กและสตรีจะดูแลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทั้งหมดดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ ส่วนทหารไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการควบคุมตัว แต่จะดูแลด้านความมั่นคง ถ้าพบเห็นคนหลบหนีเข้าเมืองก็จะควบคุมตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
"ถ้ามีคนหลบหนีเข้ามามาก สถานที่ควบคุมไม่เพียงพอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ให้นโยบายจัดเตรียมพื้นที่เอาไว้ เจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลได้โดยตรง"
**เหน็บยูเอ็น-ต่างชาติกดดันรับไปบ้างก็ยินดี
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า สำหรับการปฏิบัติต่อชาวโรฮีนจา ขอเน้นย้ำว่าพล.อ.ประวิตร พร้อมด้วยพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้ลงพื้นที่จ.ภูเก็ต ชี้แจงแนวทางการปฏิบัติ ทั้งหมดจะร่วมกันดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชน และขอย้ำว่าไม่มีการผลักดันหรือผลักไสไล่ส่งทั้งสิ้น เพราะเราเป็นประเทศกลางทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของชาวโรฮีนจา เมื่อมีการเคลื่อนย้ายมาทางทะเล เจ้าหน้าที่เราก็ตรวจสอบและไปดูแลว่ามีปัญหาอะไร เจ็บป่วยก็จะนำเข้ามารักษาพยาบาล หายแล้วและต้องการเดินทางไปประเทศที่ 3 เราก็ไม่สามารถขัดขวาง หากต้องการเดินทางจะนำตัวเข้าสู่ระบบการควบคุมลักษณะคนหลบหนีเข้าเมือง โดยไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
"ประเทศเรายังถูกจับตามองจากองค์กรต่างๆ บางประเทศอาจไม่เข้าใจ ผมก็ขอชี้แจงให้เข้าใจตามนี้ และถ้าเป็นไปได้ประเทศที่พยายามดูแลด้านสิทธิมนุษยชนของคนเหล่านี้ หากช่วยประเทศไทยได้บ้างก็ดี ขอให้เห็นใจเราบ้าง เพราะเราแบกรับภาระเยอะมาก ดังนั้นถ้าท่านเห็นใจคนหลบหนีเข้าเมือง และถ้าประเทศท่านมีความพร้อม ก็รับไปดูแลได้"
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวเป็นปัญหาที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ผลักดันมาให้ไทยรับผิดชอบ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะผลักดันกลับไปให้องค์กรเหล่านี้รับผิดชอบเอง พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ทราบว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทย ไปประชุมที่ประเทศมาเลเซีย ในกรอบจะแก้ปัญหากันอย่างไร และวันที่ 29 พ.ค. ก็จะมีการจัดประชุมกับประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยข้อมูลที่ผู้สื่อข่าวสอบถามจะหารือให้ชัดเจน และก็จะเสนอกลับไปยังองค์กรเหล่านั้น
**บอก"สมยศ"เจอทหารเอี่ยวไม่ต้องเกรงใจ
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ขอชี้แจงเพิ่มเติมว่าทั้งทหารหรือตำรวจดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้เห็นว่าเราจริงจังต่อการแก้ปัญหา ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์จะลงโทษอย่างเด็ดขาด เพราะได้พูดคุยกับพล.ต.อ.สมยศแล้วว่า ไม่ต้องเกรงใจใๆทั้งสิ้น หากพบว่ากำลังพลของทหารเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายให้ดำเนินการเต็มที่ คนดีต้องถูกเชิดชูให้รางวัล ส่วนคนไม่ดีต้องไม่ให้มีบทบาท ไม่ให้อยู่ในกองทัพต่อไป ดังนั้นถ้ามีพยานหลักฐานก็ขอให้ดำเนินการได้เต็มที่
***เมียนมาตอบรับเข้าร่วมประชุมแก้ปัญหา
รายงานข่าวแจ้งว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมช.ต่างประเทศ ได้หารือทวิภาคี กับนายตัน จ่อ รมช.ต่างประเทศเมียนมา ที่โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส ถนนราชดำริ โดยล่าสุด เมียนมาและบังกลาเทศ ได้ตอบรับร่วมประชุมในวันที่ 29 พ.ค.นี้ แล้ว
นายดอน กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาระยะสั้น ผู้ที่ขึ้นฝั่งแล้วจะได้รับการดูแลให้ที่พักพิงชั่วคราว ขณะที่การแก้ไขปัญหาระยะยาว จะมุ่งไปที่ผู้ที่ยังไม่ได้เดินทางออกมาว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เดินทางออกมาอีก ถือเป็นสิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศต้องร่วมมือกันแก้ไข มิฉะนั้นจะเกิดการไหลบ่าของผู้คนออกมาอีก
ส่วนกรณีมาเลเซียและอินโดนีเซียประกาศว่าพร้อมให้ที่พักพิงชั่วคราว แต่ดูเหมือนไทยจะยังสงวนท่าที นายดอน กล่าวว่า ไม่ใช่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้บอกแล้วว่าไทยได้ให้การดูแลคนเหล่านี้มาตลอด และใช้กฎหมายภายในประเทศดูแลในลักษณะของเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย ไม่ต่างจากการที่ประเทศเพื่อนบ้านระบุว่าจะรับดูแลเป็นการชั่วคราวระยะเวลา 1 ปีก่อนจะให้ออกไป
**กสม.ถกแนวทางแก้ปัญหาเสนอรัฐบาล
วันเดียวกัน คณะอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองใน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสท.) ที่มีน.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธาน เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเสนอแนะความคิดเห็นและแนวทางการทำงานเกี่ยวกับผู้หลบหนีเข้าเมืองและขบวนการค้ามนุษย์ เพื่อนำเสนอไปยังรัฐบาล โดยพ.ต.อ.อาคม สายสมัย รองผบก.สส.ภ. 8 กล่าวว่า การลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองมีความรุนแรง และพัฒนาเป็นการกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่ ซึ่งตำรวจภาค 8 และ 9 ร่วมกันติดตามจับกุมอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถจับกุมได้หมด เพราะผู้กระทำผิดนำหนีขึ้นภูเขา เข้าป่าลึก แต่ก็สามารถขยายผลจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ร่วมขบวนการได้บางส่วน
นพ.กิตติศักดิ์ ศรีพงษ์ แพทย์ชันสูตรพลิกศพ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) กล่าวว่า การตรวจสอบสภาพศพในแคมป์กักกันชาวโรฮีนจา พบว่ามีอายุตั้งแต่ 16-35 ปี ระยะเวลาที่เสียชีวิตตั้งแต่ 1-2 วัน และ 6 เดือนถึง 1 ปี ในช่องท้องไม่มีอาหาร ไม่มีกระดูกหัก คาดว่าสาเหตุเกิดจากการขาดอาหาร แต่มีศพที่เสียชีวิต 1-2 วันพบรอยฟกช้ำที่ลำคอ หน้าอก กระดูกซี่โครง ซึ่งได้รายงานผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว
นพ.นิรันดร์ กล่าวภายหลังประชุมว่า การแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติในพื้นที่ ขอให้หน่วยงานเกี่ยวกับสิทธิในพื้นที่ประสานงานกับหน่วยงานรัฐทั้งในเรื่องการพิสูจน์สัญชาติ เรื่องคดีความ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือคนที่ยังลอยเรืออยู่ในทะเล ส่วนการแก้ปัญหาเชิงนโยบาย เห็นว่าการประชุมระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาชาวโรฮีนจา ในวันที่ 29 พ.ค. เป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยจะแสดงให้ประเทศที่ร่วมประชุมเห็นว่าปัญหาโรฮีนจาเป็นปัญหาที่ประเทศในภูมิภาคต้องร่วมกันแก้ไข เพราะปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาที่ประเทศไทยทำให้เกิดขึ้น
***หวั่น"แม่-เด็ก"ไข้สูงอาจเป็น"โรคติดต่อ"
นางสุวรีย์ ใจหาญ ผู้อำนวยการต่อต้านการค้ามนุษย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า ผู้อพยพที่เป็นแม่และเด็กในบ้านพักเด็กและครอบครัวเจ็บป่วย มีอาการไข้สูง ซึ่งแพทย์ต้องเฝ้าระวัง เพราะอาจเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง เนื่องจากอยู่บนเรือเป็นเวลานาน
***"ฐปณีย์"โพสต์เฟซขอโทษ-ขออภัยทำป่วน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (20 พ.ค.) เฟซบุ๊ก Thapanee Ietsrichai ของ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้โพสต์ข้อความระบุว่า พยายามคิดว่า การเงียบ เข้มแข็ง และตั้งใจทำงาน ไม่ตอบโต้อะไร น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดต่อสถานการณ์นี้ แต่ความเกลียดชังที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทำให้เสียใจและคิดไปมากมาย ได้อ่านคอมเม้นต์ที่วิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งท้อ ทั้งคำกล่าวหา ไม่รักชาติ ทั้งข้อกล่าวหา ทำไมไม่ทำข่าวคนทุกข์ยากในไทย ไม่ทำข่าวสามจังหวัดชายแดนใต้ หรือขับไล่ให้ลงเรือไปกับชาวโรฮิงญา จริงๆ ก็มีเหตุผลมากมายอยากอธิบาย อยากขอความเป็นธรรม แต่ไม่รู้จะมีใครรับฟังบ้าง เพราะดูเหมือนสังคมนี้ กำลังจะบอกให้ตนหยุด จึงต้องคิดทบทวน
น.ส.ฐปณีย์ ระบุว่า หากการดำรงอยู่ในวิชาชีพสื่อมวลชน การตั้งต้นอยู่ในความตั้งใจเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ การตั้งต้นในการทำข่าวเพื่อช่วยเหลือผู้คน การทุ่มเทเวลาทั้งหมดในชีวิต ตลอด 15 ปีในวิชาชีพนี้ การทำความดี มันเป็นสิ่งผิด หากการทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจดี มันทำให้เกิดความรู้สึกไปมากมายขนาดนี้ คงต้องขอโทษและขออภัยไว้ ณ ที่นี้ และถึงเวลาต้องบอกตัวเองให้หยุด จริงๆ ก็เหนื่อยมามากแล้ว ถ้าไม่มีนักข่าวชื่อ ฐปณีย์ อะไรๆ มันอาจง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอบคุณหลายกำลังใจที่มีให้
จากนั้น น.ส.ฐปณีย์ ได้โพสต์ข้อความอีกว่า ขอแสดงความรับผิดชอบหากการทำหน้าที่ทำให้เกิดปัญหามากมายขนาดนี้ มีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากบอก จะด่าว่า จะกล่าวหาตนอย่างเสียหายก็พยายามอดทน แต่สิ่งที่เสียใจมากที่สุดขณะนี้คือ การที่ข่าวนี้กำลังทำให้เกิดความเกลียดชังต่อเพื่อนมนุษย์ กำลังถูกเชื่อมโยงการเมือง และส่อเค้าบานปลายถึงความขัดแย้งทางศาสนา ขอยืนยันว่า การนำเสนอข่าวที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญา ได้ทำตามหน้าที่ของสื่อมวลชน และเพื่อนมนุษย์อย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีเบื้องหลังและเจตนาใด นอกจากติดตามเรื่องนี้มาหลายปีและอยากเห็นการแก้ปัญหาให้ลุล่วง
น.ส.ฐปณีย์ ระบุด้วยว่า ต่อข้อกล่าวหา บางเรื่องไม่ถูกต้อง จึงต้องชี้แจงว่า ตนไม่เคยพูดว่าให้ตั้งศูนย์พักพิง ไม่เคยพูดว่ารัฐบาลไทยต้องดูแลแต่ได้บอกเล่าถึงชีวิตและชะตากรรมของคนเหล่านี้ ในฐานะนักข่าวที่ได้ขึ้นไปสัมผัสชีวิตบนเรือของผู้อพยพชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นภาพแรกที่เราได้เห็นว่าพวกเขาเป็นอย่างไร และเจ้าหน้าที่ไทยได้ทำดีที่สุดแล้ว แค่อยากให้โลกรับรู้ถึงชีวิตและชะตากรรมของพวกเขา เพื่อสังคมโลกจะช่วยกันหาทางออก ก็เท่านั้นเอง ขอบคุณอีกครั้ง จะพิจารณาตัวเอง และรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น