xs
xsm
sm
md
lg

มั่นใจกำไรบจ.พุ่ง ดัชนีเมษาโต1.4%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเผยดัชนีเดือนเมษายน เพิ่ม 1.4% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 42,442 ล้านบาท มั่นใจ กำไรสุทธิ บจ. ไตรมาสแรกจะมากกว่า 2 แสนล้านบาท หลังผลประกอบการด้านขนส่ง-ท่องเที่ยวหนุน
นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. เปิดเผยถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ในเดือนเมษายน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดที่ 1,526.74 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม และปรับเพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 42,442 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดของ SET ในสิ้นเดือนเมษายน ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.42% อยู่ที่ 14.32 ล้านล้านบาท ส่วน mai เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3.33% อยู่ที่ 411,127 ล้านบาท รวมทั้งหมด 14.73 ล้านล้านบาท โดยในระหว่างเดือนมีเหตุการณ์สำคัญในตลาดการเงิน คือการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นครั้งที่สองของธนาคารแห่งประเทศไทย และสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อหลักทรัพย์ในกลุ่มทรัพยากรและกลุ่มปิโตรและเคมีภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในตลาดหลักทรัพย์ไทย ที่ 210 ล้านบาท ซึ่งมีผลมาจากการดำเนินมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหภาพยุโรป และการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก เมื่อต้นเดือนเมษายน ทั้งนี้บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai มีมูลค่าระดมทุนรวม 3,268 ล้านบาท และในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2558 มีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งสิ้น 132,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายเกียรติพงศ์ กล่าวแสดงความมั่นใจว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ในไตรมาส 1/58 จะมากกว่าที่หลายๆ ฝ่ายคาดการณ์ไว้ และจะมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 202,047 ล้านบาท และไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62,543 ล้านบาท เพราะปัจจุบันมี บจ.ส่งผลการดำเนินงานมาทั้งสิ้น 306 บริษัท หรือคิดเป็น 77% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 199,000 ล้านบาท และประเมินว่าหากบริษัทจดทะเบียนส่งผลการดำเนินงานมาทั้งหมดแล้ว จะมีกำไรสุทธิมากกว่า 200,000 ล้านบาทแน่นอน
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างโดดเด่นคือ พลังงาน ท่องเที่ยว บริการ และการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก (ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ประกอบกับประเทศใหญ่ๆมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงที่มีการเติบโตได้ค่อนข้างดี
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1/58 สัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 31.23% ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 10 ปี แต่อย่างไรก็ตาม มูลค่าการถือของครองหุ้นของต่างชาติจากปี 47 จนถึงปี 57 มีการเติบโตขึ้นถึง 270% ซึ่งเป็นไปตามมูลค่าตลาดรวมที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
กำลังโหลดความคิดเห็น