xs
xsm
sm
md
lg

สนับสนุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ คัดค้านหลักประกันสุขภาพแบบประชานิยมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

เผยแพร่:   โดย: อ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

อาจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์


ตามที่ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร. อภิวัฒน์ มุทิรางกูรได้นำเสนอหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดูรายละเอียดได้ใน “แก้ปัญหาโครงการประชานิยม 30 บาทก่อนประเทศจะล่ม ด้วยแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำโรงพยาบาลให้เป็นของชุมชน ปฏิรูปสังคมไทยให้เข้มแข็ง” เพื่อปฏิรูประบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งเป็นระบบหลักประกันสุขภาพแบบประชานิยมที่ริเริ่มขึ้นมาในสมัยรัฐบาลพันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตรและได้สร้างปัญหามากมายกับสังคมไทย ผมขอสนับสนุนแนวความคิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแบบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคัดค้านระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแบบประชานิยมที่ใช้ในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังแสดงในตารางด้านล่างนี้

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแบบประชานิยมในปัจจุบันกับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

มิติหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
แบบประชานิยม (ปัจจุบัน)

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ที่มาของแนวความคิดสังคมนิยม (Socialism) และรัฐสวัสดิการสังเคราะห์จากพุทธธรรม
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หลักคิดรัฐจัดให้ประชาชนทุกคนได้รับบริการทุกอย่างฟรี ไม่จำกัดทางสายกลาง
พอประมาณและไม่เบียดเบียน ทุกภาคส่วน อยู่ได้อย่างพอเพียงและพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
วิธีการ-รัฐออกเงินให้ประชาชนทุกคนรักษาพยาบาลโดยเสมอหน้า ไม่ว่าจะรวยจะจนก็ใช้สิทธินี้ได้เสมอกัน โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว
-สปสช ขอเงินจากรัฐบาล มาจัดสรรให้โรงพยาบาลตามจำนวนประชากรที่ถือบัตร และตามโรคที่รักษาในราคาเรียกเก็บที่ต่ำที่สุด
- เงินที่ สปสช จัดสรรให้ รพ น้อยกว่าค่าเรียกเก็บ ทำให้ รพ ขาดทุน
มีเหตุผล
-บริหารตามเหตุตามผล โดยผู้ปฏิบัติตามสถานภาพของ รพ และ ชุมชนนั้นๆ คล้ายการประยุกต์ทฤษฎีใหม่
- บริหารแบบองค์รวม ใช้ความรู้สหวิทยาการ
-การจัดการความรู้ แบ่งปันความรู้ เรียนรู้วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดในการบริหารโรงพยาบาลจากหน่วยงานที่ทำได้ดี
พอเพียง
-เพิ่มรายได้ และ ลดรายจ่าย
- ใช้สิทธิแบบพอเพียง
ภูมิคุ้มกัน
-สร้างแรงจูงใจต่อการรักษาสุขภาพได้ ปรับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค
-ค่าว่าจ้าง แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทั้งหมดควรกลับไปขึ้นตรงต่อ สธ. จนกว่าจะแก้ปัญหาโรงพยาบาลขาดทุน และชุมชนเข้มแข็ง
- การแบ่งโรงพยาบาลเป็นเขตสาธารณสุข เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
- ส่งเสริมการป้องกันโรคและการรักษาโรคเบื้องต้น
บนพื้นฐานของความเสียสละ สามัคคี
บนพื้นฐานความรู้ การแพทย์ วิจัย ระบาดวิทยา logistics วิทยาการประกันภัย และการบริหารความเสี่ยง
ภาระทางการเงินเพื่อการรักษาพยาบาลของประชาชนไม่มี ทุกอย่างฟรีหมด
คนจนใช้เวลารอนาน
อำมาตย์ใช้เส้น
คนรวยใช้เงินซื้อบริการจากโรงพยาบาลเอกชน (ศ.ดร. อัมมาร์ สยามวาลา)
ผลจากการศึกษาของสปสช ทำให้ทราบว่าคนไทยจ่ายเงินในการรักษาพยาบาลต่อครัวเรือนลดลงมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2545
มีหลายแนวทาง แต่อยู่บนหลักการของความพอเพียงมีคุณธรรม (เสียสละ สามัคคี) และไม่เบียดเบียน – เช่น ประชาชนที่มีฐานะ อาจเลือกรับสิทธิ ๓๐ บาทเฉพาะเวลา ผ่าตัดหรือเมื่อต้องรับยาราคาแพง หรือ ประชาชนที่มีฐานะทางการเงินดี จ่ายเงินซื้อบริการชั้นดีจากโรงพยาบาลของรัฐ หรือซื้อประกันสุขภาพเกรด AAA จากสปสช กำไรที่ได้จากคนรวยนำมาช่วยเหลือเกื้อกูลคนยากจน นำมาพัฒนาการบริการให้คนยากจน อย่างเช่น โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์
-ประชาชนที่มีฐานะปานกลางจ่ายสมทบหรือ co-pay กับสปสช เตรียมตัวไว้ก่อนเจ็บป่วย หากป่วยอาจจะต้องเสีย deductible เงินนิดหน่อยให้การเข้ารักษาพยาบาลเพื่อป้องกันความพร่ำเพรื่อในการรักษาพยาบาลที่ไม่จำเป็น กำไรที่ได้นำมาพัฒนา
- ประชาชนที่มีฐานะทางการเงินไม่ดี ได้รับบริการเช่นเดิมโดยรัฐให้สวัสดิการ ประชาชนที่มีฐานะดีกว่าช่วยเหลือเกื้อกูลทางอ้อม
ความเท่าเทียมในสังคม- สปสช มองว่าความเท่าเทียมคือการเสียเงินเท่ากัน เช่น ๓๐ บาท ต่อครั้งทุกคน (ในช่วงที่ยังมีการเก็บ ๓๐ บาท)หลักการของความพอเพียงคือเปลี่ยนได้ตามฐานะของแต่ละบุคคล ไม่ฟุ่มเฟือย ดังนั้นความเท่าเทียมคือการได้รับการดูแลรักษาที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ทุกคน โดยที่ผู้ที่มีฐานะดีกว่า เสียเงินมากกว่าได้ เพื่อลดการเบียดเบียนงบประมาณทางอ้อม
ภาระทางการคลังของรัฐบาลมหาศาล เพิ่มขึ้นทุกปี เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นต่อเงินงบประมาณแผ่นดินทุกๆ ปี ต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละหนึ่งหมื่นล้านบาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ภายในสิบปีอาจจะเป็นภาระงบประมาณไม่น้อยกว่า 9% ของเงินงบประมาณแผ่นดิน
การที่สปสช อ้างว่าใช้เงินแค่ 4 % ของ Gross Domestic Product เป็นข้ออ้างที่ไม่รับผิดชอบต่อประเทศ เพราะ GDP ไม่ใช่รายได้ของรัฐบาล แต่เป็นเงินของคนทั้งประเทศ ในขณะที่งบประมาณของสปสช รัฐบาลจ่ายทั้งหมด
ลดภาระทางการคลังของประเทศลงได้อย่างแน่นอน
เสถียรภาพทางการเงินและความยั่งยืนของระบบขาดทุน รัฐบาลไม่อาจจะหาเงินมาให้ได้ทั้งหมด สุดท้ายระบบจะล้มละลายด้วยตัวเองเพราะรัฐบาลไม่มีเงินจ่าย อันเกิดจากสามปัจจัยหลัก
1.สังคมผู้สูงอายุ คนไทยอายุขัยยืนยาวขึ้น อายุ
มากขึ้น ป่วยมากขึ้น
2. ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้ค้นพบโรคใหม่ๆ มากขึ้น มียาใหม่และวิธีการวินิจฉัยรักษาใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก
3. ผู้ใช้บริการเรียกร้องมากขึ้น เอาเปรียบระบบ เนื่องจากเป็นของฟรี หลายคนคิดเอาเปรียบ เบิกยาเกิน มีฐานะจะจ่ายได้ก็ไม่ยอมจ่าย มาพบแพทย์โดยไม่มีความจำเป็น
- มีเสถียรภาพทางการเงินและมีความยั่งยืน เนื่องจากไม่พึ่งพิงแหล่งเงินจากแหล่งเดียวคือรัฐบาล
- มีโอกาสเพิ่มรายได้และเป็นการบริหารความเสี่ยงด้านรายได้ เช่น ท้องถิ่นและชุมชน ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการหารายได้เข้าสู่ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า
- ประชาชนไม่เรียกร้องการรักษาที่เกินความจำเป็น ทำให้ค่าใช้จ่ายไม่สูง
ผลกระทบต่อพฤติกรรมทางสุขภาพประชาชนรณรงค์ส่งเสริมสุขภาพไปมากมายก็ไม่มีประโยชน์ เพราะประชาชนรู้ว่าเมื่อตนเจ็บป่วยแล้วยังไงก็ต้องได้รับการรักษาฟรี ทำให้ไม่เห็นคุณค่าของการดูแลสุขภาพตัวเอง ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการเจ็บป่วยของตัวเอง ระบบนี้ไม่ส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีในการดูแลสุขภาพ-ประชาชนจะเกิด awareness ระมัดระวังตัว มีการรักษาสุขภาพเพราะกลัวภาระทางการเงินที่จะเกิดขึ้นหากไม่รักษาสุขภาพให้ดีพอ
-ประชาชนจะระวังเรื่องสุขภาพมากขึ้นเนื่องจากต้องเสียเงินค่า co-pay เพิ่มมากขึ้นหากมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ดี
ผลกระทบต่อคุณภาพการบริการสาธารณสุขหน่วยให้บริการ และบุคลากรสาธารณสุข-หน่วยให้บริการขาดทุน จนไม่อาจจะมีเงินทุนเหลือเพื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการใดๆ ได้ ไม่ว่างบประมาณลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การว่าจ้างบุคลากร
- คนเข้ารับบริการล้นหลาม การรอคิวยาวนาน ทำให้คุณภาพการรักษาลดต่ำลง ความแออัดในหน่วยให้บริการอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่น การติดเชื้อเพิ่มขึ้น
- บุคลากรทำงานหนักเพราะคนไข้เยอะมาก เหนื่อย ท้อ ทำอย่างไรก็ขาดทุน ลาออกไปอยู่เอกชน ยิ่งทำให้บุคลากรที่มีไม่พออยู่แล้วยิ่งลดลง งานยิ่งหนักมากขึ้น
- หน่วยให้บริการมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ลดการขาดทุน และอาจจะมีเงินงบประมาณลงทุนเหลือพอที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือว่าจ้างบุคลากรได้ อาจจะมีรายได้จากชุมชนหรือท้องถิ่นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา
- คนรับบริการที่ไม่จำเป็นลดลง เพราะรู้ว่าตัวเองต้องจ่ายเงิน พยายามรักษาในสิ่งที่จำเป็น มีพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพดีขึ้น
- บุคลากรทำงานบริการลดลง แต่จะมีเวลาดูแลคนไข้มากขึ้น มีเวลาพัฒนาคุณภาพงานบริการมากขึ้น อัตราการลาออกน่าจะลดลงไปได้
ผลกระทบต่อการเตรียมตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของประเทศไทย-ไม่ส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ
-ทำให้ขาดการวางแผนทางการเงินสำหรับตนเองและครอบครัวสำหรับการเจ็บป่วยเพราะรัฐเข้าไปดูแลให้ทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข
-ส่งเสริมให้คนออมและวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณ ชราภาพ และการเจ็บป่วย การรักษาพยาบาล ส่งผลดีต่อประเทศและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวอย่างยิ่ง
การมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาชน-ให้เงินองค์การเอกชนไม่แสวงกำไรเพื่อใช้ในการวิจัยและส่งเสริมสุขภาพ
-ประชาชนเพียงส่วนน้อยและเป็นพรรคพวกถึงมีโอกาสเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง
ด้วยหลักการ “ใช้เหตุผล” รับรู้สถานภาพของโรงพยาบาล ตระหนักถึงปัญหา มีความรู้สึกเป็นเจ้าของและห่วงใย และยินดีที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
ภาระงานของสปสช และความสามารถที่ต้องการ-ทำงานง่าย –ขอเงินจากรัฐบาลอย่างเดียว
- เป็นศูนย์ต้นทุน (cost center) มีอำนาจจ่ายอย่างเดียวสบาย ใช้เงินที่ตัวเองไม่ได้หามา
- หารจำนวนหัว จัดสรรไปตามจำนวนหัว
-ขอตัวเลขจากสธ ประสานงาน สั่งการสธ ให้ได้ผลงานที่ต้องการ
- เป็นศูนย์กำไร (Profit center) เนื่องจากต้องจัดหารายได้จาก co-pay และต้องพยายามส่งเสริมให้บริการของสธ ดีขึ้นเพื่อดึงดูดเงินจากคนมีเงิน และชนชั้นกลาง
- ต้องแข่งขันกับบริษัทประกันภัย ที่ให้บริการประกันสุขภาพ ซึ่งถ้าสปสช มีความสามารถไม่พอก็จะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
- สปสช ต้องลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต้องเข้าไปช่วยเหลือการดำเนินงานของหน่วยบริการของสธ ให้มีประสิทธิภาพ
- ต้องใช้ความรู้ทางด้านวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
- สปสช ต้องบริหารการเบิกจ่าย (Claim administration) ทั้งการอนุมัติ การตรวจสอบ การบริหาร
- ในปัจจุบัน สปสช ยังไม่มีความสามารถเพียงพอ ต้องพัฒนาอีกมาก
อุปสรรคในการนำไปใช้-นิสัยเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของประชาชน
- การรวมศูนย์อำนาจทางการเงินของสปสช ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างหน่วยให้บริการกับผู้จัดสรรเงินงบประมาณ
-งบประมาณบานปลาย รัฐบาลต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาให้สปสช โดยสปสช เปรียบเหมือนลูกที่เรียกร้องขอเงินพ่อแม่จนๆ (รัฐบาล) เพราะอยากได้ของแพงๆ แต่พ่อแม่ไม่มีเงินต้องไปกู้หนี้ ยืมสิน ขายตัว ขายอวัยวะมาให้ลูกถลุงเงินตามปรารถนา
-ความไม่กล้าของนักการเมืองที่กลัวจะสูญเสียคะแนนเสียงเลือกตั้ง ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน
-ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของแทบทุกฝ่าย
- สปสช สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ที่มีอยู่เดิมจะออกมาต่อต้านอย่างรุนแรง
- คนจนกลัวเสียผลประโยชน์ฟรีที่เคยได้รับตลอดมา
- คนรวยที่ใช้สิทธิบัตรทองก็ต่อต้าน เพราะกลัวเสียผลประโยชน์เดิมที่ได้รับ กลัวการตรวจสอบทรัพย์สิน
- องค์การเอกชนที่เคยมีผลประโยชน์กับสปสช จะต่อต้านอย่างรุนแรง


ขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูเอาเองเถิดว่า เราถึงเวลาต้องแก้ไขแล้วหรือยัง และ สปสช ควรทำงานแบบประชานิยมหรือทำงานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความเสียสละเพื่อประเทศไทยที่รักยิ่งของเรา
กำลังโหลดความคิดเห็น