ASTVผู้จัดการรายวัน – “ปูนซิเมนต์ไทย”โอ่ไตรมาส2/58 ยอดขายพุ่งและกำไรแจ่ม เหตุสเปรดเม็ดพลาสติกสูงทุบสถิติ 810 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดีกว่าไตรมาสก่อนและความต้องการใช้ปูนในประเทศโตขึ้นจากโครงการลงทุนของภาครัฐ โดยไตรมาส1/58 ยอดขายลดลง 10% แต่กำไรพุ่ง32%แตะ 1.1หมื่นล้านบาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้รายได้จากการขายลดลง10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมียอดขาย1.09 แสนล้านบาท และมีกำไรจากการขายเงินลงทุน 1.48 พันล้านบาท ส่วนไตรมาสที่2/58 คาดว่า ยอดจะขายปรับตัวเพิ่มขึ้น จากไตรมาสแรก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าไตรมาส1/2558 ที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลทำให้ราคาเม็ดพลาสติกทั้ง HDPP และHDPE ขณะนี้ปรับตัวสูงขึ้นมาที่ตันละ 1.3-1.4 พันเหรียญสหรัฐ จากไตรมาสก่อนที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.1 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน
ขณะเดียวกันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกกับแนฟทา (สเปรด)ในขณะนี้ก็ปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 810 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าสเปรดเฉลี่ยในช่วงไตรมาส1/2558 ที่อยู่ระดับ 700 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและแนฟทาปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาเม็ดพลาสติกปรับราคาสูงขึ้นและเร็วกว่า ทำให้มาร์จินเพิ่มสูงขึ้นมากและบริษัทมีปริมาณการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนด้วย
ส่วนธุรกิจซีเมนต์คาดว่าจะมีความต้องการใช้ปูนเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะในส่วนโครงการลงทุนของภาครัฐ ขณะที่ความต้องการใช้ปูนในส่วนภาคที่อยู่อาศัย และคอมเมอร์เชียลก็เริ่มเห็นสัญญาณปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยความต้องการใช้ปูนในไทยประมาณ 40 ล้านตัน/ปี ในปีนี้บริษัทจะลดการส่งออกปูนลงจากเดิม 4.5 ล้านตัน เหลือ 4 ล้านตัน
ทั้งนี้ผลประกอบการไตรมาส1/58 แยกตามธุรกิจ พบว่า รายได้ในไตรมาส1/2558 ของกลุ่มเคมีภัณฑ์อยู่ที่ 4,79 หมื่นล้านบาท ลดลง21%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีกำไร 4.93 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 99%จากช่วงเดียวกันของปี2557 เพราะปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและสเปรดที่สูงขึ้น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 930 ล้านบาทแล้วก็ตาม
ส่วนกลุ่มซิเมนต์และวัสดุก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 4.70 หมื่นล้านบาท ลดลง1%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้ปูนในประเทศที่ลดลง และมีกำไร 3.55 พันล้านบาท ลดลง 14%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กลุ่มธุรกิจกระดาษ มีรายได้จากการขาย 1.71 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 878 ล้านบาท ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมาร์จินที่ลดลง และปีก่อนรายได้จากรายการพิเศษด้วย
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้รายได้จากการขายลดลง10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมียอดขาย1.09 แสนล้านบาท และมีกำไรจากการขายเงินลงทุน 1.48 พันล้านบาท ส่วนไตรมาสที่2/58 คาดว่า ยอดจะขายปรับตัวเพิ่มขึ้น จากไตรมาสแรก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าไตรมาส1/2558 ที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลทำให้ราคาเม็ดพลาสติกทั้ง HDPP และHDPE ขณะนี้ปรับตัวสูงขึ้นมาที่ตันละ 1.3-1.4 พันเหรียญสหรัฐ จากไตรมาสก่อนที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.1 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน
ขณะเดียวกันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกกับแนฟทา (สเปรด)ในขณะนี้ก็ปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 810 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าสเปรดเฉลี่ยในช่วงไตรมาส1/2558 ที่อยู่ระดับ 700 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและแนฟทาปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาเม็ดพลาสติกปรับราคาสูงขึ้นและเร็วกว่า ทำให้มาร์จินเพิ่มสูงขึ้นมากและบริษัทมีปริมาณการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนด้วย
ส่วนธุรกิจซีเมนต์คาดว่าจะมีความต้องการใช้ปูนเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะในส่วนโครงการลงทุนของภาครัฐ ขณะที่ความต้องการใช้ปูนในส่วนภาคที่อยู่อาศัย และคอมเมอร์เชียลก็เริ่มเห็นสัญญาณปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยความต้องการใช้ปูนในไทยประมาณ 40 ล้านตัน/ปี ในปีนี้บริษัทจะลดการส่งออกปูนลงจากเดิม 4.5 ล้านตัน เหลือ 4 ล้านตัน
ทั้งนี้ผลประกอบการไตรมาส1/58 แยกตามธุรกิจ พบว่า รายได้ในไตรมาส1/2558 ของกลุ่มเคมีภัณฑ์อยู่ที่ 4,79 หมื่นล้านบาท ลดลง21%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีกำไร 4.93 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 99%จากช่วงเดียวกันของปี2557 เพราะปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและสเปรดที่สูงขึ้น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 930 ล้านบาทแล้วก็ตาม
ส่วนกลุ่มซิเมนต์และวัสดุก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 4.70 หมื่นล้านบาท ลดลง1%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้ปูนในประเทศที่ลดลง และมีกำไร 3.55 พันล้านบาท ลดลง 14%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กลุ่มธุรกิจกระดาษ มีรายได้จากการขาย 1.71 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 878 ล้านบาท ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมาร์จินที่ลดลง และปีก่อนรายได้จากรายการพิเศษด้วย