xs
xsm
sm
md
lg

SCCเลื่อนสรุปลงทุนเวียด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – “เอสซีจี เคมิคอลส์ “เผยราคาน้ำมันที่ผันผวนทำให้การสรุปมูลค่าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนามล่าช้าออกไป มั่นใจกลางปีนี้สรุปทั้งมูลค่าโครงการและการจัดหาเงินกู้ เล็งขยายโรงงานดาวน์สตรีมในอินโดนีเซียรองรับส่วนขยายเอทิลีน ส่วนไทยเล็งขยายคอขวดโรงโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น ยอมรับราคาน้ำมันวูบฉุดรายได้หด แต่กำไรดีอยู่

นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ ในเครือบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ผันผวนในช่วงนี้ ทำให้สภาวะเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้การสรุปมูลค่าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่ประเทศเวียดนามต้องเลื่อนออกไปอีก 3-4 เดือน หลังจากที่ผู้รับเหมาได้ยื่นเสนอราคาค่าก่อสร้างฟมาแล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและการจัดหาเงินกู้ในกลางปีนี้ โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปีเบื้องต้นกำหนดมูลค่าโครงการอยู่ที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างเครือซิเมนต์ไทย 46%เวียดนาม 29% กาตาร์ ฯ 25% โดยโครงการนี้ล่าช้ามานาน 8- 9 ปีเนื่องจากประสบปัญหาวิกฤตซับไพร์มเมื่อปี2550 ปัญหาเงินเฟ้อจนกระทบค่าเงินด่องทำให้สถาบันการเงินไม่มั่นใจ ปัจจุบันปัจจัยลบต่างๆได้คลี่คลายไป และเหตุการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วในปี 2557 ต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ เป็นโอกาสดีที่บริษัทฯจะเร่งเดินหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม เพราะประเมินแนวโน้มค่าก่อสร้างจะลดลงจากผลกระทบราคาน้ำมันที่ผันผวน
นายชลณัฐ กล่าวถึงแผนการลงทุนเพิ่มในบริษัทร่วมทุน”พีที จันทรา แอสซรี “ ที่อินโดนีเซียว่า ขณะนี้โครงการขยายกำลังการผลิตโรงโอเลฟินส์ของพีที จันทรา แอสซรีจาก 6 แสนตันเป็น 8.5 แสนตัน/ปีคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ หลังจากนั้นก็จะขายเอทิลีนที่ผลิตได้ให้กับโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกในประเทศอินโดนีเซียไปก่อน เพราะตลาดในประเทศยังมีความต้องการมากหลังจากนั้นจะพิจารณาขยายกำลังการผลิตโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกเพิ่มเติมเพื่อรองรับปริมาณเอทิลีนที่ผลิตได้ โดยยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้
ส่วนการลงทุนโครงการปิโตรเคมี ในประเทศไทยว่า โอกาสการตั้งโรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่ในไทยคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายด้านโดยเฉพาะใบอนุญาตต่างๆ เช่นรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน (EHIA) และข้อกำหนดการลดมลภาวะในพื้นที่ให้ลดลงก่อนที่จะตั้งโรงงานใหม่ได้ ฯลฯ ทำให้บริษัทฯหันไปลงทุนในต่างประเทศแทน แต่สิ่งที่ทำได้ คือปรับปรุงโรงงานปิโตรเคมีในไทยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการขยายการผลิตแบบคอขวด (Debottleneck) โดยปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตแบบ Debottleneck ในโรงโอเลฟินส์ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ใช้เงินลงทุนไม่มากนัก และไม่ต้องขอ EHIAแต่อย่างใดรวมทั้งหันมาผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) แทน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของเครือเอสซีจีที่จะมุ่งมันด้านนวัตกรรมเพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตสินค้าHVA โดยปีนี้เครือเอสซีจีตั้งงบวิจัยและพัฒนา(R&D)ถึง 4.8 พันล้านบาท จัดสรรเป็นงบR&Dของเอสซีจี เคมิคอลส์ 2.1 พันล้านบาท
ในปีนี้เอสซีจี เคมิคอลส์ตั้งเป้ายอดขายสินค้าHVA เพิ่มขึ้นเป็น 29%ของยอดขายรวม โตขึ้นจากปีก่อน 2% โดยปีนี้จะมีสินค้าHVAใหม่ออกสู่ตลาดกว่า 14 รายการ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทฯได้ให้ความสำคัญในการวิจัยเพื่อนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ช่วยตอบโจทย์ความต้องการให้กับลูกค้า อาทิ การพัฒนานวัตกรรมวัสดุนาโน เพื่อผลิตสินค้าHVA หลากหลายประเภท การผลิตฟิล์มชนิดพิเศษช่วยถนอมอาหาร ผลิตภัณฑ์อีมิสโปร ซึ่งเป็นสารเคลือบเตาเผาอุตสาหกรรมช่วยประหยัดพลังงาน และการออกแบบตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการผลิตปิโตรเคมีเพื่อลดการใช้พลังงานลง เป็นต้น โดยบริษัทฯได้มีการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และปีที่แล้วยังได้ซื้อหุ้นบริษัท Normer AS จากนอร์เวย์ ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาพลาสติกระดับโลกด้วยมั่นใจว่าภายใน 5ปีข้างหน้าสัดส่วนยอดขายสินค้าHVAจะเพิ่มมากขึ้น
นายชลณัฐ กล่าวถึงทิศทางราคาปิโตรเคมีในปีนี้ว่า จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงทำให้ราคาวัตถุดิบ คือแนฟทาปรับตัวลงตาม ขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกปรับตัวลงในทิศทางที่ช้ากว่า ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับแนฟทา(สเปรด)กว้างมากขึ้นปัจจุบันอยู่ที่ 650-700 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าทั้งปีนี้อยู่ที่ 700 เหรียญสหรัฐ/ตันใกล้เคียงปีที่แล้วดังนั้นในปีนี้ยอดขายของกลุ่มเอสซีจี เคมิคอลส์จะต่ำกว่าปีที่แล้วที่มียอดขาย 2.5 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาเม็ดพลาสติกปรับตัวลดลงตามทิศทางน้ำมัน และกำลังผลิตใหม่เข้ามาน้อย แม้ว่าปีนี้จะไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงานก็ตาม แต่กำไรจากธุรกิจนี้จะยังดีอยู่ เนื่องจากสเปดผลิตภัณฑ์พลาสติกสูง การผลิตสินค้าHVAมากขึ้น และบริษัทยังมีรายได้จากการขายเทคโนโลยีด้วย ที่ผ่านมาบริษัทมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเม็ดพลาสติกชนิด HDPE โดยจับมือกับมิตซุย เคมิคอล ประเทศญี่ปุ่นในการขายใบอนุญาต(ไลเซนส์)เทคโนโลยีดังกล่าวด้วยกัน ซึ่งโรงงานผลิต HDPE ขนาด 5 แสนตัน/ปี หนึ่งในโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนามก็เลือกใช้เทคโนโลยีนี้ นับเป็นลูกค้ารายแรกของบริษัทฯและมีแผนขายไลเซนส์ไปทั่วโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น