ปูนซิเมนต์ไทยชี้ราคาน้ำมันร่วงหนุนรายได้และกำไรธุรกิจปิโตรเคมีปีหน้าพุ่งต่อ เหตุราคาวัตถุดิบต่ำ มาร์จิ้นสูง แถมส่งผลดีต่อโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม คาดว่าต้นทุนโครงการลดต่ำลง หลังโรงงานเกิดใหม่ที่ใช้ก๊าซฯ ในสหรัฐฯ เลื่อนก่อสร้าง
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า ในปีหน้าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวสูงขึ้นจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบ คือแนฟทาลดลงเร็วกว่าราคาผลิตภัณฑ์พลาสติกทำให้มาร์จิ้นสูงขึ้น คาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับแนฟทา (สเปรด) จะสูงอยู่เฉลี่ย 700 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน แม้ว่าจะลดลงจากไตรมาส 4/ 2558 ก็ตาม
โดยมองว่าธุรกิจปิโตรเคมีเข้าสู่ขาขึ้นตามวัฏจักร (super cycle) ซึ่งเริ่มต้นเร็วกว่าที่คาดจากเหตุการณ์ไว้ในต้นปี 2558 เป็นไตรมาส 4/2558 จากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงเร็วกว่าคาด และเชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะดีต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี 2560 จากเดิมที่ประเมินไว้แค่กลางปี 2560
จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงนี้เอง ทำให้โครงการปิโตรเคมีใหม่ที่ใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงหลายโครงการในสหรัฐฯ ต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากไม่คุ้มการลงทุน เพราะต้นทุนแนฟทาที่ได้จากน้ำมันดิบต้นทุนต่ำลง ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการปิโตรเคมีในปัจจุบัน รวมทั้งโครงการร่วมทุนปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนาม มูลค่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
“ปี 2558 สเปรดปิโตรเคมีเฉลี่ยอยู่ที่ 700 กว่าเหรียญ/ตันก็โอเคแล้ว โดยช่วงไตรมาส 4/2557 สเปรดระหว่างเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) กับแนฟทาอยู่ที่ 820 เหรียญ/ตัน และสเปรดระหว่างเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีน (PP) กับแนฟทา อยู่ที่กว่า 830 เหรียญ/ตัน สูงกว่าไตรมาส 3/2557 ที่เฉลี่ยกว่า 600 เหรียญ/ตัน ส่วนราคาเม็ดพลาสติกพีวีซีคาดว่าไตรมาส 3/2558 จะเริ่มดีขึ้น หลังจากวัตถุดิบคือ EDC ปรับราคาลงมาตามทิศทางราคาเอทิลีน”
นายกานต์กล่าวต่อไปว่า จากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงนี้ ทำให้บริษัทฯ คาดว่าในไตรมาส 4/2557 จะขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ประมาณ 700 ล้านบาท อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ บริษัทได้มีการบริการสต๊อกสินค้าโดยเร่งผลิตและจำหน่ายให้มากที่สุดเพื่อลดสต๊อกสินค้าให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้ไตรมาส 4/2557 บริษัทมีกำไรดีกว่าไตรมาส 3/2557
นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อโครงการร่วมทุนปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนาม มูลค่าเงินลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่คาดว่าต้นทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์น่าจะปรับตัวลดลง จากเดิมเมื่อช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา เคยคาดการณ์ว่าค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ การก่อสร้างจะสูงขึ้น เพราะมีการลงทุนโครงการปิโตรคมีใหม่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงอย่างรวดเร็วและแรง ส่งผลให้หลายโครงการต้องชะลอไป
อย่างไรก็ตาม โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนามจะสรุปมูลค่าโครงการนี้ในเดือน มี.ค. 2558 โดยโรงโอเลฟินส์แครกเกอร์ได้ออกแบบให้มีความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบแนฟทา โพรเพน และแอลเอ็นจี เป็นวัตถุดิบได้ ซึ่งปัจจุบันราคาแนฟทาปรับตัวลงตามราคาน้ำมันดิบก็เพิ่มสัดส่วนการใช้แนฟทาได้มากขึ้น ขณะที่แอลเอ็นจีจะใช้ในช่วงฤดูร้อนเพราะมีราคาถูกกว่า ซึ่งผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดต่างๆ ที่ผลิตจะเน้นขายในประเทศเวียดนาม
โดยยอมรับว่า จากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อในประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนามไม่สูง ผลักดันให้ยอดขายสินค้าของกลุ่มบริษัทที่มีฐานการผลิตและจำหน่ายในประเทศดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจในไทยคาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งหลังเดือน พ.ย.นี้
“บริษัทฯ ได้จัดทำแผนธุรกิจประจำปี โดยใช้ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบในปีหน้าอยู่ที่ 95 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าปีนี้ที่คาดไว้ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงเร็ว ทำให้ต้องติดตามสถานการณ์เพื่อดูว่าราคาน้ำมันดิบจะลงต่อหรือไม่ ก่อนที่จะสรุปแล้วเสนอแผนธุรกิจต่อคณะกรรมการบริษัทพิจารณาในกลางเดือน ธ.ค.นี้”