ASTVผู้จัดการรายวัน-แบงก์ชาติเผยกำลังจับตาภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้นมีโอกาสจีดีพีต่ำกว่า 3.8% สำหรับปีนี้ ต่ำกว่าธปท.ประมาณการไว้ แนะเร่งการลงทุน หวังผลช่วยต่อยอดการลงทุนเอกชนและการบริโภคประเทศได้ ห่วงการส่งออกไทยปีนี้จะติดลบเป็นปีที่ 3 คาดปัญหาหนี้ครัวเรือนลดลงได้ในปี 59
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ภาวะเศรษฐกิจไทยเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ธปท.กำลังจับตาสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดที่สุด โดยเฉพาะการส่งออก การบริโภค และการเบิกจ่ายภาครัฐ อีกทั้งภาครัฐเองทำสัญญาข้อผูกพันไว้ค่อนข้างมากในเวลาดังกล่าว แต่ถ้าเศรษฐกิจไทยไม่ฟื้นตัวในช่วงเวลาดังกล่าวก็จะเป็นแรงกดดันให้การขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสต่ำกว่า 3.8% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขประมาณการธปท.ประเมินไว้
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะสร้างศักยภาพการเติบโตกลับมาได้ การพึ่งพาปัจจัยแรงงานเหมือนอดีตเป็นไปได้ยาก แต่ควรเร่งการลงทุนภาครัฐและก้าวหน้าเทคโนโลยีมากขึ้น โดยช่วง 8 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของไทยลดลง เริ่มตั้งแต่ปี 49 ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สัดส่วนการลงทุนของไทยอยู่ที่ 23% ขณะที่ปีก่อนอยู่ที่ 21% จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย อย่างไรก็ตาม แม้การลงทุนของไทยค่อนข้างน้อย ซึ่งกระทบการขยายตัวเศรษฐกิจในระยะสั้นและในแง่เม็ดเงินน่าจะเริ่มเห็นออกมาปี 59-60 แต่มองว่าประเทศไทยยังไม่หมดหวัง ทำให้ความมั่นใจกลับมาได้
การลงทุนภาครัฐสามารถต่อยอดการลงทุนเอกชนและการบริโภคของประเทศได้ และจากการศึกษาสัดส่วนการลงทุนของไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) พบว่า เมื่อสิ้นปี 55 สัดส่วนอยู่ที่ 22.8%ต่อจีดีพี เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ย 3% และเมื่อสิ้นปี 57 สัดส่วนการลงทุนของไทย 21% ซึ่งหากสัดส่วนการลงทุนน้อยอยู่ก็มีโอกาส การขยายตัวเศรษฐกิจ 3%ต้นๆ หรือต่ำกว่า 3% มีโอกาสสูง ฉะนั้น คำตอบเดียวต้องมีการลงทุนให้เกิดขึ้นและเป็นเรื่องจำเป็นอย่างเร่งด่วน
**ห่วงการส่งออกไทยติดลบปีที่3**
ส่วนภาคการส่งออกไทยมองว่าโอกาสขยายตัว 2 หลักเป็นไปได้ยากผลจากปัจจัยในและนอกประเทศ และล่าสุดในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา การส่งออกไทยติดลบ 6.1% แม้เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้แย่นัก แต่ตัวเลขออกมาต่ำกว่าธปท.คาดการณ์ไว้ และหากยังเป็นเช่นนี้อยู่โอกาสมีมากขึ้นที่ภาคการส่งออกไทยจะติดลบเป็นปีที่ 3 และถ้าปีนี้จะให้มูลค่าการส่งออกไทยโต 0.8% ตามธปท.ประมาณการไว้จะต้องมีมูลค่าการส่งออก 19.2 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน ถือว่าตัวเลขค่อนข้างสูง แต่อดีตก็สามารถทำได้ และในช่วงไตรมาส 2-3 มีการส่งออกไทยค่อนข้างมาก
“การส่งออกไทยผลค่าเงินมีน้อยกว่าปัจจัยเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยการลดราคา เพื่อสู้ค่าเงินประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มาร์จิ้นที่ได้ลดลงค่อนข้างเยอะ และยิ่งภายใต้เศรษฐกิจชะลอตัวและสภาพคล่องลดลงไม่ได้ช่วยผู้ส่งออกนัก อย่างไรก็ตาม ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจโลกกลับดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เช่นเดียวกับการลงทุนทยอยกลับมาได้ตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า ดังนั้นในระยะยาวมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มการฟื้นตัวอยู่”
**หนี้ครัวเรือนลดลงปี59**
สำหรับปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นตัวหนึ่งฉุดการอุปโภคบริโภคนั้น นายดอน กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ที่ระดับ 85.9% ล่าสุดไตรมาส 4 ของปี 57 ซึ่งการขยายตัวหนี้อยู่ที่ 6.5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน แต่แนวโน้มการก่อหนี้ชะลอตัวต่อเนื่องและเป็นการขยายตัวเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่า ทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเสถียรภาพโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีทั้งคุณภาพการปล่อยสินเชื่อและการกันสำรองของสถาบันการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
“ในปี 59 ระดับหนี้ครัวเรือนมีโอกาสลดลง เนื่องจากเป็นปีแรกเริ่มเห็นการผ่อนชำระหนี้รถคันแรกหมดลง ซึ่งส่วนใหญ่หนี้รถคันแรก 4-7 ปี ทำให้การจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น อีกทั้งในปีหน้าการขยายตัวเศรษฐกิจน่าจะเข้มแข็งมากขึ้นด้วย”
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ภาวะเศรษฐกิจไทยเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ธปท.กำลังจับตาสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดที่สุด โดยเฉพาะการส่งออก การบริโภค และการเบิกจ่ายภาครัฐ อีกทั้งภาครัฐเองทำสัญญาข้อผูกพันไว้ค่อนข้างมากในเวลาดังกล่าว แต่ถ้าเศรษฐกิจไทยไม่ฟื้นตัวในช่วงเวลาดังกล่าวก็จะเป็นแรงกดดันให้การขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสต่ำกว่า 3.8% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขประมาณการธปท.ประเมินไว้
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะสร้างศักยภาพการเติบโตกลับมาได้ การพึ่งพาปัจจัยแรงงานเหมือนอดีตเป็นไปได้ยาก แต่ควรเร่งการลงทุนภาครัฐและก้าวหน้าเทคโนโลยีมากขึ้น โดยช่วง 8 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของไทยลดลง เริ่มตั้งแต่ปี 49 ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สัดส่วนการลงทุนของไทยอยู่ที่ 23% ขณะที่ปีก่อนอยู่ที่ 21% จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย อย่างไรก็ตาม แม้การลงทุนของไทยค่อนข้างน้อย ซึ่งกระทบการขยายตัวเศรษฐกิจในระยะสั้นและในแง่เม็ดเงินน่าจะเริ่มเห็นออกมาปี 59-60 แต่มองว่าประเทศไทยยังไม่หมดหวัง ทำให้ความมั่นใจกลับมาได้
การลงทุนภาครัฐสามารถต่อยอดการลงทุนเอกชนและการบริโภคของประเทศได้ และจากการศึกษาสัดส่วนการลงทุนของไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) พบว่า เมื่อสิ้นปี 55 สัดส่วนอยู่ที่ 22.8%ต่อจีดีพี เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ย 3% และเมื่อสิ้นปี 57 สัดส่วนการลงทุนของไทย 21% ซึ่งหากสัดส่วนการลงทุนน้อยอยู่ก็มีโอกาส การขยายตัวเศรษฐกิจ 3%ต้นๆ หรือต่ำกว่า 3% มีโอกาสสูง ฉะนั้น คำตอบเดียวต้องมีการลงทุนให้เกิดขึ้นและเป็นเรื่องจำเป็นอย่างเร่งด่วน
**ห่วงการส่งออกไทยติดลบปีที่3**
ส่วนภาคการส่งออกไทยมองว่าโอกาสขยายตัว 2 หลักเป็นไปได้ยากผลจากปัจจัยในและนอกประเทศ และล่าสุดในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา การส่งออกไทยติดลบ 6.1% แม้เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้แย่นัก แต่ตัวเลขออกมาต่ำกว่าธปท.คาดการณ์ไว้ และหากยังเป็นเช่นนี้อยู่โอกาสมีมากขึ้นที่ภาคการส่งออกไทยจะติดลบเป็นปีที่ 3 และถ้าปีนี้จะให้มูลค่าการส่งออกไทยโต 0.8% ตามธปท.ประมาณการไว้จะต้องมีมูลค่าการส่งออก 19.2 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน ถือว่าตัวเลขค่อนข้างสูง แต่อดีตก็สามารถทำได้ และในช่วงไตรมาส 2-3 มีการส่งออกไทยค่อนข้างมาก
“การส่งออกไทยผลค่าเงินมีน้อยกว่าปัจจัยเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยการลดราคา เพื่อสู้ค่าเงินประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มาร์จิ้นที่ได้ลดลงค่อนข้างเยอะ และยิ่งภายใต้เศรษฐกิจชะลอตัวและสภาพคล่องลดลงไม่ได้ช่วยผู้ส่งออกนัก อย่างไรก็ตาม ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจโลกกลับดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เช่นเดียวกับการลงทุนทยอยกลับมาได้ตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า ดังนั้นในระยะยาวมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มการฟื้นตัวอยู่”
**หนี้ครัวเรือนลดลงปี59**
สำหรับปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นตัวหนึ่งฉุดการอุปโภคบริโภคนั้น นายดอน กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ที่ระดับ 85.9% ล่าสุดไตรมาส 4 ของปี 57 ซึ่งการขยายตัวหนี้อยู่ที่ 6.5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน แต่แนวโน้มการก่อหนี้ชะลอตัวต่อเนื่องและเป็นการขยายตัวเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่า ทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเสถียรภาพโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีทั้งคุณภาพการปล่อยสินเชื่อและการกันสำรองของสถาบันการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
“ในปี 59 ระดับหนี้ครัวเรือนมีโอกาสลดลง เนื่องจากเป็นปีแรกเริ่มเห็นการผ่อนชำระหนี้รถคันแรกหมดลง ซึ่งส่วนใหญ่หนี้รถคันแรก 4-7 ปี ทำให้การจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น อีกทั้งในปีหน้าการขยายตัวเศรษฐกิจน่าจะเข้มแข็งมากขึ้นด้วย”