00 จะเรียกว่า "ดูเนียน"ไปตามกระแสโลกเรียกร้อง กับการยกเลิกกฎอัยการศึก ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อวันที่ 20 พ.ค.57 ก่อนเกิดคสช.เสียอีก แต่มาวันนี้ เมื่อมีแรงกดดันเรียกร้องให้ยกเลิกอัยการศึก ซึ่งในที่สุดก็ได้ประกาศยกเลิกไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 58 และได้ประกาศใช้ ม.44 ในรธน.ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 โดยมีคำสั่งจากหัวหน้าคสช. เข้ามารองรับ และขยายความการใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าวทันที
00 แน่นอนว่าหากพิจารณาในด้านบวก ก็ต้องยอมรับว่า ย่อมส่งผลดีในด้านการลงทุน และด้านการท่องเที่ยว เพราะที่ผ่านมาการมีประกาศกฎอัยการศึก มันส่งผลด้านลบในสายตาของต่างชาติ แม้ว่าในความเป็นจริงไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนทั่วไป แต่มันก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีต่างชาติคนไหนอยากได้ยินเรื่องกฎอัยการศึกแน่นอน เพราะในด้านการลงทุน การท่องเที่ยว หากเกิดอะไรขึ้น มีความเสียหายเกิดขึ้น "บริษัทประกันภัย" จะไม่รับประกันความเสียหาย หรือให้การคุ้มครอง ดังนั้นเมื่อเรายังมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ และแม้ว่าการท่องเที่ยวตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามายังกระฉูด เป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ เมื่อยกเลิกกม.พิเศษ ดังกล่าว มันก็พอมีลุ้นได้เพิ่มขึ้น
00 เมื่อหันมาพิจารณาคำสั่งหัวหน้าคสช. เพื่อขยายความการใช้อำนาจตาม ม. 44 ที่ออกมาบังคับใช้วันเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่า "เข้มเหมือนเดิม" หรือ อาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะการใช้อำนาจกับ "เจ้าพนักงาน" ซึ่งหมายถึง "ทหาร" ทั้งจับกุม ควบคุมตัว อายัดทรัพย์ การสั่งหัามเดินทางออกนอกประเทศ ตรวจค้นโดยไม่ต้องแจ้งข้อหา การห้ามชุมนุมเกิน 5 คน และแน่นอนว่าสามารถใช้อำนาจควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด มีบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่น หรือทั้งจำและปรับ ซึ่งแทบทั้งหมดก็เคยมีอยู่ในกฎอัยการศึกอยู่แล้ว แต่นี่เมื่อเป็นคำสั่งจากหัวหน้า คสช. มันก็เหมือนกับการใช้อำนาจโดยตรงของบุคคลเพียงคนเดียว
00 ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช.ได้ย้ำชัดแล้วว่า จะใช้อำนาจที่ว่านี้อย่าง "สร้างสรรค์" ไม่รังแกและทำร้ายใคร ซึ่งที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่า ยังไม่ได้ใช้อำนาจเด็ดขาดมากนัก เพราะอย่างที่เขายืนยันมาตลอดว่า ในช่วงประกาศกฎอัยการศึก ก็ใช้เพียง 2-3 มาตราเท่านั้น เช่น เรื่องการตรวจค้น จับกุม และการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่กระทำผิด ส่วนความผิดอื่นก็ใช้กฎหมายปกติ แต่เมื่อเป็นกฎอัยการศึก ภาพออกมาจึงน่ากลัว แต่เมื่อใช้ ม. 44 ตามรธน. ภาพภายนอกดูดเผินๆ ก็เป็นลักษณะของการปกครองแบบนิติรัฐมากขึ้น แม้ว่าจะมี "คำสั่งเหล็ก" ดังกล่าวรองรับอยู่ก็ตาม
00 นี่ก็ต้องยอมรับว่า สมกับ "เนติบริกร" ได้อย่างคงเส้นคงวาเหมือนเดิม สำหรับ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ที่รับงานดูแลร่างคำสั่งของหัวหน้า คสช. เพื่อรองรับ ม.44 ได้อย่างเข้มข้น ที่รับประกันความมั่นคงให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลและคสช. และต้องยอมรับเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเรื่องของความมั่นคงแล้ว ก็ต้องเป็นอำนาจ ทำหน้าที่ปฏิบัติได้เต็มไม้เต็มมือ ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร ก็ต้องเป็น "พี่ใหญ่" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม นั่นแล !!
00 ขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึงอำนาจพิเศษ ก็ต้องสังเกตจากคำพูดของ รองวิษณุ เครืองาม ที่แย้มออกมาพอให้ได้ยินในทำนองว่า อาจใช้ ม.44 เพื่อสะสางปัญหาบางอย่างให้ลุล่วง ดังที่เกิดขึ้นกับการแก้ปัญหาในกรมการบินพลเรือน ที่ถูกลดเกรดด้านมาตรฐาน การแก้ปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ และยังแย้มว่า อาจใช้ในการผลักดันเรื่องการปฏิรูป และที่ต้องหวาดเสียวก็คือ บอกว่าอาจใช้ในเรื่องการ "นิรโทษ" ด้วยก็ได้ ที่บอกว่าน่าหวาดเสียวก็คือ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทีไร พลันให้นึกถึงใบหน้าเหลี่ยมๆ ของ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาทุกทีสิน่า !!
00 แน่นอนว่าหากพิจารณาในด้านบวก ก็ต้องยอมรับว่า ย่อมส่งผลดีในด้านการลงทุน และด้านการท่องเที่ยว เพราะที่ผ่านมาการมีประกาศกฎอัยการศึก มันส่งผลด้านลบในสายตาของต่างชาติ แม้ว่าในความเป็นจริงไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนทั่วไป แต่มันก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีต่างชาติคนไหนอยากได้ยินเรื่องกฎอัยการศึกแน่นอน เพราะในด้านการลงทุน การท่องเที่ยว หากเกิดอะไรขึ้น มีความเสียหายเกิดขึ้น "บริษัทประกันภัย" จะไม่รับประกันความเสียหาย หรือให้การคุ้มครอง ดังนั้นเมื่อเรายังมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ และแม้ว่าการท่องเที่ยวตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามายังกระฉูด เป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ เมื่อยกเลิกกม.พิเศษ ดังกล่าว มันก็พอมีลุ้นได้เพิ่มขึ้น
00 เมื่อหันมาพิจารณาคำสั่งหัวหน้าคสช. เพื่อขยายความการใช้อำนาจตาม ม. 44 ที่ออกมาบังคับใช้วันเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่า "เข้มเหมือนเดิม" หรือ อาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะการใช้อำนาจกับ "เจ้าพนักงาน" ซึ่งหมายถึง "ทหาร" ทั้งจับกุม ควบคุมตัว อายัดทรัพย์ การสั่งหัามเดินทางออกนอกประเทศ ตรวจค้นโดยไม่ต้องแจ้งข้อหา การห้ามชุมนุมเกิน 5 คน และแน่นอนว่าสามารถใช้อำนาจควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด มีบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่น หรือทั้งจำและปรับ ซึ่งแทบทั้งหมดก็เคยมีอยู่ในกฎอัยการศึกอยู่แล้ว แต่นี่เมื่อเป็นคำสั่งจากหัวหน้า คสช. มันก็เหมือนกับการใช้อำนาจโดยตรงของบุคคลเพียงคนเดียว
00 ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช.ได้ย้ำชัดแล้วว่า จะใช้อำนาจที่ว่านี้อย่าง "สร้างสรรค์" ไม่รังแกและทำร้ายใคร ซึ่งที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่า ยังไม่ได้ใช้อำนาจเด็ดขาดมากนัก เพราะอย่างที่เขายืนยันมาตลอดว่า ในช่วงประกาศกฎอัยการศึก ก็ใช้เพียง 2-3 มาตราเท่านั้น เช่น เรื่องการตรวจค้น จับกุม และการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่กระทำผิด ส่วนความผิดอื่นก็ใช้กฎหมายปกติ แต่เมื่อเป็นกฎอัยการศึก ภาพออกมาจึงน่ากลัว แต่เมื่อใช้ ม. 44 ตามรธน. ภาพภายนอกดูดเผินๆ ก็เป็นลักษณะของการปกครองแบบนิติรัฐมากขึ้น แม้ว่าจะมี "คำสั่งเหล็ก" ดังกล่าวรองรับอยู่ก็ตาม
00 นี่ก็ต้องยอมรับว่า สมกับ "เนติบริกร" ได้อย่างคงเส้นคงวาเหมือนเดิม สำหรับ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ที่รับงานดูแลร่างคำสั่งของหัวหน้า คสช. เพื่อรองรับ ม.44 ได้อย่างเข้มข้น ที่รับประกันความมั่นคงให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลและคสช. และต้องยอมรับเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเรื่องของความมั่นคงแล้ว ก็ต้องเป็นอำนาจ ทำหน้าที่ปฏิบัติได้เต็มไม้เต็มมือ ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร ก็ต้องเป็น "พี่ใหญ่" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม นั่นแล !!
00 ขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึงอำนาจพิเศษ ก็ต้องสังเกตจากคำพูดของ รองวิษณุ เครืองาม ที่แย้มออกมาพอให้ได้ยินในทำนองว่า อาจใช้ ม.44 เพื่อสะสางปัญหาบางอย่างให้ลุล่วง ดังที่เกิดขึ้นกับการแก้ปัญหาในกรมการบินพลเรือน ที่ถูกลดเกรดด้านมาตรฐาน การแก้ปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ และยังแย้มว่า อาจใช้ในการผลักดันเรื่องการปฏิรูป และที่ต้องหวาดเสียวก็คือ บอกว่าอาจใช้ในเรื่องการ "นิรโทษ" ด้วยก็ได้ ที่บอกว่าน่าหวาดเสียวก็คือ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทีไร พลันให้นึกถึงใบหน้าเหลี่ยมๆ ของ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาทุกทีสิน่า !!