ASTV ผู้จัดการรายวัน-"ธีรยุทธ บุญมี" วิพากษ์ คสช. ชมทำได้ดีเรื่องแก้ความขัดแย้ง แต่ไม่เชื่อเสร็จโรดแมป วิกฤตจะคลี่คลาย หนุนตั้งโจทย์หาทางปรองดอง แต่อย่าคิดแบบทหาร เหตุไม่เข้าใจประชาธิปไตยถ่องแท้ มองชาติมีปัญหาใหญ่ เรื้อรัง ต้องค่อยแก้ไขไปทีละเรื่อง จี้ "บิ๊กตู่" หนักแน่นเรื่องไม่สืบทอดอำนาจ เขียนรัฐธรรมนูญมอบดาบประชาชนตรวจสอบผู้มีอำนาจเอง ส่วนกองทัพต้องคอยเป็นแบ็คอัพ
วานนี้ (26 มี.ค.) นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยแพร่บทความชื่อ “การปฏิรูปการเมืองไทย มองจากประสบการณ์ชีวิต” มีเนื้อหากล่าวถึงการปฏิรูปประเทศไทยโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยระบุว่า คสช. เก่งในแง่ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีทางทหาร ซึ่งประสบความสำเร็จในแง่การแก้ไขความขัดแย้งภายในประเทศ ไม่ให้เกิดการปะทะนองเลือด แต่ไม่มั่นใจว่า คสช. จะสามารถวิเคราะห์ปัญหาและเส้นทางที่ประเทศควรจะก้าวเดินไปได้หรือไม่ เพราะกระบวนทัศน์ของ คสช.ต่างจากนักวิชาการการเมืองและปัญญาชนอย่างมาก จึงไม่แน่ใจว่าเมื่อให้โรดแมปของ คสช. สิ้นสุดลง วิกฤติในประเทศจะคลี่คลายตัวไปหรือไม่
*** ชี้หลายดัชนีสะท้อนยุคเสื่อม
นายธีรยุทธระบุด้วยว่า การถือเอาการสร้างความปรองดองเป็นภารกิจหลัก เป็นเรื่องที่ถูกต้องและจำเป็น แต่ก็เป็นการมองการเมืองในกรอบรัฐชาตินิยมของทหาร คือ เอาความเข้มแข็ง ความสามัคคีของคนในชาติเป็นศูนย์กลาง ทว่าในศาสตร์ทางการเมือง หรือประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ การรอมชอม ประนีประนอม แบ่งปันผลประโยชน์ และการสนทนาต่อรอง เพื่อเกิดความเป็นธรรมที่ยอมรับได้ แต่ไม่ใช่การประนีประนอมระหว่างถูก-ผิด หรือความชั่ว-ดี
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การที่ประเทศไทยปฏิรูปทีละด้าน คนละช่วงเวลา ทำให้โครงสร้างอำนาจของประเทศไทยไม่เคยมีภาวะสมดุล การตรวจสอบถ่วงดุลทางอำนาจ จึงเป็นเพียงทฤษฎีไม่เป็นผลจริงจัง ทั้งยังเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสูญเสียอำนาจกับฝ่ายได้อำนาจ
"เราอาจมองเห็นภาพปัญหาของประเทศชัดเจนขึ้น เพราะมีดัชนีชี้วัดความเสื่อมว่าเพิ่มขึ้นเท่าไร เช่น การคอร์รัปชั่นขนาดใหญ่ระบาดเข้าไปในสถาบันระดับอุดมศึกษา สหกรณ์ ซึ่งเกี่ยวพันกับวัดพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง และโยงใยไปถึงองค์กรระดับสูงของสถาบันศาสนา"นายธีรยุทธระบุ
***แนะอย่าเร่งปฏิรูป-ทำบางจุดก่อน
นายธีรยุทธย้ำถึงความเห็นต่างในเรื่องการปฏิรูปประเทศว่า ปัญหาในประเทศไทยเป็นปัญหาใหญ่เกินไป ซับซ้อนเกินกว่าจะหาวิธีแก้ไขได้ คงต้องใช้วิธีเช่นที่ผ่านมา คือ ทดลองแก้ไขกันไปเท่าที่จะทำได้ ที่เหลือก็ต้องปรับตัวอยู่กับมันไป หรือถือคติว่าถ้านักการเมืองคอร์รัปชั่นแล้วมีผลงานก็ถือว่ายอมรับได้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ก็คำนับกราบไหว้นักการเมือง ข้าราชการที่โกงกิน เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่า การปฏิรูปประเทศไทยเป็นไปได้ แต่ต้องกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อผลักดันให้ประเทศพ้นจากสภาพด้อยพัฒนาไปสู่ประเทศพัฒนา แต่ต้องเลือกทำเฉพาะบางจุดก่อน ที่ผ่านมา เรามีความพยายามในการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมืองมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2540 และ 2550 แต่ไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เกิดผลดีบางอย่าง เกิดผลเสียบางอย่าง ความพยายามในครั้งที่ 3 นี้ ก็คงอยู่ในลักษณะคล้ายคลึงกัน การจะสร้างประชาธิปไตยที่พอใช้ได้ในเมืองไทย ต้องอยู่ที่การเปลี่ยนวิถีชีวิต วัฒนธรรมการเมืองคนไทย จากอุปถัมภ์มาเป็นแบบประชาธิปไตย ซึ่งจะเกิดได้ทางเดียว คือ ให้ประชาชนเป็นผู้ปฏิบัติในการตรวจสอบผู้มีอำนาจ รักษาผลประโยชน์ของตนเองด้วยตนเอง
"กฎหมายรัฐธรรมนูญต้องเสริมการมีอำนาจเข้าถึงข่าวสารอย่างง่าย มีโอกาส พื้นที่ อำนาจในการตรวจสอบ องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ตั้งขึ้น หรือบทบาทกองทัพเองต้องแข็งแรงพอจะประคับประคอง ดูแลความปลอดภัย ค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน"นายธีรยุทธระบุ
*** จี้นายกฯย้ำไม่สืบทอดอำนาจ
นายธีรยุทธแสดงความคิดเห็นอีกว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้กำหนดชัดเจนถึงช่วงเวลาเลือกตั้ง ถือเป็นสิ่งที่ดี และหากตอกย้ำการไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการสืบทอดอำนาจ ก็จะยิ่งมีส่วนช่วยให้สถานการณ์นิ่งลง นายกฯ ควรเชื่อมั่นว่าท้ายที่สุดประชาชนต้องเป็นผู้กำกับตรวจสอบการใช้อำนาจของนักการเมือง ข้าราชการ ด้วยตัวของพวกเขาเอง เพราะไม่มีทางที่ทหารจะแสดงบทบาทในสถานการณ์พิเศษได้บ่อยครั้ง ถ้าช่วงเวลาที่เหลืออยู่ นายกฯ ทุ่มเทแรงกายแรงใจออกไปพบประชาชนทุกภาค สนับสนุนเป็นเกราะป้องกันให้ประชาชนออกมาตรวจสอบควบคุมดูแลระเบียบวินมอเตอร์ไซค์ หาบเร่แผงลอย การก่อสร้างซ่อมแซมสาธารณูปโภค และการใช้ทรัพยากรในชุมชนท้องถิ่นของตน เพื่อเป็นการฝึกฝนวิถีชีวิตประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ก็จะเป็นคุณประโยชน์มหาศาล
"สถานการณ์พิเศษไม่ใช่เกิดขึ้นง่าย คนไม่ได้ยอมรับง่าย ต้องถือมันเป็นสิ่งมีค่า และใช้มันตามลักษณะตัวมันเอง ก็เพื่อสิ่งที่พิเศษจริงๆ"นายธีรยุทธย้ำ
วานนี้ (26 มี.ค.) นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยแพร่บทความชื่อ “การปฏิรูปการเมืองไทย มองจากประสบการณ์ชีวิต” มีเนื้อหากล่าวถึงการปฏิรูปประเทศไทยโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยระบุว่า คสช. เก่งในแง่ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีทางทหาร ซึ่งประสบความสำเร็จในแง่การแก้ไขความขัดแย้งภายในประเทศ ไม่ให้เกิดการปะทะนองเลือด แต่ไม่มั่นใจว่า คสช. จะสามารถวิเคราะห์ปัญหาและเส้นทางที่ประเทศควรจะก้าวเดินไปได้หรือไม่ เพราะกระบวนทัศน์ของ คสช.ต่างจากนักวิชาการการเมืองและปัญญาชนอย่างมาก จึงไม่แน่ใจว่าเมื่อให้โรดแมปของ คสช. สิ้นสุดลง วิกฤติในประเทศจะคลี่คลายตัวไปหรือไม่
*** ชี้หลายดัชนีสะท้อนยุคเสื่อม
นายธีรยุทธระบุด้วยว่า การถือเอาการสร้างความปรองดองเป็นภารกิจหลัก เป็นเรื่องที่ถูกต้องและจำเป็น แต่ก็เป็นการมองการเมืองในกรอบรัฐชาตินิยมของทหาร คือ เอาความเข้มแข็ง ความสามัคคีของคนในชาติเป็นศูนย์กลาง ทว่าในศาสตร์ทางการเมือง หรือประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ การรอมชอม ประนีประนอม แบ่งปันผลประโยชน์ และการสนทนาต่อรอง เพื่อเกิดความเป็นธรรมที่ยอมรับได้ แต่ไม่ใช่การประนีประนอมระหว่างถูก-ผิด หรือความชั่ว-ดี
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การที่ประเทศไทยปฏิรูปทีละด้าน คนละช่วงเวลา ทำให้โครงสร้างอำนาจของประเทศไทยไม่เคยมีภาวะสมดุล การตรวจสอบถ่วงดุลทางอำนาจ จึงเป็นเพียงทฤษฎีไม่เป็นผลจริงจัง ทั้งยังเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสูญเสียอำนาจกับฝ่ายได้อำนาจ
"เราอาจมองเห็นภาพปัญหาของประเทศชัดเจนขึ้น เพราะมีดัชนีชี้วัดความเสื่อมว่าเพิ่มขึ้นเท่าไร เช่น การคอร์รัปชั่นขนาดใหญ่ระบาดเข้าไปในสถาบันระดับอุดมศึกษา สหกรณ์ ซึ่งเกี่ยวพันกับวัดพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง และโยงใยไปถึงองค์กรระดับสูงของสถาบันศาสนา"นายธีรยุทธระบุ
***แนะอย่าเร่งปฏิรูป-ทำบางจุดก่อน
นายธีรยุทธย้ำถึงความเห็นต่างในเรื่องการปฏิรูปประเทศว่า ปัญหาในประเทศไทยเป็นปัญหาใหญ่เกินไป ซับซ้อนเกินกว่าจะหาวิธีแก้ไขได้ คงต้องใช้วิธีเช่นที่ผ่านมา คือ ทดลองแก้ไขกันไปเท่าที่จะทำได้ ที่เหลือก็ต้องปรับตัวอยู่กับมันไป หรือถือคติว่าถ้านักการเมืองคอร์รัปชั่นแล้วมีผลงานก็ถือว่ายอมรับได้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ก็คำนับกราบไหว้นักการเมือง ข้าราชการที่โกงกิน เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่า การปฏิรูปประเทศไทยเป็นไปได้ แต่ต้องกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อผลักดันให้ประเทศพ้นจากสภาพด้อยพัฒนาไปสู่ประเทศพัฒนา แต่ต้องเลือกทำเฉพาะบางจุดก่อน ที่ผ่านมา เรามีความพยายามในการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมืองมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2540 และ 2550 แต่ไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เกิดผลดีบางอย่าง เกิดผลเสียบางอย่าง ความพยายามในครั้งที่ 3 นี้ ก็คงอยู่ในลักษณะคล้ายคลึงกัน การจะสร้างประชาธิปไตยที่พอใช้ได้ในเมืองไทย ต้องอยู่ที่การเปลี่ยนวิถีชีวิต วัฒนธรรมการเมืองคนไทย จากอุปถัมภ์มาเป็นแบบประชาธิปไตย ซึ่งจะเกิดได้ทางเดียว คือ ให้ประชาชนเป็นผู้ปฏิบัติในการตรวจสอบผู้มีอำนาจ รักษาผลประโยชน์ของตนเองด้วยตนเอง
"กฎหมายรัฐธรรมนูญต้องเสริมการมีอำนาจเข้าถึงข่าวสารอย่างง่าย มีโอกาส พื้นที่ อำนาจในการตรวจสอบ องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ตั้งขึ้น หรือบทบาทกองทัพเองต้องแข็งแรงพอจะประคับประคอง ดูแลความปลอดภัย ค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน"นายธีรยุทธระบุ
*** จี้นายกฯย้ำไม่สืบทอดอำนาจ
นายธีรยุทธแสดงความคิดเห็นอีกว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้กำหนดชัดเจนถึงช่วงเวลาเลือกตั้ง ถือเป็นสิ่งที่ดี และหากตอกย้ำการไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการสืบทอดอำนาจ ก็จะยิ่งมีส่วนช่วยให้สถานการณ์นิ่งลง นายกฯ ควรเชื่อมั่นว่าท้ายที่สุดประชาชนต้องเป็นผู้กำกับตรวจสอบการใช้อำนาจของนักการเมือง ข้าราชการ ด้วยตัวของพวกเขาเอง เพราะไม่มีทางที่ทหารจะแสดงบทบาทในสถานการณ์พิเศษได้บ่อยครั้ง ถ้าช่วงเวลาที่เหลืออยู่ นายกฯ ทุ่มเทแรงกายแรงใจออกไปพบประชาชนทุกภาค สนับสนุนเป็นเกราะป้องกันให้ประชาชนออกมาตรวจสอบควบคุมดูแลระเบียบวินมอเตอร์ไซค์ หาบเร่แผงลอย การก่อสร้างซ่อมแซมสาธารณูปโภค และการใช้ทรัพยากรในชุมชนท้องถิ่นของตน เพื่อเป็นการฝึกฝนวิถีชีวิตประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ก็จะเป็นคุณประโยชน์มหาศาล
"สถานการณ์พิเศษไม่ใช่เกิดขึ้นง่าย คนไม่ได้ยอมรับง่าย ต้องถือมันเป็นสิ่งมีค่า และใช้มันตามลักษณะตัวมันเอง ก็เพื่อสิ่งที่พิเศษจริงๆ"นายธีรยุทธย้ำ
