xs
xsm
sm
md
lg

ชงปฏิรูปองค์กรอิสระ ปปช.ฟ้องศาลเอง-มีสินบนจับซื้อเสียง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะ ประธานอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 8 ภาค 3 นิติธรรม ศาล และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หมวด 2 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ องค์กรอิสระ องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ กล่าวว่า จากผลการหารือของคณะอนุกรรมาธิการฯ คณะที่ 8 ได้เสนอให้มีกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้มีหลักของความเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ สุจริตเที่ยงธรรม การปฏิบัติหน้าที่ต้องมีเงื่อนเวลาในแต่ละขั้นตอน โดยรวมองค์กรอิสระหลายองค์กรตามรัฐธรรมนูญปี 50 หลายองค์กรเข้ามาเป็นองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจขององค์กรเหล่านี้ คือ คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)ให้มีอำนาจเพียงการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) เท่านั้น โดยขยายเวลาให้จัดการเลือกตั้งใหม่ได้จากเดิม 30 วันเป็น 60 วัน และกำหนดให้กกต. สามารถประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส.ได้ 75 เปอร์เซนต์ ก็สามารถดำเนินการเปิดประชุมสภาได้ ไม่ต้องรอจนครบ 95 เปอร์เซนต์ เหมือนเดิม ส่วนที่ยังไม่ประกาศผล ก็ให้ส่งเรื่องให้ศาลอาญาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นผู้คัดสินว่าจะต้องตัดสินผู้สมัคร (ใบแดง) รายใดหรือไม่
"หลักการคือ จะไม่ใช่ต้องรีบรับรองไปก่อน แล้วไปสอยทีหลังเหมือนอดีต แต่ถ้าศาลประทับรับฟ้อง ก็ต้องรอจนกว่าคดีจะยุติ ซึ่งอาจจะระบุให้ศาลต้องตัดสินใน 60 วัน ถึงจะให้เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส.ได้"

**ชงเพิ่มกกต.เป็น 7 คน

นอกจากนี้ ยังเห็นควรเพิ่มจำนวน กกต. จาก 5 คนเป็น 7 คน โดยกรรมการสรรหา ต้องมีคุณวุฒิและที่มาอย่างหลากหลาย ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่วน กกต.จังหวัดๆ ละ 5 คน ต้องยุบเลิก แต่สำนักงานและเจ้าหน้าที่ กกต.จังหวัดยังคงอยู่โดยให้ไปเป็นฝ่ายธุรการรองรับสภาตรวจสอบภาคประชาชน ที่จะตั้งมาเพื่อดำเนินการกับกรณีการทุจริตเลือกตั้ง การปฏิบัติหน้าที่ของภาครัฐ และทุจริตการใช้จ่ายงบประมาณในจังหวัด ซึ่งมีอำนาจฟ้องตรงต่อศาลเลือกตั้ง ศาลปกครอง ศาลยุติธรรมหรือศาลอื่น ๆ แล้วแต่กรณี โดยไม่ต้องผ่าน กกต. ใหญ่ แต่ไม่ตัดอำนาจ กกต. ใหญ่หากเห็นว่ามีมูลทุจริตเลือกตั้งจะยื่นฟ้องศาลเอง
นอกจากนี้ยังมีสภาตรวจสอบภาคประชาชน เพื่อกำกับตรวจสอบหลายสภา โดยมาจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อกำกับหรือทำงานควบคู่กับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ที่มาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 แต่ทั้งนี้ ก็มีการปรับโครงสร้างและอำนาจของบางองค์กรอิสระ เช่น กกต. ป.ป.ช. และสภาปฏิรูปการเมือง เป็นต้น ซึ่งจะมีโครงสร้างราว 50 –100 คนในแต่ละจังหวัด มีวาระดำรงตำแหน่ง 1 ปี มาจากประชาชนในเขตเลือกตั้งสมัครเข้ามา และการเสนอชื่อขององค์กรกลุ่มวิชาชีพแบบเดียวกับ สปช. เมื่อได้รายชื่อแล้วจะมีคณะกรรมการทำหน้าที่สุ่มส่วนที่ประชาชนสมัครมาให้ได้ 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภา ส่วนที่มาจากสาขาวิชาชีพ ก็จะสุ่มมา 1 ใน 3 ประกอบเป็นสภาการตัดสินความผิดที่คล้าย ๆ คณะลูกขุน

**ตั้งสินบนนำจับซื้อสิทธิ์ ขายเสียง

นอกจากนี้ยังมีการปรับแนวคิด ให้ผู้ขายสิทธิ์เป็นเสมือนผู้เสพติดยา ที่ควรได้รับการเยียวยา ซึ่งจะมีโทษน้อยลงคือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 –20,000 บาท โดยสามารถส่งศาลแขวง ให้ดำเนินการได้เลยแบบเดียวกับเมาแล้วขับ และมีเงินรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแส ส่วนผู้ซื้อสิทธิ์เหมือนผู้ค้ายา ซึ่งจะมีการกำหนดโทษหนักอีกที ส่วน กกต. มีหน้าที่จัดการหาเสียงเพื่อให้ผู้สมัครต้องใช้เงินหาเสียงให้น้อยที่สุด และ ทำให้ กกต. ควบคุมการหาเสียงแบบประชานิยมแบบเกินเหตุได้
ส่วนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) จะปรับปรุงให้ทำแต่เรื่องการทุจริตระดับชาติ มีอำนาจฟ้องตรงไปยังศาลโดยไม่ต้องผ่านอัยการ ยุบเลิก ป.ป.ช.ระดับจังหวัด ไปให้สภาตรวจสอบภาคประชาชนทำหน้าที่แทน โดยมีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินประจำจังหวัดมาทำให้ที่รองรับสนับสนุนในด้านความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบเชิงบัญชี
ทั้งนี้ในที่ประชุมอนุกรรมาธิการคณะที่ 8 ยังเสนอให้มีสภาตรวจสอบจริยธรรมแห่งชาติ ที่เน้นผู้ทรงคุณวุฒิด้านจริยธรรม เสนอตัวมาแล้วสุ่มเลือกมาทำหน้าที่ ทำหน้าที่วินิจฉัยการขัดต่อจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือข้าราชการหรือไม่ หากมีมติว่ามีพฤติกรรมขัดจริยธรรม ก็จะมีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ และมีผลต่อการเข้าสู่ตำแหน่ง โดยมีผู้ตรวจการแผ่นดินคอยสนับสนุนในเชิงธุรการ และเสนอให้ตั้งสภาคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่จะตั้งขึ้น
ภายหลัง เป็นฝ่ายธุรการสนับสนุน
“สภาทั้งหมดที่เสนอมาไม่ได้มีการเพิ่มเติมหรือขยายองค์กรที่จะต้องมีสถานที่หรือตั้งสำนักงานขึ้นมาใหม่ โดยมีองค์กรตรวจสอบที่มีอยู่เดิมเป็นฝ่ายธุรการคอยจัดให้มีการประชุมตามโอกาส มีค่าตอบแทนแค่เบี้ยประชุมไม่มีเงินเดือน โดยใช้อำนาจพิจารณาแบบคณะลูกขุน มีวาระทำงานไม่เกิน 1 ปี โดยหมุนเวียนจับสลากออกครึ่งหนึ่งทุก 6 เดือน และให้ผู้เป็นกรรมการในองค์กรหรือสภาตรวจสอบ รวมทั้ง ผู้ดำรงตำแหน่งของรัฐทุกคน ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน และข้อมูลการเสียภาษีต่อสาธารณะ”

**ลดจำนวนกสทช.ให้ดูแลสื่อสาธารณะ

นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ยังมีข้อเสนอให้ปรับคณะกรรมการกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้เปลี่ยนเป็นคณะกรรมการกำกับดูแลการสื่อสารสาธารณะแห่งชาติ โดยลดจำนวนลง แต่เพิ่มขอบเขตหน้าที่ให้ดูแลในส่วนของวิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม รวมทั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งทำหน้าที่ดูแลด้านเทคโนโลยีเช่นจัดสรรคลื่นทุกประเภท และกำกับดูแลด้านเนื้อหาด้วย โดยมีสภาตรวจสอบภาคประชาชนตรวจสอบองค์กรนี้แทนซุปเปอร์บอร์ด
อย่างไรก็ตามแนวคิดของคณะกรรมาธิการคณะที่ 8 ยังคงอำนาจการตรวจสอบของสภานิติบัญญัติตามเดิม หรือตรวจสอบ ถอดถอนและส่งฟ้องได้ แต่ให้ยุบเลิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนสภาพัฒนาการเมืองอาจปรับไปยึดโยงกับสภาปฏิรูปที่จะตั้งขึ้นภายหลัง โดยข้อเสนอทั้งหมด จะเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ ในวันจันทร์ที่ 1 ธ.ค. ร่วมกับอนุกรรมาธิการคณะอื่น ๆ เพื่อนำไปสู่การจัดทำเป็นกรอบเบื้องต้นของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

**ผลักดันความเสมอภาคชาย-หญิง

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภาค กล่าวในเวทีเสวนา "ความเสมอภาคหญิง-ชาย ในรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปประเทศ" ที่เครือข่ายองค์กรสตรีหลายองค์กรร่วมกันจัดขึ้น เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยเห็นว่าควรมีการหารือว่า จะทำอย่างไรให้มีการบรรจุเรื่องความเสมอภาคหญิง-ชายไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน รวมทั้งในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องช่วยกันสร้างบรรยากาศของการแสดงความคิดเห็นเพื่อให้เกิดการผลักดัน ให้เกิดความ
เปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า
ขณะที่คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ นายกสมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย กล่าวว่า ยอมรับว่ายังคงมีความไม่เท่าเทียมระหว่างหญิง-ชาย จึงเป็นเรื่องสำคัญในการผลักดันให้เกิดความเสมอภาคหญิง-ชาย ด้วยการยอมรับในบทบาทของสตรี รวมทั้งผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ
นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และสมาชิกสปช. กล่าวว่า ปัจจุบันยังมีสตรีถูกเอาเปรียบและถูกทำร้าย รวมทั้งมีอำนาจการตัดสินใจที่น้อยกว่าชาย อีกทั้ง สัดส่วนของสตรีที่เข้ามามีบทบาทในสังคมยังมีน้อยเห็นได้จากจำนวนสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสปช.ที่มีจำนวนชายมากกว่า นอกจากนี้ เรื่องสิทธิมนุษยชนก็ยังมีปัญหา เพราะสังคมและสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยให้สตรีมีความเสมอภาค ดังนั้น เห็นว่าการปฎิรูปบทบาทสตรีต้องให้มีความเสมอภาคเท่าเทียมทุกด้าน
ทั้งนี้ วงเสวนาได้ข้อสรุปเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในการผลักดันเรื่องความเสมอภาคชาย หญิง อาทิ การกำหนดสัดส่วนจำนวนผู้หญิงมีบทบาทในการปฏิรูปประเทศ ระบบผู้แทนฯ และผู้นำการเมืองที่ดีต้องกำหนดสัดส่วนหญิงชายที่เท่าเทียมกัน และมีมาตราพิเศษ สนับสนุนให้สตรีเป็นผู้แทนฯ และผู้นำการเมืองที่ดี ส.ส. และ ส.ว.ต้องมีสัดส่วนของหญิง-ชายเท่าเทียมกัน

**ฟังความเห็นคนอีสาน27-29ธ.ค.

วานนี้ (30 พ.ย.) ที่โรงแรมเดอะรีเจ้นท์ ชะอำ บีช รีสอร์ท จ.เพชรบุรี นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 2 ในฐานะได้รับมอบหมายจาก นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นตัวแทนวางกรอบแนวทางเพื่อรับฟังความเห็นจากประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการลงพื้นที่สร้างความปรองดอง และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วทุกพื้นที่ของสนช. ว่า หลักๆ จะใช้เครือข่ายสถาบันการศึกษา และเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย ให้ทำหน้าที่ประสานระหว่างคนในพื้นที่กับสนช. ให้ได้พบปะพูดคุยกัน
นอกจากนั้นจะประสานไปยังองค์กรภาคเอกชน และชุมชนด้วย ซึ่งในสัปดาห์หน้าตนจะเรียกประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้แนวทางที่ชัดเจนของกระบวนการลงพื้นที่ เบื้องต้นตั้งใจว่าในวันที่ไม่มีประชุมสนช.ของทุกสัปดาห์ จะมีโครงการที่ให้สนช.ออกไปพบประชาชน โดยจะไปทั่วทุกภาค และมีกลุ่มเป้าหมายที่ครอบคลุมทุกวิชาชีพ โดยวันที่ 27 – 29 ธ.ค.จะเป็นการลงพื้นที่ภาคอีสาน เช่น จ.มุกดาหาร และบึงกาฬ ซึ่งถือว่าเป็นการลงพื้นที่อย่างเป็นทางการครั้งแรก อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่พบประชาชนของสนช.จะใช้งบประมาณของวุฒิสภา ซึ่งทำหน้าที่เลขานุการสนช. ซึ่งเป็นงบประมาณปกติไม่ได้มีการขอเพิ่มแต่อย่างใด
นายพีระศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการลงพื้นที่ต่างๆ นอกจาก สนช. จะรับฟังความเห็นจากประชาชนแล้ว ยังเป็นการลงไปสร้างความเข้าใจว่าสถานการณ์ของประเทศขณะนี้เป็นอย่างไร และชี้แจงถึงการทำหน้าที่ของสนช.ที่เรื่องหลักคือการสร้างความปรองดอง และพัฒนาประเทศ ซึ่งตนเห็นว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาจะมาต่อต้านกัน แต่ควรช่วยกันไปสู่เป้าหมายของโรดแมประยะที่ 3 ก็คือการเลือกตั้ง
เมื่อถามว่าในพื้นที่ที่มีความเห็นต่างค่อนข้างสูงจะพูดคุยกับแกนนำในพื้นที่ให้สื่อสารกับคนในพื้นที่ได้อย่างไร นายพีระศักดิ์ กล่าวว่า ตรงนี้ไม่น่าเป็นห่วง ตนเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่น เคยเป็นข้าราชการ และเคยเป็นส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง เราพอจะทำความเข้าใจได้ว่าเราไปดี ไปบอกว่าสถานการณ์เดินมาถึงจุดไหนของโรดแมป ระยะที่ 2 แล้ว

**ความเห็นของนศ. นำมาใช้ได้

นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เตรียมเปิดเวทีรับฟังความเห็นจากนักศึกษาทั่วประเทศ ว่า การรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษาเป็นเรื่องที่ดี และมองว่านักศึกษามีความคิดเห็นเยอะมาก บางความคิดเห็นอาจยังไม่ตรงกับสิ่งที่เป็นไปได้เสียทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรับฟังไว้ เพราะหลายเรื่องสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ และการคัดเลือกนักศึกษาที่จะเข้าร่วมเวทีดังกล่าว ถือเป็นสิทธิของ กมธ.ยกร่างฯ ที่จะตัดสินใจเลือก ส่วนการเคลื่อนไหวของนักศึกษาสถาบันต่างๆในขณะนี้ มองว่ายังเป็นจำนวนน้อยอยู่ หากเทียบกับนักศึกษาทั้งหมดในประเทศไทย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรับฟังไว้ เป็นห่วงเพียงว่าอย่าสร้างความไม่สงบ และเท่าที่ทราบการเคลื่อนไหวต่างๆ ยังไม่น่าวิตก
กำลังโหลดความคิดเห็น