ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งรับคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาทุจริตต่อหน้าที่ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 แสนล้าน ขณะเดียวกัน อัยการก็มีคำสั่งฟ้อง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพวก ในคดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยขอศาลฯสั่งปรับ 3.5 หมื่นล้านบาท และลงโทษจำคุกสูงสุดตลอดชีวิต
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีการประชุมองค์คณะผู้พิพากษาเพื่อเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ในคดี หมายเลขดำที่ อม. 22/2558 ที่มีอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในคดีทุจริตที่หน้าที่ราชการโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาท โดยที่ประชุมเลือกนายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา เป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน
ต่อมา องค์คณะผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดี และมีคำสั่งว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา 9(1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 และคำฟ้องถูกต้องตามข้อกำหนดจึงให้ประทับรับฟ้อง และนัดพิจารณาคดีนัดแรก 19 พ.ค. 2558 เวลา 09.30 น. โดยให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย โดยให้โจทก์หรือผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งภายใน 7 วัน หากไม่พบจำเลยให้ปิดหมายแทน
หลังศาลมีมติรับคดี ทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยืนยันว่า ในวันเปิดศาลนัดพิจารณาคดีนัดแรกนั้นเธอจะมาศาลแน่นอน แต่เมื่อเทียบเคียงกับพฤติกรรมหนีคดีของพี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษชายที่หลบหนีคดีอาญาแผ่นดินในเวลานี้ ก็ต้องบอกว่ามีแนวโน้มสูงยิ่งที่เธอจะเดินตามรอยพี่ชาย เพราะข้อหานั้นหนักหน่วงยิ่งนัก หากไม่หนีมีหวังไม่พ้นคุกตะราง ซ้ำยังจะถูกฟ้องแพ่งยึดทรัพย์ตามมาอีก
นับจากนี้ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะหนีคดีไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ เฉกเช่นเดียวกันกับผู้เป็นพี่ชายหรือไม่ หรือว่าเธอจะยังรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ก่อหน้านี้ว่าจะอย่างไรก็จะขอต่อสู้คดีจนถึงที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะหนีไปได้หรือไม่นั้น คำตอบอยู่ที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะให้หนีหรือไม่ให้หนี ถ้าวันใดก็ตามที่ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ นั่นก็อาจหมายความว่า คสช.เลือกที่จะปล่อยเสือเข้าป่า และถ้าเป็นเช่นนั้น คสช.จะต้องเป็นผู้ที่แบกหม้อก้นดำหรือรับขี้ไปแทน
เฉกเช่นเดียวกับถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์หนีแบบที่ไม่ขออนุญาต คสช.ก็ต้องรับผิดชอบโดยไม่มีข้อแก้ตัวเช่นกัน เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า โอกาสที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะหนีมีมากกว่าไม่หนี และในสถานการณ์เยี่ยงนี้ คสช.ก็จำเป็นที่จะต้องสั่งประกบตัวในทุกฝีก้าว
ไม่เพียงแต่ลูกพี่ต้องเดินขึ้นศาลเท่านั้น ลูกหาบที่ทำตามนโยบายก็ไม่รอดพ้นความผิด เพราะเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2558 อัยการได้ยื่นฟ้องนายบุญทรง และพวก รวม 21 ราย ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่นกัน
นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน นายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ยื่นฟ้องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก รวม 21 ราย ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) พร้อมสำนวนเอกสารหลักฐานรวม 205 ลัง 1,628 แฟ้ม จำนวน 7 หมื่นกว่าหน้า
นอกจากฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 21 นาย ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 หรือฮั้วประมูล, ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และ 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่มีอัตราโทษสูงสุดถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตแล้ว ยังขอให้สั่งปรับจำเลยทั้งหมด 3 หมื่น 5 พันล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นมูลค่าครึ่งหนึ่งตามสัญญาระบายข้าว 4 ฉบับที่ว่ากระทำผิด โดยศาลอาญาได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดี หมายเลขดำ อม.25/2558 และนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ในวันที่ 20 เม.ย.นี้ เวลา 10.00 น.
หลังจากยื่นฟ้อง คณะอัยการผู้ฟ้องคดี แถลงว่า คณะของตนเองเป็นผู้แทนนายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด นำสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. พร้อมเอกสารหลักฐานยื่นฟ้องคดี ที่เกิดเหตุช่วงระหว่าง 8 ก.ย. 2554 - 22 ก.พ. 2556 โดยจำเลย 21 ราย เป็นอดีตนักการเมือง 3 คน ข้าราชการการเมือง 3 คน และบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล กระทำผิดกฎหมาย 3 ฉบับ คือ
1)พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐหรือฮั้วประมูล พ.ศ.2542 มาตรา 4, 9, 10,12
2)ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจโดยทุจริตสร้างความเสียหายแก่รัฐ และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต สร้างความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
และ 3) พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4, 123 และ 123/1 ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต
การยื่นฟ้อง ยังขอให้สั่งปรับจำเลยทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน 35,274,611,007 บาท ซึ่งค่าปรับดังกล่าวคิดคำนวณจากมูลค่าครึ่งหนึ่งตามสัญญาระบายข้าวกว่า 5 ล้านตัน ที่พบว่ามีการกระทำผิดสัญญา 4 ใน 8 ฉบับ โดยพ.ร.บ.ว่าด้วยการฮั้วประมูล มาตรา 4 กำหนดให้ขอปรับได้ร้อยละ 50 จากมูลค่าตามสัญญา
ส่วนการรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด ประมาณ 5-6 แสนล้านบาท ที่คณะป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังดำเนินการรวบรวมหลักฐานนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะดำเนินการต่อไป หากป.ป.ช.สรุปสำนวนส่งมาให้อัยการ โดยหากจะมีการฟ้องคดีนี้ต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ในเบื้องต้นทางอัยการได้เตรียมพยานบุคคลจำนวนกว่า 100 ปาก โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทำบัญชีพยาน และมีพยานปากสำคัญจำนวนหลายปาก ซึ่งระบบการไต่สวนของศาลฎีกาเป็นการไต่สวนแบบต่อเนื่อง คาดว่าศาลคงใช้ระยะเวลาในการพิจารณาไม่ล่าช้า
สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง 21 คน ประกอบด้วย กลุ่มนักการเมืองและข้าราชการพลเรือน จำนวน 6 ราย ได้แก่ นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 1, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 2, พ.ต.นพ.ดร. วีระวุฒิ หรือ หมอโด่ง วัจนะพุกกะ อดีตผู้ช่วยเลขานุการ และอดีตเลขานุการรมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3,
นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, จำเลยที่ 4 นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ และอดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 5, นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศและอดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ จำเลยที่ 6
ส่วนเอกชน ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในบริษัท และนิติบุคคล 15 ราย ได้แก่ นายสมคิด เอื้อนสุภา จำเลยที่ 7, นายรัฐนิธ โสจิระกุล จำเลยที่ 8, นายลิตร พอใจ จำเลยที่ 9, บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำเลยที่ 10, น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง จำเลยที่ 11, น.ส.เรืองวัน เลิศศลารักษ์ จำเลยที่ 12, น.ส.สุทธิดา หรือสุธิดา ผลดี หรือจันทะเอ จำเลยที่ 13,
นายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 14, นายนิมล หรือโจ รักดี จำเลยที่ 15, นายสุธี เชื่อมไธสง จำเลยที่ 16, นางสุนีย์ จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 17, นายกฤษณะ สุระมนต์ จำเลยที่ 18, นายสมยศ คุณจักร จำเลยที่ 19, บริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด หรือบริษัท สิราลัย จำกัด จำเลยที่ 20 และน.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 21
สำหรับนายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร นักธุรกิจชื่อดัง จำเลยที่ 14 ในคดีนี้ ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญ เนื่องจากก่อนหน้านี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแขวงสมุทรปราการ ฐานยักยอกข้าวกระทรวงพาณิชย์ ส่งไปขายอิหร่าน 2 หมื่นตัน มูลค่า 200 ล้านบาท ซึ่งศาลแขวงสมุทรปราการ พิพากษาจำคุก 6 ปี ปรับรวม 12,000 บาท โดยขณะนี้คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ในบรรดาจำเลยวีไอพีที่มีคุกและค่าชดใช้ความเสียหายที่รออยู่เบื้องหน้าเหล่านี้ จะมีสักกี่คนที่นั่งรอให้ถูกลากเข้าปิ้ง โดยเฉพาะนายบุญทรง ม้าใช้ของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ต้องรับไปเต็มๆ
ณ วันนี้ ขอถามว่า มีใครเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายบุญทรง จะไม่หนี? มีใครเชื่อว่า คสช. จะไม่หลับตาปล่อยให้จำเลยวีไอพีทั้งสองหลบหนี? ช่วยยกมือหน่อย
แต่อีกไม่นานคงได้รู้กัน