ASTVผู้จัดการรายวัน-เลขาธิการ สปสช. ปัดอยู่เบื้องหลังปมย้าย "หมอณรงค์" ชี้ขัดแย้งการจัดสรรงบบัตรทองจบตั้งแต่เดือนก.พ. แต่ยอมรับแค่กรอบความคิดไม่ตรงกันเท่านั้น ส่วนการถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องทุจริต ยืนยันเคลียร์ได้ทุกข้อ และพร้อมถูกตรวจสอบตามคำสั่งนายกฯ เผยหลังไร้เงาปลัด การทำงานฉลุย
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่า สปสช. ไม่เคยถูกตั้งข้อสงสัยในลักษณะทุจริต และไม่เคยถูกสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน มีเพียงแต่ตั้งข้อสงสัยเรื่องการใช้งบประมาณแล้วชี้แจงเท่านั้น และที่ผ่านมา ก็มีการตรวจสอบทุกปี จากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และยังเคยถูกตรวจสอบโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการตรวจสอบการใช้เงินภาครัฐ (คตร.) ซึ่งได้มีการชี้แจงแล้ว ทั้งหมดไม่พบการทุจริต จึงยืนยันว่าการบริหารจัดการของ สปสช.มีความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาล
ส่วนประเด็นที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จะตรวจสอบการใช้งบประมาณของ สปสช.ใน 5 ประเด็น ก็เป็นเรื่องที่ สปสช. เคยชี้แจงไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ สปสช.ได้ส่งหนังสือชี้แจงพร้อมเอกสารหลักฐานไปแล้วเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา
นพ.วินัยกล่าวว่า ประเด็นที่ ป.ป.ท.ตรวจสอบ คือ 1.บอร์ดมีผลประโยชน์ทับซ้อน ยืนยันว่าการเลือกกรรมการบอร์ดเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ให้ผู้มีส่วนได้เสียในระบบหลักประกันเข้ามาเป็นกรรมการ 2.การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่เอื้อประโยชน์เอกชน ยืนยันว่า สปสช. ซื้อจากองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพียงแห่งเดียว 3.การนำเงินไปให้ รพ.เอกชนในการบริการโรคเฉพาะ ที่ไม่ใช่หน่วยบริการตามกฎหมาย สปสช. ยืนยันว่าระบบเรามี รพ.เอกชนด้วย แต่ต้องขึ้นทะเบียนหน่วยบริการก่อนและมีการตรวจสอบคุณภาพ รพ.เอกชนที่จะเข้ามา
4.การตกแต่งบัญชีโดยการโอนเงินล่วงหน้าและเรียกเงินกลับเพื่อการประเมินโบนัส เป็นการโอนเงินล่วงหน้า เพื่อช่วยเหลือมิให้ รพ.มีปัญหาสภาพคล่องตอนต้นปีงบประมาณ และจะมีการหักลบตามผลงานที่ทำได้ตอนปลายปี ซึ่งเป็นระบบปกติ ไม่ใช่การตกแต่งบัญชีเพื่อรับโบนัสแน่นอน เพราะต่อให้ผลประเมินด้านบัญชีการเงินเป็นศูนย์ ผลประเมินโดยรวมก็ไม่แตกต่าง และ 5.การปรับอัตราเงินเดือนค่าตอบแทนของคณะกรรมการหรือเลขาธิการ สปสช. ไม่เป็นไปตามมติ ครม. ยืนยันว่าบอร์ด สปสช. ไม่ได้รับเงินเดือน ส่วนเบี้ยประชุม ก็เป็นไปตามระเบียบ ส่วนการจ้างเลขาธิการ จะใช้อัตราเงินเดือนตามระดับองค์กรที่ กพร.กำหนด ซึ่ง สปสช.อยู่ในระดับ 3 อัตราเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท ซึ่งการเพิ่มเงินเดือนก็เป็นไปตามผลการประเมินของบอร์ด
"ประเด็นเงินค้างท่อที่ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนนั้น สปสช.ส่งเงินให้หน่วยบริการโดยตรง ซึ่งตามข้อกำหนดแล้ว เงินจะต้องเหลือไม่เกิน 4% ของงบที่ได้รับมา ซึ่งจะต้องเหลือไว้เพื่อเบิกจ่ายให้แก่หน่วยบริการที่ยังเบิกจ่ายไม่ครบ" เลขาธิการ สปสช. กล่าว
นพ.วินัยกล่าวว่า สำหรับประเด็นการย้าย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และมีการโยงว่า สปสช. อยู่เบื้องหลัง จากความคิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องการจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวนั้น ไม่จริง เพราะมติบอร์ด สปสช. เรื่องการจัดสรรงบประมาณปี 2558 ได้ข้อยุติเมื่อวันที่ 9 ก.พ.2558 และยังยืนยันว่า โดยส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับนพ.ณรงค์ เพียงแต่กรอบความคิดไม่เหมือนกัน เพราะการบริหารจัดการงบกองทุนหลักประกันฯ ค่อนข้างมีความซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจในระยะเวลาสั้นๆ อย่างตนก็ต้องขลุกอยู่กับงานนี้มาเป็น 10 ปีจึงจะเข้าใจ
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า กรณีความเห็นต่างระหว่าง สธ. และ สปสช.นั้น โดยเฉพาะเรื่องเขตสุขภาพและการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Paln) 10 สาขานั้น สปสช.ไม่เคยค้าน แต่สนับสนุน เพราะจริงๆ แล้วเรื่องดังกล่าวก็มีต้นแบบมาจากโมเดลนครชัยบุรินทร์ ที่ทำงานร่วมกันกับ สปสช. เขต จนได้นวัตกรรมเรื่อง Service Plan ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการมากขึ้น การใช้จ่ายรัดกุมและประหยัดมากขึ้น
สำหรับการทำงานร่วมกันระหว่าง สธ.และ สปสช. เบื้องต้นมีการตั้งคณะทำงานประกอบด้วยเลขาธิการ รองเลขาธิการ รักษาการปลัด สธ. และรองปลัด สธ. ในการทำงานร่วมกัน ทั้งการจัดทำงบประมาณขาขึ้นปี 2559 เพื่อแก้ปัญหา รพ.เงินไม่พอ โดยเฉพาะงบลงทุนที่หยุดชะงัก และการแช่แข็งงบประมาณ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รองปลัด สธ. และรักษาการปลัด สธ. กับ นพ.วินัย ก็ได้ไปหารือเรื่องนี้กับสำนักงบประมาณ และยังร่วมกันในการพัฒนาทีมหมอครอบครัวด้วย
"ในอนาคตจะปรับจุดยืนเชิงยุทธศาสตร์ใหม่ หลังจากเดินหน้างานมากว่า 13 ปี ซึ่งสถานการณ์ย่อมแตกต่างจากปี 2545 ก็จะมีการวิเคราะห์ปัญหาด้านสุขภาพ ระบบสาธารณสุข และปัญหาต่างๆ ที่ผ่านมา เพื่อมาพิจารณากำหนดเป้าหมายเพื่อปรับยุทธศาสตร์ในระยะ 5 ปี โดยจะทำในช่วง 2-3 เดือนนี้" นพ.ประทีปกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายกฯ สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ สปสช. นพ.วินัย กล่าวว่า ยังไม่เห็นหนังสือ แต่ก็พร้อมให้ตรวจสอบ
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่า สปสช. ไม่เคยถูกตั้งข้อสงสัยในลักษณะทุจริต และไม่เคยถูกสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน มีเพียงแต่ตั้งข้อสงสัยเรื่องการใช้งบประมาณแล้วชี้แจงเท่านั้น และที่ผ่านมา ก็มีการตรวจสอบทุกปี จากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และยังเคยถูกตรวจสอบโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการตรวจสอบการใช้เงินภาครัฐ (คตร.) ซึ่งได้มีการชี้แจงแล้ว ทั้งหมดไม่พบการทุจริต จึงยืนยันว่าการบริหารจัดการของ สปสช.มีความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาล
ส่วนประเด็นที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จะตรวจสอบการใช้งบประมาณของ สปสช.ใน 5 ประเด็น ก็เป็นเรื่องที่ สปสช. เคยชี้แจงไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ สปสช.ได้ส่งหนังสือชี้แจงพร้อมเอกสารหลักฐานไปแล้วเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา
นพ.วินัยกล่าวว่า ประเด็นที่ ป.ป.ท.ตรวจสอบ คือ 1.บอร์ดมีผลประโยชน์ทับซ้อน ยืนยันว่าการเลือกกรรมการบอร์ดเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ให้ผู้มีส่วนได้เสียในระบบหลักประกันเข้ามาเป็นกรรมการ 2.การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่เอื้อประโยชน์เอกชน ยืนยันว่า สปสช. ซื้อจากองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพียงแห่งเดียว 3.การนำเงินไปให้ รพ.เอกชนในการบริการโรคเฉพาะ ที่ไม่ใช่หน่วยบริการตามกฎหมาย สปสช. ยืนยันว่าระบบเรามี รพ.เอกชนด้วย แต่ต้องขึ้นทะเบียนหน่วยบริการก่อนและมีการตรวจสอบคุณภาพ รพ.เอกชนที่จะเข้ามา
4.การตกแต่งบัญชีโดยการโอนเงินล่วงหน้าและเรียกเงินกลับเพื่อการประเมินโบนัส เป็นการโอนเงินล่วงหน้า เพื่อช่วยเหลือมิให้ รพ.มีปัญหาสภาพคล่องตอนต้นปีงบประมาณ และจะมีการหักลบตามผลงานที่ทำได้ตอนปลายปี ซึ่งเป็นระบบปกติ ไม่ใช่การตกแต่งบัญชีเพื่อรับโบนัสแน่นอน เพราะต่อให้ผลประเมินด้านบัญชีการเงินเป็นศูนย์ ผลประเมินโดยรวมก็ไม่แตกต่าง และ 5.การปรับอัตราเงินเดือนค่าตอบแทนของคณะกรรมการหรือเลขาธิการ สปสช. ไม่เป็นไปตามมติ ครม. ยืนยันว่าบอร์ด สปสช. ไม่ได้รับเงินเดือน ส่วนเบี้ยประชุม ก็เป็นไปตามระเบียบ ส่วนการจ้างเลขาธิการ จะใช้อัตราเงินเดือนตามระดับองค์กรที่ กพร.กำหนด ซึ่ง สปสช.อยู่ในระดับ 3 อัตราเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท ซึ่งการเพิ่มเงินเดือนก็เป็นไปตามผลการประเมินของบอร์ด
"ประเด็นเงินค้างท่อที่ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนนั้น สปสช.ส่งเงินให้หน่วยบริการโดยตรง ซึ่งตามข้อกำหนดแล้ว เงินจะต้องเหลือไม่เกิน 4% ของงบที่ได้รับมา ซึ่งจะต้องเหลือไว้เพื่อเบิกจ่ายให้แก่หน่วยบริการที่ยังเบิกจ่ายไม่ครบ" เลขาธิการ สปสช. กล่าว
นพ.วินัยกล่าวว่า สำหรับประเด็นการย้าย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และมีการโยงว่า สปสช. อยู่เบื้องหลัง จากความคิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องการจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวนั้น ไม่จริง เพราะมติบอร์ด สปสช. เรื่องการจัดสรรงบประมาณปี 2558 ได้ข้อยุติเมื่อวันที่ 9 ก.พ.2558 และยังยืนยันว่า โดยส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับนพ.ณรงค์ เพียงแต่กรอบความคิดไม่เหมือนกัน เพราะการบริหารจัดการงบกองทุนหลักประกันฯ ค่อนข้างมีความซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจในระยะเวลาสั้นๆ อย่างตนก็ต้องขลุกอยู่กับงานนี้มาเป็น 10 ปีจึงจะเข้าใจ
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า กรณีความเห็นต่างระหว่าง สธ. และ สปสช.นั้น โดยเฉพาะเรื่องเขตสุขภาพและการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Paln) 10 สาขานั้น สปสช.ไม่เคยค้าน แต่สนับสนุน เพราะจริงๆ แล้วเรื่องดังกล่าวก็มีต้นแบบมาจากโมเดลนครชัยบุรินทร์ ที่ทำงานร่วมกันกับ สปสช. เขต จนได้นวัตกรรมเรื่อง Service Plan ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการมากขึ้น การใช้จ่ายรัดกุมและประหยัดมากขึ้น
สำหรับการทำงานร่วมกันระหว่าง สธ.และ สปสช. เบื้องต้นมีการตั้งคณะทำงานประกอบด้วยเลขาธิการ รองเลขาธิการ รักษาการปลัด สธ. และรองปลัด สธ. ในการทำงานร่วมกัน ทั้งการจัดทำงบประมาณขาขึ้นปี 2559 เพื่อแก้ปัญหา รพ.เงินไม่พอ โดยเฉพาะงบลงทุนที่หยุดชะงัก และการแช่แข็งงบประมาณ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รองปลัด สธ. และรักษาการปลัด สธ. กับ นพ.วินัย ก็ได้ไปหารือเรื่องนี้กับสำนักงบประมาณ และยังร่วมกันในการพัฒนาทีมหมอครอบครัวด้วย
"ในอนาคตจะปรับจุดยืนเชิงยุทธศาสตร์ใหม่ หลังจากเดินหน้างานมากว่า 13 ปี ซึ่งสถานการณ์ย่อมแตกต่างจากปี 2545 ก็จะมีการวิเคราะห์ปัญหาด้านสุขภาพ ระบบสาธารณสุข และปัญหาต่างๆ ที่ผ่านมา เพื่อมาพิจารณากำหนดเป้าหมายเพื่อปรับยุทธศาสตร์ในระยะ 5 ปี โดยจะทำในช่วง 2-3 เดือนนี้" นพ.ประทีปกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายกฯ สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ สปสช. นพ.วินัย กล่าวว่า ยังไม่เห็นหนังสือ แต่ก็พร้อมให้ตรวจสอบ