ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้จะมีเสียงค่อนแคะว่า ยุคตำรวจลายพราง วงการสีกากีดูอ่อนเปลี้ยไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง บ้างก็ว่าเป็นยุคที่ตำรวจหมดศักดิ์ศรี ถูกสังคม ถูกทหารต้มยำทำแกงจนหมดสง่าราศรี เรื่องแบบนี้ก็ว่ากันไป สุดแต่มุมมอง ซึ่งอาจจะจริงอยู่บ้างหรือมีข้อโต้แย้งอื่นๆ สิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดก็คือ ผลงาน และพฤติกรรมของตำรวจส่วนใหญ่ อันเป็นภาพสะท้อนความแม่นยำ ถูกต้องโดยเฉพาะบทบาทของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. ในฐานะผู้นำหน่วย
“ภาพเสีย”ของตำรวจ ถ้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติใจป้ำพอ ลองออกแบบสอบถามประชาชนว่า เขาเกลียดอะไรต่อพฤติการณ์ของตำรวจมากที่สุด แม้จะตอบแทนกันไม่ได้ แต่ไม่น่าจะพ้นไปจากเรื่องรีดไถ ปล่อยปละละเลยการทำหน้าที่ และการปฏิบัติต่อประชาชนอย่างละเลย มีหลายมาตรฐาน
คงวนเวียนประมาณนี้ แต่ในยุค “พุ่มพันธ์ม่วง”เป็นใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ยอมรับ และต้องมอบดอกไม้แทนก้อนหินก็คือ การปราบปรามอบายมุขต่างๆ โดยเฉพาะบ่อนการพนัน ขบวนการค้ามนุษย์ หรือซ่องในรูปแบบต่างๆ แม้กระแสข่าวทางหนึ่งจะบอกว่า ถ้าไม่มีนโยบายแข็งกร้าวของ คสช. และคำสั่งตรงจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ป่านนี้ “บิ๊กอ๊อด” ก็อาจจะต้านลูกน้องตัวแสบบางคนไม่ไหว ก็เป็นได้
“ยาขม” ที่ถูกป้อนให้กินบ่อยๆ โดยเฉพาะจาก ASTVผู้จัดการ ต้องบอกว่าให้เต็มใจกินเถอะ เพราะมีแต่ประโยชน์ หากยอมรับในจุดบกพร่องได้ ภาพต่างๆ ที่สะท้อนออกไปท่านอาจจะมีโอกาสมองเห็นอีกมุมหนึ่ง
ประเภท ดีครับนาย สบายครับท่าน เหมาะสมครับพี่ พาลงทะเลไปหลายรายแล้ว เช่นเคยได้ยินบ้างไหม ที่มีคนซุบซิบกันว่า ท่านผบ.ตร.ไม่เก่ง ทำงานไม่เป็น แถมยังมี พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รอง ผบ.ตร. ฝ่ายปราบปราม มาเป็นแขนซ้ายแขนขวาประจำกาย ก็ยิ่งทำให้งานน่อมแน้ม ขาดๆ เกินๆ ดูไม่เข้าที่เข้าทาง เพราะทั้ง“ประวุฒิ- เรืองศักดิ์”นายตำรวจร่วมรุ่นของท่าน หรือแม้แต่ ผบ.สมยศ เองก็ไม่เคยผ่านงานบริหารโรงพัก ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจงานตำรวจอย่างทะลุปรุโปร่ง
ข้อสังเกตนี้อาจจะมีเรื่องจริงอยู่บ้าง แต่จุดแข็งที่คนทั่วไปมองเห็นก็คือ ไม่มีตำรวจคนไหนมีประวัติด่างพร้อยจนสังคมร้องยี้ พล.ต.ท.ประวุฒิ หรือเจ้าของฉายาโฆษกหน้าเหี่ยว ที่นักข่าวสายอาชญากรรมตั้งให้ ทำหน้าที่อย่างเหมาะสม ทุกข่าวทุกเรื่องไม่ต้องถาม “ประวุฒิ”จะออกมาบอก
ช่วงรักษาการ“ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง”ท่ามกลางวิกฤติจากกรณี “พงศ์พัฒน์ -โกวิท”ผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะชนทั่วไป
ส่วน“บิ๊กเรือง”ที่เขายกให้เป็นมือปราบแตกฟอง หรือน้ำลายแตกฟอง ก็เป็นเพียงแค่บุคลิกประจำตัว คือยิ้มง่าย พูดเก่ง แต่งานด้านปราบปรามทำไม่เป็น...อันนี้ถ้า“บิ๊กเรือง”จะเถียงก็คงต้องบอกว่า มีนักข่าวอาวุโสหลายคนเห็นกันมาตั้งเป็นผู้หมวด งานหลักคือ ด้านบริการ เขาคือ “สารวัตรธุระการ”รุ่นแรก ตั้งแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงเป็นกรมตำรวจ
จุดหมายปลายทางที่มาจนถึง รอง ผบ.ตร. แถมอยู่ฝ่ายปราบปราม อย่าว่าแต่คนรอบตัวจะงงเลย แม้แต่ “เจ้าตัว” ก็คงแอบหยิกตัวเองหลายหน ก็ต้องยกว่าเท่ห์ไม่เบา แต่ความจริงก็คือความจริง เพราะ “บิ๊กเรือง” ไม่เคยผ่านงาน หรือคุ้นเคยกับงานปราบปรามแม้แต่น้อย
ที่เห็นไปลูบคลำๆ ตอนแถลงข่าวลูกน้องจัดฉากให้ทั้งนั้น
แต่เขาก็มีดี คือเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ชั้นเลิศ เป็นตำรวจมีรอยยิ้มเปื้อนหน้าตลอดทั้งวัน ไม่มีประวัติทุจริต คอร์รัปชัน ไม่เคยมีข่าวอื้อฉาวใดๆ ถ้าไม่ถือว่าเป็นโชคร้ายของคนกรุงเทพฯ ที่ได้นายตำรวจไม่เป็นงานอาชญากรรม มาคุมสายปราบปรามก็ขอให้นึกเสียว่า นี่คือโชคดีอย่างมหาศาลที่ได้ นายตำรวจน้ำดี มาดูแลบ้านเมืองในยุคปฏิรูป
อธิบายมาอย่างละเอียดต้องขอย้อนกลับไปยังปัญหาอาชญากรรม ที่เกิดขึ้นในขณะนี้
อาญากรรมพื้นๆ ที่เกิดขึ้นและรบกวนสุจริตชนอย่างทุกเมื่อเชื่อวันก็คือ คดีความผิดต่อทรัพย์ ทั้งลัก วิ่ง ชิง ปล้น โดยเฉพาะคดีลักทรัพย์เชื่อว่า มีประชาชนจำนวนมากถูกงัดบ้าน ถูกขโมยข้าวของ พอไปแจ้งตำรวจก็สักแต่รับๆไว้ ไม่เคยจับมือใครดมได้แม้แต่รายเดียว
สิ่งเหล่านี้ท่าน ผบ.ตร. จะเอายังไง จะทำเป็นเฉยๆ เงียบๆ เพราะไม่เห็นมีข่าวพาดหัวตัวโตวันไหน ไม่เห็นมีใครโวย เผลอๆ ก็อาจจะสวนกลับว่า ก็ตำรวจมีโครงการรับฝากบ้านไง บ้านไหนมีปัญหาทำไมไม่ไปปรึกษากับสถานีตำรวจในแต่ละท้องที่
ความจริงโครงการฝากบ้านกับตำรวจ เป็นโครงการที่ดี แต่มันสะท้อนให้เห็นว่าตำรวจไทยก็มักชอบทำอะไรแบบนี้ คือฉลาดสร้างภาพ เป็นยอดนักประชาสัมพันธ์ แต่ “ของจริง”ไม่มีน้ำยารับมือกับตีนแมวทั้งหลาย ถ้าไม่คาหนังคาเขา หรือโจรมันทิ้งหลักฐานให้ตามรอย หรือเป็นคดีดัง กับคดีขโมยกางเกงใน ยกทรงบ้าๆ บอๆ แล้วตำรวจไทยทำกันไม่เป็น
โครงการฝากบ้าน จึงเป็นเพียงการสร้างภาพ เพราะความต้องการของประชาชนทั้ง 60-70 ล้านคน เขาอยากฝากบ้านกับท่านทุกหลัง ฝากทุกวัน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ตำรวจไทยก็เลยเอามันแบบนี้แหละ ง่ายๆ แถมมีดัง มีพื้นที่ประชาสัมพันธ์ การบ้านข้อแรก จึงขอให้ท่าน ผบ.ตร. ขึงขังเอาจริงกับอาชญากรรมประเภทนี้ เพราะมันรุกราน รบกวนชาวบ้านมาช้านานแล้ว บัญชาการ ให้ทุกพื้นที่ ห้ามเป่าคดีอย่างเด็ดขาด ถ้ารู้ หรือมีประชาชนร้องว่าไม่รับแจ้งความ สอบสวนได้ข้อเท็จจริงหากเป็นตามนั้น...ย้าย...ต่อมาคือ การติดตามคดี ถ้าท้องที่ไหนมีการกระทำผิดมากๆ แล้วจับมือใครดมไม่ได้ ก็ต้องพิจารณาตำรวจสายตรวจ ตำรวจสายสืบ พิจารณาไปถึง ผกก. และ ผบก.
เรื่องต่อมาคือ ปัญหายาเสพติด
ขอยกกรณี เบนซ์ ท่าทราย มาเป็นตัวอย่าง... “เบนซ์ท่าทราย” เป็นใครมาจากไหน จู่ๆทำไมโด่งดังระดับประเทศ ทั้งที่ความจริงนักค้ายาเสพติดระดับกลางอย่างเขา ควรอยู่ในมุมมืด ไม่น่าจะประกาศตัวบนโลกโซเชียล ขนาดประกาศตัวว่าจะฆ่าตำรวจยกครัวทั้งโรงพัก
นายอดิศักดิ์ ศรีสะอาด หรือ เบนซ์ ท่าทราย อายุ 26 ปี บ้านเดิมอยู่บ้านท่าทราย ต.ดอนปรู อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี มีประวัติเกี่ยวพันกับยาเสพติด ตั้งแต่ปี 2554 -2557 แน่นอนว่า นักค้ายาเสพติดระดับนี้จะต้องมีเครือข่ายอยู่พอสมควร ซึ่งต่อมาตำรวจได้ระบุว่า มีสมาชิกในแก๊งถึง 13 คน ต่อมาวันที่ 5 ส.ค 57 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ศรีประจันต์ สืบทราบว่า นายอดิศักดิ์ หรือ เบนซ์ ท่านทราย หลบหนีอยู่บ้านหลังหนึ่งของ ต.ดอนปรู จึงปิดล้อมจับกุม แต่หลบหนีไปได้ ทิ้งยาบ้าจำนวนหนึ่งไว้เป็นของกลาง และเจ้าหน้าที่จับกุม น.ส.กัลยรัตน์ หรือ เมย์ วงศ์ประสิทธิ์สุข อายุ 25 ปี เครือข่ายเบนซ์ ท่าทราย ไปดำเนินคดี
ประเด็นต่างๆ จึงอยูตรงนี้...หลังจากนั้นไม่นาน “เบนซ์ท่าทราย” ก็เปิดยุทธการท้าทายอำนาจรัฐ ด้วยการโพสต์ข้อความด่าทอฝ่ายปราบปรามยาเสพติด สภ.ศรีประจันต์ กระทั่งมีผู้เข้าไปดู และโพสต์ต่อจนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
เพราะนอกจากเป็นการขู่ฆ่าล้างโคตรตำรวจ สภ.ศรีประจันต์ มีบางตอนยังระบุถึงขบวนการส่วยยาเสพติด สร้างความฮือฮาเป็นอย่างยิ่ง ดังรายละเอียดต่อไปนี้.....
“กูเป็นโจร กูขายยา กูยังกล้ารับเลย เพราะกูมีศักดิ์ศรีพอ แต่มึงเป็นตำรวจแท้ๆ มึงกลัวความผิด หาว่ากูใส่ร้าย ทำตัวเสื่อมเสียสถาบันตำรวจหมด ส่วนนายตำรวจท่านไหน มั่นใจว่าไอ้รองธีรวัฒน์ ไม่มีความผิด เด้งขึ้นมา แสดงตัวขึ้นมาเลย ถ้ามันไม่จริงอย่างที่ผมบอกไป ผมจะมอบตัว และเดินเข้าไปให้ท่านที่กล้าแสดงตัวเตะหน้าด้วยตัวผมเอง แล้วถ้ามันผิดจริงอย่างที่ผมบอกไว้ แล้วแต่ท่านจะใช้วิจารณญาณของท่าน....”
วันที่เท่าไหร่ไม่แน่ชัด น่าจะประมาณ 13-6-57 ถึงวันที่ 17-6-57 เวลาประมาณ 20.00-22.00 บริเวณจุดพักรถในปั๊ม ปตท. (ภานุสรษ์) ผมเดินขึ้นรถเก๋งสีดำ ทะเบียน 9744 หรือว่า 9477 ที่ไอ้รองธีรวัฒน์ ขับมาจริงไหม ลองดำเนินการตรวจสอบดู นี่แค่ตัวอย่างแรก ยังมีอีกเยอะ ที่ผมได้รวบรวมไว้ เสียงที่บันทึกไว้ เงินที่ถ่ายเบอร์ธนบัตรไว้ทุกครั้ง ที่ส่งให้.....
เหตุการณ์ครั้งนั้น สื่อทุกสำนักให้ความสนใจ...สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ต้องพูดถึง สั่นเป็นเจ้าเข้าแต่ไม่มีใครสนใจข้อมูลนักค้ายาเสพติดจอมซ่า “เบนซ์ ท่าทราย”จนวันนี้นายอดิศักดิ์ ถูกเจ้าหน้าที่ตามรวบตัวไว้แล้วพร้อมกับการแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนมากโดย “เบนซ์ ท่าทราย” ตอกย้ำสิ่งที่เขาโพสต์ลงไปในเฟสบุ๊กว่าเป็นความจริงทุกประการ
หวังว่ากรณี “เบนซ์ ท่าทราย”คงไม่จบแค่ความโกรธแค้นของตำรวจที่บังอาจถูกเด็กวานซืนลูบคม คงไม่จบตรงที่ผู้ต้องหารายนี้ถูกดำเนินคดี 3-4 คดีแล้วก็แล้วกันไป หรือในทางร้ายที่สุดอาจจะเจอภัยมืดระหว่างถูกจองจำตามประสบการณ์ต่างๆในอดีต แต่สิ่งหนึ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องเคลียร์ให้ชัด สะสางให้สะอาดนั่นคือข้อกล่าวหาที่นักค้ายาเสพติดรายนี้มีต่อตำรวจในทุกๆข้อหา
ทำกันอย่างจริงจังไม่เห็นแก่หน้า เห็นแก่พวกพ้องเพราะส่วยยาเสพติดไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง และมีการกล่าวหากันมานานแล้ว ตัวอย่างเช่นยาบ้าสีเขียวห้ามไปขายในถิ่นยาบ้าสีแดง หรือยาบ้าสีส้มห้ามไปขายในพื้นที่ยาบ้าสีฟ้าเนื่องจากมีการแบ่งสัมปทาน-จ่ายส่วนให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองบางคนไว้..โอกาสนี้ท่านผู้มีอำนาจอย่าปล่อยโอกาสให้มันผ่านไป...
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.สมควรตั้งคณะกรรมการ สืบสวนสอบสวนอย่างจริงจังอย่ากลัวว่าถ้าพบความจริงจะเกิดความเสียหายต่อองค์กร...มันไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว หากยังหวังให้ตำรวจเป็นที่รักของประชาชนก็ต้องกล้าคิดกล้าทำอย่างตรงไปตรงมา