นครปฐม - ตำรวจภูธรนครปฐม แถลงผลงานจับ “ไอ้เอฟ” คนร้ายรายสำคัญที่ก่อเหตุมาหลายคดีอย่างโหดเหี้ยม ทั้งปล้นทรัพย์ จี้ชิงทอง ยิง ส.อบต.ได้รับบาดเจ็บสาหัส ฆ่าตำรวจคาป้อม และทหาร รวมทั้งหมด 8 คดี ผบก.นครปฐม เผยเป็นคนร้ายตัวอันตรายที่ตำรวจต้องการตัวมากที่สุด ก่อนถูกจับกุมตัวได้เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลังโดนทหารใช้มีดฟันจนนิ้วขาด ขณะที่พลทหารถูกยิงดับ
วันนี้ (9 ก.พ.) ที่ตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม พล.ต.ต.พจน์ บุญมาภาคย์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม พร้อมด้วย พ.ต.อ.รัตนะ ปาลจันทร์ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.อำนวย วรญาวิสุทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.ไพฑูรย์ พิทักษ์ธรรม ผกก.สภ.เมืองนครปฐม พร้อมชุดสืบสวนภูธรจังหวัดนครปฐม ชุดสืบสวน สภ.เมืองนครปฐม ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมคนร้ายซึ่งเป็นบุคคลอันตรายที่ทางตำรวจติดตาม และต้องการตัวมานาน เนื่องจากได้ก่อเหตุคดีสะเทือนขวัญหลายคดี ทั้งก่อเหตุชิงทรัพย์ และยิงคนตาย โดยมีทหาร ตำรวจ และ อบต.ตกเป็นเหยื่อด้วยหลายราย
พล.ต.ต.พจน์ บุญมาภาคย์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม เปิดเผยว่า การจับกุมตัวครั้งนี้เนื่องมาจากเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันตายที่บริเวณถนนทางเข้าชุมชน ม.2 ต.ถนนขาด อ.เมืองนครปฐม โดยสามารถจับกุมตัว นายเจษฎา หรือเอฟ รำพึงจิต อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55/3 ซ.โรงเรียนบำรุง ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ที่ถูกทำร้ายฟันจนนิ้วมือขาดมานอนรักษาตัวที่ รพ.เทพากร ได้ หลังจากก่อเหตุยิง พลฯ อนุชา สังพุก อายุ 23 ปี สังกัดกองร้อยบัญชาการ กองพลทหารราบที่ 9 อยู่บ้านเลขที่ 96/1 ม.4 ต.ถนนชาด อ.เมือง จ.นครปฐม เสียชีวิตด้วยอาวุธปืนขนาด .45 มม.เพื่อชิงทองคำจากผู้ตาย แต่ถูกผู้ตายต่อสู้ใช้มีดฟันจนนิ้วชี้ และนิ้วกลางของคนร้ายขาด
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบหลักฐานพยานต่างๆ พบว่า คนร้ายรายนี้ได้ก่อคดีสำคัญทั้งหมด 8 คดีด้วยกัน ซึ่งล้วนเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่ทางตำรวจกำลังต้องการตัว โดยได้นำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยแบ่งออกเป็น 3 คดีสำคัญที่ทาง พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นวีระ ผบช.ภ.7 ได้สั่งการให้มีการติดตามไล่ล่าคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีให้ได้
หลังจากมีการจับกุม และสอบสวนนายเจษฎา หรือเอฟ ได้สารภาพว่า ก่อเหตุทั้ง 3 คดีสำคัญทั้งหมดโดยก่อนหน้านี้ เคยถูกจับกุมในคดีข้อหาพยายามฆ่าเหตุเกิดที่ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร และเพิ่งพ้นโทษออกมาปลายเดือนธันวาคม 2556 และได้ลงมือก่อเหตุอีกอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
คดีที่ 1 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2557 เวลา 17.00 น. ก่อเหตุชิงทรัพย์เป็นสร้อยคอทองคำ สองสลึง พระเลี่ยมทอง 1 องค์ เหตุเกิดที่หน้าสถานีอนามัยตรงข้ามหน้าวัดพระโคกเจดีย์ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ผู้เสียหายเป็นหญิง 2 ราย
คดีที่ 2 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2557 เวลา 16.30 น. ใช้อาวุธปืนก่อเหตุชิงทรัพย์บริเวณหน้าโรงกรองน้ำ ต.คลองจินดา อ.สามพราน ก่อเหตุกับเหยื่อที่เป็นหญิงด้วยการใช้อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ขนาด .22 มม.ก่อเหตุ และนำทองคำหนัก 1 บาท ของผู้เสียหายไป
คดีที่ 3 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2557 เวลา 17.45 น. ก่อเหตุใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงนายสมพงษ์ กิมฮะ อายุ 43 ปี สมาชิก อบต.ถนนขาด อ.เมืองนครปฐม จำนวน 2 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพื่อหวังชิงสร้อยคอทองคำ หลังก่อเหตุได้ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปโดยสวมหมวกไหมพรมพรางใบหน้า
คดีที่ 4 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2557 เวลา 17.00 น. ก่อเหตุที่บ้านคลองหลวง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ชิงทรัพย์เป็นแหวนทองคำหนัก 2 สลึง จำนวน 1 วง แล้วได้ขับรถจักรยานยนต์ สวมหมวกพรางใบหน้า และสวมรองเท้านินจาหลบหนีไป และต่อมา ได้นำทองที่ได้ไปขายที่ห้างบิ๊กซี สาขานครปฐม
คดีที่ 5 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2557 เวลา 20.30 น. เป็นคดีอุกฉกรรจ์ บุกยิง ด.ต.มานะ สุขไกร อายุ 52 ปี หัวหน้าตู้พักสายตรวจสะแกลาย อ.เมืองนครปฐม และนายสมชาย เปล่งขำ อายุ 63 ปีเสียชีวิตคาตู้พักสายตรวจ และได้ขโมยอาวุธปืนของ ด.ต.มานะ ไปด้วย และยังได้นำทรัพย์สินจากตู้พักสายตรวจไปอีกหลายรายการ
คดีที่ 6 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 เวลา 16.30 น. ก่อเหตุยิง น.ส.มณฑาทิพย์ อยู่ในวงษ์ อายุ 18 ปีเพื่อชิงทองคำหนัก 1 บาท ที่บริเวณปากทางเข้าบริษัท โอตานิ ม.2 ต.ท่ากระชับ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
คดีที่ 7 เหตุเกิดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เวลา 16.00 น. ก่อเหตุลักรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า ฟีโน่ ที่มีผู้เสียหายเสียบกุญแจทิ้งไว้ที่บริเวณปากทางวัดไทร เขตพื้นที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
คดีที่ 8 เหตุเกิดล่าสุดคือ ใช้อาวุธปืนของ ด.ต.มานะ ที่ได้จากการบุกยิงคาป้อมตำรวจก่อเหตุชิงสร้อยคอทองคำของ พลฯ อนุชา สังพุก อายุ 23 ปี เขต อ.เมืองนครปฐม โดยก่อนหน้าที่จะหลบหนีได้ถูกผู้ตายใช้มีดฟันนิ้วขาด และหลบหนีไปที่ อ.นครชัยศรี ก่อนจะมาทำการรักษาตัวที่ รพ.เทพากร โดยอ้างว่าถูกกลุ่มวัยรุ่นเขต อ.นครชัยศรี ทำร้ายร่างกายมา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เชื่อและสอบเค้นประวัติจนยอมรับสารภาพว่าก่อเหตุมาทั้งสิ้น 8 คดี
พล.ต.ต.พจน์ บุญมาภาคย์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม กล่าวว่า ในคดีนี้ตำรวจได้ติดตามตัวคนร้ายมานาน ซึ่งหลังก่อเหตุเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ตนได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ปรีชา ทิมหอม และ พ.ต.ท.ทรงวุฒิ เจริญวิชยเดช รอง ผกก.สส.ภ.จว.นครปฐม เข้าตรวจสอบ และสืบสวนร่วมกับทีมของตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม โดยเค้นสอบถึงพฤติกรรมที่ตรงกันคือ การใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีน้ำเงินขาว เป็นการก่อเหตุบ่อยครั้ง ซึ่งมีประจักษ์พยานทั้งหลักฐานบุคคล และการเก็บลายนิ้วมือมาประกอบ จนผู้ต้องหาจำนนด้วยหลักฐาน ซึ่งทรัพย์ที่ได้ก็จะนำไปใช้เตร็ดเตร่ และเสพยาบ้า ซึ่งเป็นโจรที่มีความเหี้ยมโหดรายหนึ่งที่ตำรวจกำลังไล่ล่าตัวตามแผนการกวาดล้างเหตุอาชญากรรมของตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐมด้วย
ด้าน นายไมตรี เนียะแก้ว กำนันตำบลถนนขาด อ.เมืองนครปฐม กล่าวว่า สำหรับคนร้ายรายนี้ที่ได้ก่อเหตุยิงสมาชิก อบต.ถนนขาด เป็นกรณีที่ผู้เสียหายกำลังช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ในการดับเพลิงซึ่งกำลังไหม้ และอยู่ในช่วงโกลาหล คนร้ายได้เห็นผู้เสียหายใส่สร้อยคอทองคำจึงใช้อาวุธปืนยิงจนล้มลงก่อนจะเข้ามายิงซ้ำเพื่อจะเอาทองคำไปในช่วงชุลมุน แต่เคราะห์ดีที่ชาวบ้านที่ช่วยกันดับไฟได้หันมาเห็น และได้ช่วยกันตะโกนร้องให้คนช่วย คนร้ายจึงหลบหนีไป ก่อนจะมาเจอตัวในวันนี้ ซึ่งถือว่าโหดเเหี้ยมมาก
รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงระหว่างการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ได้มีการนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยนายมาประจำยังจุดต่างๆ เพื่อป้องกันเหตุประชาทัณฑ์ ซึ่งมีถึง 8 แห่งที่คนร้ายได้ก่อเหตุไว้ และแต่ละจุดก็มีชาวบ้านที่โกรธแค้นคนร้ายได้ออกมาดูหน้าคนร้ายจำนวนมาก
วันนี้ (9 ก.พ.) ที่ตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม พล.ต.ต.พจน์ บุญมาภาคย์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม พร้อมด้วย พ.ต.อ.รัตนะ ปาลจันทร์ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.อำนวย วรญาวิสุทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.ไพฑูรย์ พิทักษ์ธรรม ผกก.สภ.เมืองนครปฐม พร้อมชุดสืบสวนภูธรจังหวัดนครปฐม ชุดสืบสวน สภ.เมืองนครปฐม ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมคนร้ายซึ่งเป็นบุคคลอันตรายที่ทางตำรวจติดตาม และต้องการตัวมานาน เนื่องจากได้ก่อเหตุคดีสะเทือนขวัญหลายคดี ทั้งก่อเหตุชิงทรัพย์ และยิงคนตาย โดยมีทหาร ตำรวจ และ อบต.ตกเป็นเหยื่อด้วยหลายราย
พล.ต.ต.พจน์ บุญมาภาคย์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม เปิดเผยว่า การจับกุมตัวครั้งนี้เนื่องมาจากเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันตายที่บริเวณถนนทางเข้าชุมชน ม.2 ต.ถนนขาด อ.เมืองนครปฐม โดยสามารถจับกุมตัว นายเจษฎา หรือเอฟ รำพึงจิต อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55/3 ซ.โรงเรียนบำรุง ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ที่ถูกทำร้ายฟันจนนิ้วมือขาดมานอนรักษาตัวที่ รพ.เทพากร ได้ หลังจากก่อเหตุยิง พลฯ อนุชา สังพุก อายุ 23 ปี สังกัดกองร้อยบัญชาการ กองพลทหารราบที่ 9 อยู่บ้านเลขที่ 96/1 ม.4 ต.ถนนชาด อ.เมือง จ.นครปฐม เสียชีวิตด้วยอาวุธปืนขนาด .45 มม.เพื่อชิงทองคำจากผู้ตาย แต่ถูกผู้ตายต่อสู้ใช้มีดฟันจนนิ้วชี้ และนิ้วกลางของคนร้ายขาด
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบหลักฐานพยานต่างๆ พบว่า คนร้ายรายนี้ได้ก่อคดีสำคัญทั้งหมด 8 คดีด้วยกัน ซึ่งล้วนเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่ทางตำรวจกำลังต้องการตัว โดยได้นำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยแบ่งออกเป็น 3 คดีสำคัญที่ทาง พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นวีระ ผบช.ภ.7 ได้สั่งการให้มีการติดตามไล่ล่าคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีให้ได้
หลังจากมีการจับกุม และสอบสวนนายเจษฎา หรือเอฟ ได้สารภาพว่า ก่อเหตุทั้ง 3 คดีสำคัญทั้งหมดโดยก่อนหน้านี้ เคยถูกจับกุมในคดีข้อหาพยายามฆ่าเหตุเกิดที่ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร และเพิ่งพ้นโทษออกมาปลายเดือนธันวาคม 2556 และได้ลงมือก่อเหตุอีกอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
คดีที่ 1 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2557 เวลา 17.00 น. ก่อเหตุชิงทรัพย์เป็นสร้อยคอทองคำ สองสลึง พระเลี่ยมทอง 1 องค์ เหตุเกิดที่หน้าสถานีอนามัยตรงข้ามหน้าวัดพระโคกเจดีย์ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ผู้เสียหายเป็นหญิง 2 ราย
คดีที่ 2 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2557 เวลา 16.30 น. ใช้อาวุธปืนก่อเหตุชิงทรัพย์บริเวณหน้าโรงกรองน้ำ ต.คลองจินดา อ.สามพราน ก่อเหตุกับเหยื่อที่เป็นหญิงด้วยการใช้อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ขนาด .22 มม.ก่อเหตุ และนำทองคำหนัก 1 บาท ของผู้เสียหายไป
คดีที่ 3 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2557 เวลา 17.45 น. ก่อเหตุใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงนายสมพงษ์ กิมฮะ อายุ 43 ปี สมาชิก อบต.ถนนขาด อ.เมืองนครปฐม จำนวน 2 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพื่อหวังชิงสร้อยคอทองคำ หลังก่อเหตุได้ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปโดยสวมหมวกไหมพรมพรางใบหน้า
คดีที่ 4 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2557 เวลา 17.00 น. ก่อเหตุที่บ้านคลองหลวง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ชิงทรัพย์เป็นแหวนทองคำหนัก 2 สลึง จำนวน 1 วง แล้วได้ขับรถจักรยานยนต์ สวมหมวกพรางใบหน้า และสวมรองเท้านินจาหลบหนีไป และต่อมา ได้นำทองที่ได้ไปขายที่ห้างบิ๊กซี สาขานครปฐม
คดีที่ 5 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2557 เวลา 20.30 น. เป็นคดีอุกฉกรรจ์ บุกยิง ด.ต.มานะ สุขไกร อายุ 52 ปี หัวหน้าตู้พักสายตรวจสะแกลาย อ.เมืองนครปฐม และนายสมชาย เปล่งขำ อายุ 63 ปีเสียชีวิตคาตู้พักสายตรวจ และได้ขโมยอาวุธปืนของ ด.ต.มานะ ไปด้วย และยังได้นำทรัพย์สินจากตู้พักสายตรวจไปอีกหลายรายการ
คดีที่ 6 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 เวลา 16.30 น. ก่อเหตุยิง น.ส.มณฑาทิพย์ อยู่ในวงษ์ อายุ 18 ปีเพื่อชิงทองคำหนัก 1 บาท ที่บริเวณปากทางเข้าบริษัท โอตานิ ม.2 ต.ท่ากระชับ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
คดีที่ 7 เหตุเกิดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เวลา 16.00 น. ก่อเหตุลักรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า ฟีโน่ ที่มีผู้เสียหายเสียบกุญแจทิ้งไว้ที่บริเวณปากทางวัดไทร เขตพื้นที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
คดีที่ 8 เหตุเกิดล่าสุดคือ ใช้อาวุธปืนของ ด.ต.มานะ ที่ได้จากการบุกยิงคาป้อมตำรวจก่อเหตุชิงสร้อยคอทองคำของ พลฯ อนุชา สังพุก อายุ 23 ปี เขต อ.เมืองนครปฐม โดยก่อนหน้าที่จะหลบหนีได้ถูกผู้ตายใช้มีดฟันนิ้วขาด และหลบหนีไปที่ อ.นครชัยศรี ก่อนจะมาทำการรักษาตัวที่ รพ.เทพากร โดยอ้างว่าถูกกลุ่มวัยรุ่นเขต อ.นครชัยศรี ทำร้ายร่างกายมา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เชื่อและสอบเค้นประวัติจนยอมรับสารภาพว่าก่อเหตุมาทั้งสิ้น 8 คดี
พล.ต.ต.พจน์ บุญมาภาคย์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม กล่าวว่า ในคดีนี้ตำรวจได้ติดตามตัวคนร้ายมานาน ซึ่งหลังก่อเหตุเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ตนได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ปรีชา ทิมหอม และ พ.ต.ท.ทรงวุฒิ เจริญวิชยเดช รอง ผกก.สส.ภ.จว.นครปฐม เข้าตรวจสอบ และสืบสวนร่วมกับทีมของตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม โดยเค้นสอบถึงพฤติกรรมที่ตรงกันคือ การใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีน้ำเงินขาว เป็นการก่อเหตุบ่อยครั้ง ซึ่งมีประจักษ์พยานทั้งหลักฐานบุคคล และการเก็บลายนิ้วมือมาประกอบ จนผู้ต้องหาจำนนด้วยหลักฐาน ซึ่งทรัพย์ที่ได้ก็จะนำไปใช้เตร็ดเตร่ และเสพยาบ้า ซึ่งเป็นโจรที่มีความเหี้ยมโหดรายหนึ่งที่ตำรวจกำลังไล่ล่าตัวตามแผนการกวาดล้างเหตุอาชญากรรมของตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐมด้วย
ด้าน นายไมตรี เนียะแก้ว กำนันตำบลถนนขาด อ.เมืองนครปฐม กล่าวว่า สำหรับคนร้ายรายนี้ที่ได้ก่อเหตุยิงสมาชิก อบต.ถนนขาด เป็นกรณีที่ผู้เสียหายกำลังช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ในการดับเพลิงซึ่งกำลังไหม้ และอยู่ในช่วงโกลาหล คนร้ายได้เห็นผู้เสียหายใส่สร้อยคอทองคำจึงใช้อาวุธปืนยิงจนล้มลงก่อนจะเข้ามายิงซ้ำเพื่อจะเอาทองคำไปในช่วงชุลมุน แต่เคราะห์ดีที่ชาวบ้านที่ช่วยกันดับไฟได้หันมาเห็น และได้ช่วยกันตะโกนร้องให้คนช่วย คนร้ายจึงหลบหนีไป ก่อนจะมาเจอตัวในวันนี้ ซึ่งถือว่าโหดเเหี้ยมมาก
รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงระหว่างการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ได้มีการนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยนายมาประจำยังจุดต่างๆ เพื่อป้องกันเหตุประชาทัณฑ์ ซึ่งมีถึง 8 แห่งที่คนร้ายได้ก่อเหตุไว้ และแต่ละจุดก็มีชาวบ้านที่โกรธแค้นคนร้ายได้ออกมาดูหน้าคนร้ายจำนวนมาก