xs
xsm
sm
md
lg

คำหรูชูป้าย

เผยแพร่:   โดย: ไพรัตน์ แย้มโกสุม

ณ วัดป่าแห่งหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด แม้สายลมพัดก็มิเยี่ยมยาม ทันใดนั้นท่านอาจารย์ก็พูดขึ้นว่า...

“พูดอะไรกันนักหนา หนวกหูจัง ไปดูซิ เขาพูดอะไรกัน แล้วกลับมารายงาน”

ลูกศิษย์งง มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองใกล้มองไกล ไม่เห็นมีใครพูดอะไร เห็นแต่ต้นไม้ยืนล่ายส้ายสงบเงียบ ปานทหารคอยดูรักษา

“อาจารย์ครับ ไม่มีใครพูดอะไร เพราะไม่มีคนอยู่แถวนี้ มีแต่พวกผม 4-5 คนกำลังทำสมาธิกับอาจารย์” ลูกศิษย์ให้ความเห็น

“อือ...พูดได้แต่คนหรือ ที่ไม่ใช่คนพูดไม่ได้หรือ” อาจารย์แจกปริศนาต่อ

ลูกศิษย์ยิ่งงง เลยหยุดพูดกัน ทำสมาธิต่อ สักครู่ศิษย์คนหนึ่งก็หัวเราะก๊าก

“รู้แล้ว ลุกขึ้น ไปกันเร็ว พวกเรา” ศิษย์ผู้ปิ๊งแวบก่อนใคร บอกเพื่อน
พวกเขาไปไหน?

อ๋อ...พวกเขาไปหาต้นไม้พูดได้ไงล่ะ!

แล้วนำข้อมูลกลับมาหาอาจารย์ อาจารย์ก็ให้ศิษย์แต่ละคนนำเสนอข้อมูลของตน พร้อมอรรถาธิบาย จากนั้นให้เพื่อนๆ ช่วยวิจารณ์ และอาจารย์วิจารณ์เป็นคนสุดท้าย ศิษย์จะเห็นด้วยหรือไม่? ขึ้นอยู่กับศิษย์แต่ละคน ไม่มีผิดไม่มีถูก ขอให้เข้าใจ-เข้าถึงเป็นสำคัญ ตัวอย่างต้นไม้พูดได้อันหนึ่งคือ... “สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา” เป็นต้น

คำหรูชูป้าย

“คำหรู” หรือ “วาทศิลป์” ก็คือศิลปะในการใช้ถ้อยคำสำนวนโวหารให้ประทับใจ แสดงออกมาโดยคำพูด หรือตัวหนังสือในรูปแบบต่างๆ หลากหลายมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นวัด โรงเรียน สถานที่ราชการ หรือที่ส่วนตัวของเอกชน จะพบคำหรูชูป้ายเสมอ บางแห่งน้อยไป บางแห่งพอประมาณ บางแห่งมากเกิน

เป็นการตอกย้ำให้คนปฏิบัติตามคำหรูเหล่านั้น หรือเป็นเครื่องการันตีว่า...ฉันเป็นคนดี หรือทองคำ เช่นคำหรูนั้น ผู้ผ่านมาพบเห็นก็ชื่นใจ เคลิบเคลิ้มฝันไปตามคำหรูบนป้าย

คำหรูหรือถ้อยคำออกมาจากใจ ใจคิดอย่างไร ถ้อยคำก็เป็นอย่างนั้น เช่น เขาพูดว่า

“ผมรวยแล้วไม่โกง” แต่พฤติกรรมของเขาโคตรโกง หรือโกงทั้งโคตร

ไหนว่า... “ใจคิดอย่างไร ก็พูดอย่างนั้น”

ก็ถูกต้องแล้วครับ... “ใจก่อนที่จะพูด ใจมันชุ่ม ใจมันคิดจะโกง ใจมันคิดจะโกหก จะโกหกอย่างไรให้ดูดี มีคนเชื่อถือ...ผมเป็นคนสัตย์ซื่อ ถือความดีเป็นสรณะ...” คนที่มองผิวเผินชั้นเดียว ก็จะเชื่อง่ายๆ แต่คนมองลึกๆ หลายชั้น สูตรขุดบ่อล่อปลาใช้กับเขาไม่ได้หรอก

สมัยก่อนเวลานักการเมืองผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองไปไหน จะมีคำหรูชูป้ายต้อนรับเสมอ เช่น “น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนก นายกฯ เป็นของ...” เป็นต้น เป็นการใช้เงินภาษีประชาชนโดยไม่เกิดประโยชน์ส่วนรวม พอมาถึงนายกฯ คนปัจจุบันสั่งให้เลิกป้ายเชลียร์ (เชียร์+เลีย) นั้นเสีย อย่างนี้คือกล้าทำดี ขอชื่นชม

ความจริงคำหรูชูป้ายก็ดีอยู่ แต่ให้เหมาะกับสถานการณ์ กาลเทศะพอควร ไม่มากเกิน ที่สำคัญต้องทำได้ตามคำหรูนั้น และนำคำหรูนั้นๆ มาอรรถาธิบายให้เข้าใจและเข้าถึง จึงจะเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและคนอื่น หรือสังคมส่วนรวม

พูดง่ายทำยาก

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขอยกโอวาทธรรมของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี มาให้ประจักษ์...

“นักพูดหาง่าย นักปฏิบัติหายาก เพราะเขาเรียนกันแต่พูด มิใช่เพื่อปฏิบัติ พูดแล้วได้เงินและดังด้วย ปฏิบัติไม่ได้เงิน ไม่ดัง แต่ได้ธรรม”

จริงๆ อย่างหลวงปู่ว่า แล้วเราทั้งหลายจะเอาอย่างไร ระหว่าง “พูดๆๆ” กับ “ทำๆๆ” ระหว่าง “เงิน” กับ “ธรรม” ระหว่าง “นำ” กับ “ตาม”

เราเลือกอย่างไหน เราก็เป็นอย่างนั้น นั่นคือตัวตนของเรา

“ร้อยรู้หรือจะสู้หนึ่งทำ” นี่ก็อีกหนึ่งคำหรู หากนำไปปฏิบัติจริง ก็เป็นประโยชน์อเนกอนันต์

เรื่องการขีดๆ เขียนๆ ของผม แม้จะไม่เด่นดัง คงพอไปวัดไปวาได้บ้างกระมัง ส่วนเรื่องการพูดนั้น ผมเป็นคนไม่ชอบพูด ไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากพูดความจริง ครั้นพูดความจริงออกไป ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร ผู้ฟังไม่พอใจ อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็พอพูดได้ ผู้ฟังประทับใจด้วย แต่คำพูดอย่างมีวาทศิลป์ของผม อาจจะไม่จริง นั่นคือ ผมมุสา ผิดศีลข้อ 4 ซะแล้ว ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่อยากพูด

เคยประทับใจนักพูดนักเขียนมากๆ หลายๆ คน พอเขาไปรับใช้เผด็จการทรราช ผู้เชี่ยวชาญขุดบ่อล่อปลาเท่านั้นแหละ จบเลย เขาคนนั้นหายไปจากสายตาของผมเสียแล้ว

ใจไม่กระดาก

คนที่ตะขิดตะขวงใจ ไม่กล้าพูดกล้าทำ เพราะเกรงจะได้รับความอับอาย คนเช่นนี้คือผู้มีใจกระดาก หรือผู้มีหิริโอตตัปปะ อายชั่วกลัวบาป

แต่ยุคนี้สมัยนี้ คนประเภท “ใจไม่กระดาก” มีเยอะ และขยายพันธุ์รวดเร็ว เช่น...โกงบ้างไม่เป็นไร ขอให้ฉันมีส่วนได้ด้วย, คนฉลาดต้องรู้จักแปรทรัพย์ของชาติให้เป็นเงิน คนรุ่นต่อไปเขามีปัญญาหาเอง, การทำบุญก็เหมือนกับการซื้อสิ่งของ ของโหลๆ ถูกๆ ก็ราคาถูก ของดีๆ มีคุณภาพก็ราคาแพง ของระดับพรีเมียมสุดยอดขั้นเทพ ราคาก็ต้องสุดยอดโคตรๆ เป็นสวรรค์ชั้นพิเศษ คอยรอรับเมื่อจากโลกนี้ไป ฯลฯ

คนประเภทน้ำขุ่นใจขุ่น ก็ลุ่มหลงตามกระแสคำลวงไป มีศรัทธา เชื่อๆ เป็นสรณะ

โลกนี้จึงเดือดร้อนสับสนวุ่นวาย ไม่มีสันติสุข เชื่อคำพูดยิ่งกว่าคำธรรม

จะแก้ปัญหา “ใจไม่กระดาก” ให้เป็น “ใจกระดาก” ได้อย่างไร?

ก็ต้องอาศัย “ธรรมคุ้มครองโลก” คือมีหิริ ความละอายบาป หรือละอายใจต่อการทำความชั่ว และโอตตัปปะ ความกลัวบาป หรือเกรงกลัวต่อความชั่ว

ง่ายๆ แต่เข้าใจและเข้าถึงยาก เพราะคนส่วนมากมีวิถีชีวิตอยู่ด้วย ไม่อายชั่ว ไม่กลัวบาป จนเกิดทางสองแพร่งให้เลือกเอา ระหว่าง “อายชั่วกลัวบาป” กับ “ไม่อายชั่วไม่กลัวบาป”

ผู้มีหน้าที่โดยตรงที่จะอบรมสั่งสอนผู้คนให้เข้าใจและเข้าถึงหลักธรรมสองข้อ (หิริ โอตตัปปะ) นี่คือ พระ รองลงมาคือ ครู

แต่...อนิจจาประเทศไทย พระและครูส่วนหนึ่งเลือกทางเดินปลอดหิริโอตตัปปะไปซะแล้ว จะเหลือพอเป็นกระสายก็แค่เพียง “คำหรูชูป้าย” พอหากินไปพลางๆ เท่านั้น

ท่าน “คสช.” และ “นายกฯ” ผู้มีอำนาจเด็ดขาด จะว่าอย่างไร ช่วยแก้ไขไวๆ หน่อยครับ เพราะท่านมีอำนาจที่จะเปลี่ยนความคิดและการกระทำของพระและครูได้ จะรอให้คนหลงเปลี่ยนตัวเองให้หายหลง ก็คงเป็นได้เพียงลมๆ แล้งๆ เท่านั้นเอง

ฝีปากกากใน

เรื่องคารมคมคาย พูดขาวเป็นดำ พูดดำเป็นขาว พูดจนลิงหลับเนี่ย ต้องยกให้เขา ผู้มี “ฝีปากเป็นเลิศ” เพราะเขาคาบไมค์ออกมาจากท้องแม่ ส่วนข้างในหรือก้นบึ้งหัวใจนั้น ไม่อยากพูดถึง เพราะมันเต็มไปด้วยของเน่า เต็มไปด้วย “กาก” ของเหลือใช้ ของดีๆ ไม่มีเหลือ กลายเป็นของเหลือเดน เช่น กากเดนทรราช จะดูดีหน่อยก็แค่ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” เท่านั้นเอง คนไม่รู้ทันก็ชื่นชม คนรู้ทันก็อ้วกแตก

ดูเรื่องพลังงานความเป็นความตายของชาติบ้านเมือง แต่ใครใจร้ายทำให้เป็นเรื่องเล็กน้อยจนคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้นกับแผ่นดินของเขา

ดร.ณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจและนักวิชาการ ในฐานะติดตามเรื่องพลังงานมานาน ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า คนไทยกำลังถูกปล้นประเทศไป ด้วยการถูกหลอกว่ามีน้ำมันน้อย ประเทศไทยกำลังยกผลประโยชน์พลังงานไปให้คนอื่น ท่านให้สัมภาษณ์ เอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับ 21 กุมภาพันธ์ 2557 ว่า...

“ผมคิดว่าเรื่องพลังงานในประเทศไทย เป็นการปล้นประเทศครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือปล้นโดยปิดหูปิดตาประชาชนกว่า 63 ล้านคน แล้วคนปล้นมีอิทธิพลสูงมาก สามารถซื้อสื่อ ซื้อหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี สื่อเกือบทั้งหมด ตอนนี้ผมเห็นแค่สื่อเอเอสทีวีที่ยังตามเรื่องพลังงาน แต่สื่ออื่นเล่นเรื่องนี้ได้สักแป๊บก็เลิกตามแล้ว

นอกจากนั้นคนปล้นกลุ่มนี้ยังซื้อพรรคการเมือง เพื่อให้เป็นพวกของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พลเรือน เรียกว่าเขามีอิทธิพลที่สุดเลย เพื่อจะทำการปล้นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นการเอามือปิดฟ้า เพราะเรื่องพลังงานที่บอกว่า ประเทศไทยมีน้ำมันน้อย ก๊าซธรรมชาติน้อย มันไม่สามารถหลอกคนทั้งโลกได้หรอก ทั่วโลกรู้หมด หลอกได้แต่คนไทย ดังนั้นในความรู้สึกของผมนี่ คือการปล้นตนเองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด คือร่วมมือกับต่างชาติมาปล้นประเทศของตนเอง คิดว่าเป็นการปล้นกันถึงแสนแสนล้าน ผมอายที่เกิดมาในสมัยนี้ คืออายที่เห็นการปล้นแล้วทำอะไรไม่ได้...”

ขอบคุณมากกับการให้สัมภาษณ์ของ ดร.ณรงค์ โชควัฒนา โดนใจกับคำสุดท้ายที่ว่า... “ผมอายที่เกิดมาในสมัยนี้ คืออายที่เห็นการปล้นแล้วทำอะไรไม่ได้”

ได้ยินไหม ผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง ท่านยังจะยืนดูตาปริบๆ เช่นนั้นหรือ ไม่อายอะไรบ้างเลยหรือ ยังจะเชิดหน้าชูคอล้อฝีปากไม่กระดากอายไปวันๆ ทำได้ไง? มันเป็นหน้าที่ของท่าน เพราะท่านเป็นผู้นำมีกระจกก็ต้องส่อง ไม่ใช่ทุบมันทิ้ง

การพูดหรือการเสนอข้อมูล ระหว่างภาคข้าราชการกับภาคประชาชน รัฐบาลและประชาชนจะเชื่อฝ่ายไหน รัฐบาลย่อมเชื่อฝ่ายข้าราชการ ส่วนประชาชนย่อมเชื่อฝ่ายภาคประชาชน นั่นไม่สำคัญอะไรเป็นเรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาคือ ความสำคัญสุดๆ อยู่ที่ฝ่ายที่พูดความจริง และรักษาผลประโยชน์ของประเทศที่มีประชากร 65 ล้านคนเป็นเจ้าของแผ่นดินและเป็นเจ้าของทรัพยากร

ฝ่ายที่ว่ามีไหม? มี และฝ่ายตรงกันข้ามมีไหม? มี

ทั้งสองฝ่ายต่างก็เชื่อมั่นในข้อมูลของตน จึงสะดวกในการตัดสินใจ คอยดูต่อไปว่า...ฝ่ายไหนจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

คำหรูชูป้าย

พูดง่าย ทำยาก

ใจไม่กระดาก

ฝีปากกากใน


ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยผู้เขียนในการนำเสนอ เดี๋ยวก็สมมติสัจจะ เดี๋ยวก็ปรมัตถสัจจะ เอาอะไรแน่นอนไม่ได้

ถูกต้องครับ ไม่มีอะไรแน่นอน “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” หรือ “ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน”

ชีวิตคือสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน ด้านหนึ่งเป็นสมมติสัจจะ อีกด้านหนึ่งเป็นปรมัตถสัจจะ เราจะเล่นเพียงด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ เราต้องเล่นทั้งสองด้าน จึงจะเป็นเหรียญ จึงจะเป็นชีวิต

สมมติสัจจะหรือความจริงโดยสมมติ คือความจริงที่ขึ้นต่อการยอมรับของคน เช่น มีคนดี มีคนชั่ว คนชั่วต้องต่อต้าน คนดีต้องส่งเสริม อย่างกรณีคนชั่วที่คิดจะยกพลังงานให้ต่างชาติ คนดีรักชาติรักแผ่นดินเขาก็พากันต่อต้าน เป็นต้น

ปรมัตถสัจจะ หรือความจริงโดยปรมัตถ์ คือความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยไม่ขึ้นต่อการยอมรับของคน มีความสงบสุข มีอิสรภาพ เพราะเห็นสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง “เห็นหนึ่งคือทั้งหมด เห็นทั้งหมดคือหนึ่ง”

ท่านโพธิธรรม สอนว่า “อย่ายึดติดกับถ้อยคำ หากในหัวของท่านไม่มีถ้อยคำ ในความเงียบ นั่นแหละ คือพระเจ้า คือความจริง คือนิพพาน”

พวกเราทั้งหลายทั้งปวง ต่างก็จากบ้านมานานแล้ว อยากกลับบ้าน แต่กลับไม่ถูก พากันหลงทางอยู่นั่นแหละ เพราะผู้นำทางก็ไม่รู้อะไร แต่วางมาดผู้รู้ผู้วิเศษ

หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านสงสารเพื่อนมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทุกคน ท่านบอกว่า...

“ลูกเอ๋ย หลานเอ๋ย บ้านที่แท้จริงของเรา คือความรู้สึกที่มันสงบ ความสงบนั่นแหละ คือบ้านที่แท้จริงของเรา”

โอ...อมิตาพุทธ ปิ๊งแวบๆๆ สมมติก็เล่นกันสุดๆ ปรมัตถ์ก็จัดให้ล้นจนถึงบ้าน สาธุๆๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น