เมื่อวานนี้ (10 มี.ค.) มีการประชุมสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มี นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้รับทราบรายงานความคืบหน้า การร่างรัฐธรรมนูญ ของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จากการรายงานสรุปของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ ว่า กมธ.ได้ยกร่าง ร่างแรกเสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังไม่นิ่ง ซึ่งได้มีการวิเคราะห์ถึงปัญหาระบบการเมืองไทย ทั้งอดีตและอนาคต คิดว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้น10 ปีเต็ม ขัดแย้งที่ร้าวลึก แบ่งฝ่ายคนไทยออกเป็นสีเสื้อต่างๆ มีการดึงสถาบันต่างๆ มาสู่ความขัดแย้งไม่เว้นแม้แต่สถาบันเดียว และปัญหาเหล่านี้ยังไม่สิ้นสุด เป็นไข้ตัวรุม เพียงแต่มียาพารา คือ กฎอัยการศึกกำกับไว้ พร้อมที่จะกำเริบเมื่อยาหมดฤทธิ์ ความขัดแย้งนี้ กรรมาธิการฯ และสปช. ต้องร่วมกันแก้ เพราะถ้ายังขัดแย้งอย่างนี้ต่อไป ไม่แน่ไทยอาจจะรั้งท้ายประเทศที่ 10 ของอาเซียน ก็ได้
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากขัดแย้งในเชิงความคิดเห็นการเมืองของกลุ่มบุคคลแล้ว สมมุติฐานที่แท้จริงคือ ความไม่เป็นธรรมในเศรษฐกิจสังคม ระหว่างคนมั่งมีมหาศาลส่วนใหญ่ในเมือง กับคนไม่มี หรือชั้นกลางระดับล่างส่วนใหญ่ในชนบท ผลแห่งการพัฒนาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่แผนแรก จนถึงแผนที่ 11 ความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้ของคนที่รวยที่สุด 20% ด้านบน ซึ่งเป็นเจ้าของรายได้ประชาชาติ ถึง 54 % กับคนจนสุด 20% สุดท้าย ซึ่งเป็นเจ้าของรายได้ประชาชาติเพียง 4% เศษๆ และหากเอาคนที่อยู่ลำดับ 60 % สุดท้ายของประเทศรวมกันเป็นเจ้าของรายได้ประชาชาติเพียง 25 % ซึ่งเป็นอย่างนี้มา 50 ปีเศษ
ขณะเดียวกัน หากดูการถือครองกรรมสิทธิ์บุคคล ข้อมูลทีดีอาร์ไอ ระบุชัดว่า กรรมสิทธิ์ในส่วนเอกชน 31% เป็นของ 80% ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่เหลือ 69 % เป็นของคนเพียง 20% บัญชีเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ ที่มีเงินตั้งแต่10 ล้านขึ้นไป และเป็นจำนวน 42% ของบัญชีเงินฝากทั้งประเทศ เป็นของเจ้าของบัญชีเพียง 7 หมื่นราย เมื่อความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร และเศรษฐกิจสังคมเป็นสมมุติฐานของความขัดแย้ง จึงจำเป็นต้องแก้ให้ดีขึ้น
**โอ่ ยกระดับราษฎรเป็นพลเมือง
ทั้งนี้ กรรมาธิการฯมองว่า การบริหารจัดการบ้านเมือง จัดการได้โดย 2 กลุ่มคือ นักการเมือง กับ พลเมือง พบว่าการเมืองยังมีปัญหาไม่ได้รับความเชื่อถือในสุจริตโปร่งใส มีการกล่าวหามีการทุจริตมากมายหลายระดับ หลังสุดคือ คดีจำนำข้าวที่อื้อฉาวทั่วโลก นอกจากนักการเมืองทำหน้าที่ในสภาตัดสินใจแทนบ้านเมืองไมได้รับความน่าเชื่อถือ การเมืองที่ในระบบการจัดการบ้านเมืองก็ยังไม่สมดุล ระหว่างพรรคการเมือง กับคนที่ไม่อยากสังกัดพรรค ไม่สมดุลระหว่างคนที่ลงคะแนนเสียงความนิยมทั่วประเทศ หลายพรรคได้น้อยกว่าจำนวนส.ส. พรรคใหญ่ได้คะแนนเสียง นิยมไม่มากเท่าส.ส.ที่ได้ จึงต้องทำหน้าที่ให้ปัญหานี้หมดไป
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า กรรมาธิการฯ เห็นว่าพลเมืองไทยยังไม่ได้รับโอกาสที่ดีในการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมืองอย่างเหมาะสม จำนวนหนึ่งยังเป็นราษฎร ที่ต้องการชี้นำจากนักการเมือง รัฐธรรมนูญนี้จะต้องมีเจตนารมณ์แก้ปัญหาในอดีต และสร้างทางเดินไปสู่อนาคต 4 เจตนารมย์ หลักคือ 1. ต้องสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่จริงในแผ่นดิน 2. ต้องทำให้การเมืองใส่สะอาด สมดุล 3. ต้องหนุนสังคมที่เป็นธรรม และ 4. ต้องนำชาติสู่สันติสุข
ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีเจตนารมณ์ ต้องการยกระดับราษฎรให้เป็นพลเมือง ไม่ต้องตามนักการเมืองเหมือนในอดีต มีการตั้งองค์กรขึ้นมาหลายองค์กร ขยายเพิ่มสิทธิมนุษยชน และสิทธิ์ต่างๆ เช่น เด็กเยาวชนได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ขยายฐานการศึกษาเป็น 15 ปี กสทช. เวลาประมูลคลื่นต้องคำนึงถึงบริหารที่มีคุณภาพทั่วถึง และประโยชน์ได้ประโยชน์สูงสุดเป็นหลัก ไม่ใช่คำนึงถึงรายได้มหาศาลเข้ารัฐ และโยนภาระให้ประชาชนเหมือนทุกวันนี้ กำหนดทรัพยากรธรรมชาติเป็นของสาธารณะ ทั้งปิโตรเลียม ป่าไม้ ไม่ใช่กำหนดเพื่อเอกชน หรือกลุ่มใด กำหนดให้มีสมัชชาพลเมือง ที่มีส่วนร่วมในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา มีสภาตรวจสอบภาคประชาชน ส่งเสริมความซื่อตรงของพลเมืองในจังหวัด โดยต้องตรากฎหมายรองรับกำหนดการคัดเลือกแบบสถิติ มีวาระเพียง 1 ปีเพื่อป้องกันมาเฟีย
"การฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงของ นายกฯ รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา วันนี้เมื่อเกิดขึ้นเรื่องก็เงียบหาย มีการชกต่อยในสภา ส่งให้กรรมการจริยธรรมเรื่องก็เงียบ แต่วันนี้ถ้าประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรง สมัชชาคุณธรรมชี้มูลส่งไปให้ กกต. ขึ้นบัญชีไว้ ถ้าเป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรี ต้องลงมติทั้งประเทศ ถ้าพ้นตำแหน่งไปแล้วถอดถอนไม่ได้ ก็สามารถลงมติว่าควรตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี หรือไม่ ถ้าเป็นส.ส. หรือ ส.ว. ส่งไปให้กกต.ขึ้นบัญชีรายชื่อไว้ เพื่อให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไป ประชาชนในภาคที่ตนเองสังกัด จะลงคะแนนลงมติถอดถอนหรือไม่ หากเป็นส.ว. หรือจะตัดสิทธิ์ทางการเมือง5 ปี หากเป็นส.ส."
**ให้สิทธิ์ปชช.จัดปาร์ตี้ลิสต์ สกัดนายทุนฮุบ
ส่วนการเลือกตั้งแบบใหม่ หรือแบบสัดส่วนผสม ประชาชนจะมีบัตรสองใบ เลือกคนในเขต 250 เขต ๆละคน และเลือกบัญชีรายชื่อพรรค 6 ภาค ที่คณะกรรมการเลือกตั้งแบ่งมาแล้ว อดีตที่ผ่านมาพรรคการเมืองจัดให้นายทุนพรรคอยู่ลำดับต้นๆ จัดมาอย่างไร ก็ตามนั้น แต่ระบบใหม่รายชื่อผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ที่พรรคเสนอมาจะถูกจัดลำดับใหม่ โดยการลงคะแนนของประชาชน
" เช่น พรรคเสนอนายหมู อันดับ 1 แต่ประชาชนไม่ชอบใจ ลงคะแนนให้นายไก่ ที่อยู่อันดับ10 ขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ส่วนการนับคะแนน จะทำสองครั้ง คือนับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์รวมกันทั้งประเทศ เพื่อจำนวนส.ส.ที่จะได้จริง และนับคะแนนของคนในบัญชีรายชื่อ ดีไม่ดี นายหมู ซึ่งเป็นนายทุนพรรค อาจจะลงไปอยู่ลำดับ 30 นายกุ้ง เบอร์ 34 อาจจะขึ้นมาเบอร์ 1 ก็ได้ เรียกว่า เป็นการคืนอำนาจในการจัดคนในบัญชีรายชื่อไปให้ประชาชน นี่ไม่ใช่ระบบเยอรมัน เขาไม่มีแบบนี้ ของเราเป็นระบบเปิด ประชาชนเป็นใหญ่จริงๆ"
นอกจากนี้ยังให้สิทธิ์พลเมืองในการลงมติแก้ไขหลักสำคัญๆ เช่น การแก้ไขหลักการสำคัญรัฐธรรมนูญต้องได้คะแนน 2 ใน 3 และต้องส่งให้ประชาชนลงประชามติ เรื่องที่กฎหมายบัญญัติ และ เรื่องครม.ของประชาติ ที่สำคัญเกี่ยวกับท้องถิ่น เช่น ถกเถียงกันเรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นไม่ได้ข้อยุติ ก็ส่งให้ทำประชามติ และร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอ แล้วสภาไม่รับหลักการ หากมี ส.ส. หรือ ส.ว. หรือสมาชิกรัฐสภา ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ร้องขอให้ทำประชามติได้ คือกลับไปให้ประชาชนตัดสิน ตัวการต้องใหญ่กว่าตัวแทน
"โดยสรุป รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความก้าวหน้ากว่า รัฐธรรมนูญปี 40 และ 50 เรื่องการสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่อย่างชัดเจน แต่เสียดายพลเมืองส่วนใหญ่เป็นคนไม่มีสิทธิ์ มีเสียงจึง ไม่มีการพูดถึงในสื่อ" ประธานกมธ.ยกร่างฯ กล่าว
** ผุดแผนกคดีวินัยการคลังฯ
นอกจากนี้ ยังเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดลักษณะผู้นำนักการเมืองที่ดี มีจริยธรรม มีระบบการรับเงินบริจาคในพรรคอย่างโปร่งใส ให้สมัชชาคุณธรรม เป็นผู้กำหนดธรรมจริยธรรมทุกปี กำกับไต่สวนจริยธรรม ส่งเรื่องให้ถอดถอน กำหนดให้ผู้สมัครระดับชาติ ท้องถิ่น เสียภาษีย้อนหลัง 3 ปี ให้ประชาชนตรวจสอบได้ ให้มีการเปิดเผยการใช้งบแผ่นดินของภาครัฐ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริต คุ้มครองผู้ชี้มูลเบาะแส ถ้าทำไม่สุจริตก็ต้องรับโทษ ให้ กกต.ทำหน้าที่ปราบทุจริตให้ดีขึ้น โดยให้ออกกฎเกณฑ์ ควบคุมชี้ขาดการเลือกตั้ง แต่ให้มีคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งดูแลการเลือกตั้งแทน ที่ผ่านมาหัวคะแนน คือ เจ้าหน้าที่รัฐถือกระเป๋าเงินไปแจกหัวคะแนน แต่ กกต.ไม่สามารถจับได้ เพราะเท่ากับตนเองจัดการเลือกตั้งไม่เป็นกลาง 17 ปีที่ผ่านมา จึงจับเฉพาะผู้สมัครที่ซื้อเสียง วันนี้จึงต้องการให้จับทั้งผู้สมัครที่ซื้อเสียง และเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่เป็นกลาง เป็นการระบบตรวจสอบถ่วงดุลกันเองในระบบจัดการเลือกตั้ง และคุมเลือกตั้ง
ส่วนป.ป.ช. จะให้มีอำนาจตรวจสอบเฉพาะเรื่องที่สำคัญจริงๆ คือ ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองและหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง และ กรม ไม่ต้องลงไปดูระดับผู้ตรวจ หรือผู้อำนวยการกอง เพื่อให้การทุจริตได้รับการปราบปรามครบถ้วนทุกช่องทาง มีการตั้งแผนกคดีวินัยการคลังและงบประมาณในศาลปกครอง ที่ผ่านมาคดีถอดถอนที่นำไปสู่คดีอาญา จะต้องมีใบเสร็จ ทำให้หลายคดีหลุดเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงต้องมีการช่องตรงกลางแก้ปัญหา นี้ เช่นการใช้เงินนี้ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณมหาศาล ที่ถอดถอน หรือดำเนินคดีอาญาไม่ได้ ทางป.ป.ช. หรือ สตง.เห็นว่าฝ่ายการเมืองระดับสูงทำการใช้อำนาจโดยเล็งเห็นว่า จะก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณ แล้วมีหลักฐานอันพึงเชื่อได้ว่า หรือเล็งเห็นได้ว่าการกระทำนั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเงินแผ่นดิน ก็สามารถฟ้องไปยัง แผนกคดีวินัยการคลังและงบประมาณเองได้ เชื่อว่าจะสามารถอัดช่องปัญหานี้ได้
** มี 2 สภา เพื่อความสมดุลทางการเมือง
"การเมืองจะใสสะอาดอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าการเมืองนั้นไม่สมดุล ก็จะส่งผลต่อการบริหารบ้านเมือง เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนี้ จึงต้องการให้มีความสมดุล ยกระดับให้ประชาชนเป็นใหญ่เท่ากับนักการเมือง ให้สมดุลระหว่างสภาบน สภาล่าง จึงจำเป็นต้องมีสองสภา หลายประเทศมีสภาเดียว แต่กรรมาธิการเห็นว่า จะกลายเป็นรถด่วนตกขบวนเร็ว หากไม่มีการเบรก ลองนึกดูถ้าวันนั้นออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้โดยไม่มีการเบรก อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง การมีสองสภา จึงเป็นการทอดเวลาให้มีการยั้งคิด ติดเบรก ไม่ให้พุ่งไปข้างหน้าจนเกิดปัญหา ดังนั้นสภาบน กับสภาล่าง ต้องหน้าตาไม่เหมือน กัน เมื่อสภาล่างมาจากพรรคการเมือง เสียงข้างมาก แล้วให้สภาบน มาจากการเลือกตั้งอีก ก็ไม่มีประโยชน์ จึงสร้างความสมดุล โดยให้สภาผู้แทนมาจากการเลือกตั้งโดยระบบผสม มีอำนาจตั้งรัฐบาล ควบคุมถอดถอนได้ ในทางการเมือง ส่วนวุฒิสภาเป็นพหุนิยมของพลเมืองหลากหลายอาชีพ เพื่อถ่วงดุลสภาผู้แทนฯ"
**ให้อำนาจรัฐบาลยุบสภาเพื่อถ่วงดุล
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญใหม่ สร้างสมดุลระหว่างวินัยพรรค กับความเป็นอิสระของส.ส. กำหนดห้ามผู้ที่ไม่ให้ส.ส. ไปมีมติให้ส.ส.ลงมติไม่ได้ หากส.ส.ลาออกจากพรรค หรือกลุ่มการเมือง จะต้องพ้นจากส.ส. เพื่อให้มีเกิดการขายตัว แต่หาก ส.ส.ไม่ลงมติตามมติพรรค แล้วถูกขับออกจากพรรคก็ไม่พ้นจากสมาชิกภาพ สร้างสมดุลแยกอำนาจบริหาร กับอำนาจนิติบัญญัติ ห้าม ส.ส.เป็นรัฐมนตรี แต่มีมาตรการห้าม ส.ส.ที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ทำลายเสถียรภาพรัฐบาล โดยกำหนดให้หากชนะโหวตไม่ไว้วางใจในสภา ต้องยุบสภา
" มีคนบอกว่า เราเมาหรือเปล่า ยืนยันว่า ไม่เมา เพราะในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่เคยประสบความสำเร็จ จึงต้องการจะบีบให้ฝ่ายค้าน ใช้มาตรการที่รุนแรง จริงจัง และได้ผลมากกว่า คือ กล่าวหาว่าทุจริตแล้ว ไปฟ้องศาลแผนกคดีวินัยการคลังและงบประมาณ และยังให้นายกฯ ขอความไว้วางใจจากสภาได้ จะเป็นการส่งสัญญาณถึง ส.ส.ว่า หากไม่ไว้วางใจต่อไปก็จะยุบสภา อีกทั้งยังให้นายกฯ แถลงว่าร่างกฎหมายทั้งฉบับ หรือบางมาตราเป็นการให้ความไว้วางใจรัฐบาล เช่น เสนอกฎหมายเรื่องทุจริตเข้ามา ก็ไปแก้จนเสือกลายเป็นหมูไม่มีเขี้ยว ก็ต้องให้รัฐบาลแถลงได้ว่า ร่างนี้เป็นความไว้วางใจรัฐบาล รอ 48 ชั่วโมง ถ้าไม่มีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ร่างนี้จะผ่านสภาไปยังวุฒิสภาได้เลย แต่ถ้ามีการยื่นญัตติเข้ามาในเวลากำหนด และมีการลงมติแล้วรัฐบาลชนะ ก็ผ่านกฎหมายไปวุฒิสภา แต่ถ้าแพ้ ก็ยุบสภาทันที เป็นการส่งสัญญาณ ส.ส.ว่า อย่าเบี้ยว อย่าเรียกร้อง หรือเอาเกณฑ์การออกกฎหมายมาต่อรอง แต่ถ้ากลัวว่าจะเป็นเผด็จการ เราก็ให้ใช้มาตรการนี้ได้เพียงหนเดียวในสมัยประชุมเดียว นอกจากนี้ ยังกำหนดให้พรรครัฐบาลเป็นประธานสภา แต่พรรคที่ได้คะแนนอันดับสอง เป็นรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง และประธานกรรมาธิการชุดสำคัญในสภาที่เป็นกรรมาธิการตรวจสอบ ต้องมาจากฝ่ายค้าน ทั้งหมดก็เพื่อสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ และสร้างการเมืองให้ใสสะอาด และสมดุล"
**มั่นใจการเมืองไทยพ้นวงจรอุบาทว์
ด้านนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมาธิการยกร่างฯ กล่าวชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะเรียกว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปรองดอง และปฏิรูป เราจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิม การเมืองไทยจะไม่มีแต่ระบบการเลือกตั้งส.ส. ที่มีแต่นักการเมืองกับพรรคการเมืองเท่านั้น หรือพลเมืองมีเวลาเพียง 4 นาที จากนั้นก็เป็นเพียงผู้ชม หรือผู้ประท้วงเท่านั้น การเมืองแบบผู้แทนยังมีอยู่ และเป็นหลักสำคัญ แต่ไม่ใช่เป็นหลักเดียว และจะต้องมีการนำไปสู่การร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายรวมทั้งกลุ่มการเมืองในการ เข้ามาแบกรับประเทศชาติ และความร่วมมือร่วมใจแบบปรองดองด้วย
ดังนั้นความคุ้นชินในการมีพรรคการเมืองกลุ่มเดียว หรือมีพรรคเล็กมาร่วมประกอบเป็นรัฐบาลอย่างเดียว ขณะที่พรรคการเมืองใหญ่ๆกลับมาเป็นฝ่ายค้าน ต่อไปนี้จะไม่กลับไปเป็นแบบเดิม แต่จะเป็นรัฐบาลผสม ที่ออกมาแบบโดยประชามติของประชาชน จึงได้มีเสียงวิจารณ์ต่างๆ เพราะเคยชินการเมืองแบบเดิมๆ ซึ่งกรรมาธิการยกร่างฯ จะไม่ให้กลับไปสู่การเมืองแบบเดิมอีก จึงได้เสนอนวัตกรรมการเมืองขึ้นมา
"เรากำลังเขียนรธน. ที่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยความตั้งใจว่า เราจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิม จะปฏิรูปประเทศอย่างแน่นอน และแจ่มชัด และรัฐธรรมนูญนี้นอกจากจะเป็นของประชาชน และประเทศชาติแล้ว ยังเป็นของ สปช. ด้วย เพราะสิ่งที่เราได้เสียเวลาคิด หรือพูดในเนื้อหาสาระ ยังอยู่ในรัฐธรรมนูญ 15 มาตรา และ สปช. 60 คน จะต้องมาอยู่ในสภาขับเคลื่อน"
** เชื่อปรองดองได้ ปฏิรูปสำเร็จ
นายเอนก กล่าวว่า เรื่องการปรองดองนั้น เป็นไปตามความคิดที่ว่า การปฏิรูปโดยปราศจากการปรองดอง ก็เหมือนตบมือข้างเดียว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปสำเร็จ โดยมีการเขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญให้มีคณะกรรมการอิสระ ส่งเสริมความปรองดองแห่งชาติจำนวน 15 คน ประกอบด้วยส่วนที่อยู่ในความขัดแย้ง และส่วนที่ไม่ได้อยู่ในความขัดแย้ง ทำหน้าที่เป็นคนกลางแก้ไขความขัดแย้ง รวมรวบข้อเท็จจริงวิเคราะห์หาสาเหตุและ เสนอแนวทางแก้ไขต่อวุฒิสภา และทำหน้าที่เยียวยา ฟื้นฟูจิตใจผู้ได้รับความเสียหาย รวมถึงเสนอให้มีพรฏ.อภัยโทษให้กับบุคคลที่ให้สำนึกผิด และความจริงที่เป็นประโยชน์กับคณะกรรมการฯ และให้การศึกษาเรียนรู้กับสาธารณะชนให้เห็นถึงผลของการแตกแยกการใช้ปัญหาด้วยความรุนแรง ไม่ได้ย้ำให้คนเปลี่ยนความคิดหรืออุดมการณ์ แต่ให้ต่อสู้ด้วยสันติวิธี ตามระบอบประชาธิปไตย
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากขัดแย้งในเชิงความคิดเห็นการเมืองของกลุ่มบุคคลแล้ว สมมุติฐานที่แท้จริงคือ ความไม่เป็นธรรมในเศรษฐกิจสังคม ระหว่างคนมั่งมีมหาศาลส่วนใหญ่ในเมือง กับคนไม่มี หรือชั้นกลางระดับล่างส่วนใหญ่ในชนบท ผลแห่งการพัฒนาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่แผนแรก จนถึงแผนที่ 11 ความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้ของคนที่รวยที่สุด 20% ด้านบน ซึ่งเป็นเจ้าของรายได้ประชาชาติ ถึง 54 % กับคนจนสุด 20% สุดท้าย ซึ่งเป็นเจ้าของรายได้ประชาชาติเพียง 4% เศษๆ และหากเอาคนที่อยู่ลำดับ 60 % สุดท้ายของประเทศรวมกันเป็นเจ้าของรายได้ประชาชาติเพียง 25 % ซึ่งเป็นอย่างนี้มา 50 ปีเศษ
ขณะเดียวกัน หากดูการถือครองกรรมสิทธิ์บุคคล ข้อมูลทีดีอาร์ไอ ระบุชัดว่า กรรมสิทธิ์ในส่วนเอกชน 31% เป็นของ 80% ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่เหลือ 69 % เป็นของคนเพียง 20% บัญชีเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ ที่มีเงินตั้งแต่10 ล้านขึ้นไป และเป็นจำนวน 42% ของบัญชีเงินฝากทั้งประเทศ เป็นของเจ้าของบัญชีเพียง 7 หมื่นราย เมื่อความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร และเศรษฐกิจสังคมเป็นสมมุติฐานของความขัดแย้ง จึงจำเป็นต้องแก้ให้ดีขึ้น
**โอ่ ยกระดับราษฎรเป็นพลเมือง
ทั้งนี้ กรรมาธิการฯมองว่า การบริหารจัดการบ้านเมือง จัดการได้โดย 2 กลุ่มคือ นักการเมือง กับ พลเมือง พบว่าการเมืองยังมีปัญหาไม่ได้รับความเชื่อถือในสุจริตโปร่งใส มีการกล่าวหามีการทุจริตมากมายหลายระดับ หลังสุดคือ คดีจำนำข้าวที่อื้อฉาวทั่วโลก นอกจากนักการเมืองทำหน้าที่ในสภาตัดสินใจแทนบ้านเมืองไมได้รับความน่าเชื่อถือ การเมืองที่ในระบบการจัดการบ้านเมืองก็ยังไม่สมดุล ระหว่างพรรคการเมือง กับคนที่ไม่อยากสังกัดพรรค ไม่สมดุลระหว่างคนที่ลงคะแนนเสียงความนิยมทั่วประเทศ หลายพรรคได้น้อยกว่าจำนวนส.ส. พรรคใหญ่ได้คะแนนเสียง นิยมไม่มากเท่าส.ส.ที่ได้ จึงต้องทำหน้าที่ให้ปัญหานี้หมดไป
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า กรรมาธิการฯ เห็นว่าพลเมืองไทยยังไม่ได้รับโอกาสที่ดีในการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมืองอย่างเหมาะสม จำนวนหนึ่งยังเป็นราษฎร ที่ต้องการชี้นำจากนักการเมือง รัฐธรรมนูญนี้จะต้องมีเจตนารมณ์แก้ปัญหาในอดีต และสร้างทางเดินไปสู่อนาคต 4 เจตนารมย์ หลักคือ 1. ต้องสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่จริงในแผ่นดิน 2. ต้องทำให้การเมืองใส่สะอาด สมดุล 3. ต้องหนุนสังคมที่เป็นธรรม และ 4. ต้องนำชาติสู่สันติสุข
ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีเจตนารมณ์ ต้องการยกระดับราษฎรให้เป็นพลเมือง ไม่ต้องตามนักการเมืองเหมือนในอดีต มีการตั้งองค์กรขึ้นมาหลายองค์กร ขยายเพิ่มสิทธิมนุษยชน และสิทธิ์ต่างๆ เช่น เด็กเยาวชนได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ขยายฐานการศึกษาเป็น 15 ปี กสทช. เวลาประมูลคลื่นต้องคำนึงถึงบริหารที่มีคุณภาพทั่วถึง และประโยชน์ได้ประโยชน์สูงสุดเป็นหลัก ไม่ใช่คำนึงถึงรายได้มหาศาลเข้ารัฐ และโยนภาระให้ประชาชนเหมือนทุกวันนี้ กำหนดทรัพยากรธรรมชาติเป็นของสาธารณะ ทั้งปิโตรเลียม ป่าไม้ ไม่ใช่กำหนดเพื่อเอกชน หรือกลุ่มใด กำหนดให้มีสมัชชาพลเมือง ที่มีส่วนร่วมในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา มีสภาตรวจสอบภาคประชาชน ส่งเสริมความซื่อตรงของพลเมืองในจังหวัด โดยต้องตรากฎหมายรองรับกำหนดการคัดเลือกแบบสถิติ มีวาระเพียง 1 ปีเพื่อป้องกันมาเฟีย
"การฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงของ นายกฯ รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา วันนี้เมื่อเกิดขึ้นเรื่องก็เงียบหาย มีการชกต่อยในสภา ส่งให้กรรมการจริยธรรมเรื่องก็เงียบ แต่วันนี้ถ้าประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรง สมัชชาคุณธรรมชี้มูลส่งไปให้ กกต. ขึ้นบัญชีไว้ ถ้าเป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรี ต้องลงมติทั้งประเทศ ถ้าพ้นตำแหน่งไปแล้วถอดถอนไม่ได้ ก็สามารถลงมติว่าควรตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี หรือไม่ ถ้าเป็นส.ส. หรือ ส.ว. ส่งไปให้กกต.ขึ้นบัญชีรายชื่อไว้ เพื่อให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไป ประชาชนในภาคที่ตนเองสังกัด จะลงคะแนนลงมติถอดถอนหรือไม่ หากเป็นส.ว. หรือจะตัดสิทธิ์ทางการเมือง5 ปี หากเป็นส.ส."
**ให้สิทธิ์ปชช.จัดปาร์ตี้ลิสต์ สกัดนายทุนฮุบ
ส่วนการเลือกตั้งแบบใหม่ หรือแบบสัดส่วนผสม ประชาชนจะมีบัตรสองใบ เลือกคนในเขต 250 เขต ๆละคน และเลือกบัญชีรายชื่อพรรค 6 ภาค ที่คณะกรรมการเลือกตั้งแบ่งมาแล้ว อดีตที่ผ่านมาพรรคการเมืองจัดให้นายทุนพรรคอยู่ลำดับต้นๆ จัดมาอย่างไร ก็ตามนั้น แต่ระบบใหม่รายชื่อผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ที่พรรคเสนอมาจะถูกจัดลำดับใหม่ โดยการลงคะแนนของประชาชน
" เช่น พรรคเสนอนายหมู อันดับ 1 แต่ประชาชนไม่ชอบใจ ลงคะแนนให้นายไก่ ที่อยู่อันดับ10 ขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ส่วนการนับคะแนน จะทำสองครั้ง คือนับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์รวมกันทั้งประเทศ เพื่อจำนวนส.ส.ที่จะได้จริง และนับคะแนนของคนในบัญชีรายชื่อ ดีไม่ดี นายหมู ซึ่งเป็นนายทุนพรรค อาจจะลงไปอยู่ลำดับ 30 นายกุ้ง เบอร์ 34 อาจจะขึ้นมาเบอร์ 1 ก็ได้ เรียกว่า เป็นการคืนอำนาจในการจัดคนในบัญชีรายชื่อไปให้ประชาชน นี่ไม่ใช่ระบบเยอรมัน เขาไม่มีแบบนี้ ของเราเป็นระบบเปิด ประชาชนเป็นใหญ่จริงๆ"
นอกจากนี้ยังให้สิทธิ์พลเมืองในการลงมติแก้ไขหลักสำคัญๆ เช่น การแก้ไขหลักการสำคัญรัฐธรรมนูญต้องได้คะแนน 2 ใน 3 และต้องส่งให้ประชาชนลงประชามติ เรื่องที่กฎหมายบัญญัติ และ เรื่องครม.ของประชาติ ที่สำคัญเกี่ยวกับท้องถิ่น เช่น ถกเถียงกันเรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นไม่ได้ข้อยุติ ก็ส่งให้ทำประชามติ และร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอ แล้วสภาไม่รับหลักการ หากมี ส.ส. หรือ ส.ว. หรือสมาชิกรัฐสภา ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ร้องขอให้ทำประชามติได้ คือกลับไปให้ประชาชนตัดสิน ตัวการต้องใหญ่กว่าตัวแทน
"โดยสรุป รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความก้าวหน้ากว่า รัฐธรรมนูญปี 40 และ 50 เรื่องการสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่อย่างชัดเจน แต่เสียดายพลเมืองส่วนใหญ่เป็นคนไม่มีสิทธิ์ มีเสียงจึง ไม่มีการพูดถึงในสื่อ" ประธานกมธ.ยกร่างฯ กล่าว
** ผุดแผนกคดีวินัยการคลังฯ
นอกจากนี้ ยังเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดลักษณะผู้นำนักการเมืองที่ดี มีจริยธรรม มีระบบการรับเงินบริจาคในพรรคอย่างโปร่งใส ให้สมัชชาคุณธรรม เป็นผู้กำหนดธรรมจริยธรรมทุกปี กำกับไต่สวนจริยธรรม ส่งเรื่องให้ถอดถอน กำหนดให้ผู้สมัครระดับชาติ ท้องถิ่น เสียภาษีย้อนหลัง 3 ปี ให้ประชาชนตรวจสอบได้ ให้มีการเปิดเผยการใช้งบแผ่นดินของภาครัฐ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริต คุ้มครองผู้ชี้มูลเบาะแส ถ้าทำไม่สุจริตก็ต้องรับโทษ ให้ กกต.ทำหน้าที่ปราบทุจริตให้ดีขึ้น โดยให้ออกกฎเกณฑ์ ควบคุมชี้ขาดการเลือกตั้ง แต่ให้มีคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งดูแลการเลือกตั้งแทน ที่ผ่านมาหัวคะแนน คือ เจ้าหน้าที่รัฐถือกระเป๋าเงินไปแจกหัวคะแนน แต่ กกต.ไม่สามารถจับได้ เพราะเท่ากับตนเองจัดการเลือกตั้งไม่เป็นกลาง 17 ปีที่ผ่านมา จึงจับเฉพาะผู้สมัครที่ซื้อเสียง วันนี้จึงต้องการให้จับทั้งผู้สมัครที่ซื้อเสียง และเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่เป็นกลาง เป็นการระบบตรวจสอบถ่วงดุลกันเองในระบบจัดการเลือกตั้ง และคุมเลือกตั้ง
ส่วนป.ป.ช. จะให้มีอำนาจตรวจสอบเฉพาะเรื่องที่สำคัญจริงๆ คือ ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองและหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง และ กรม ไม่ต้องลงไปดูระดับผู้ตรวจ หรือผู้อำนวยการกอง เพื่อให้การทุจริตได้รับการปราบปรามครบถ้วนทุกช่องทาง มีการตั้งแผนกคดีวินัยการคลังและงบประมาณในศาลปกครอง ที่ผ่านมาคดีถอดถอนที่นำไปสู่คดีอาญา จะต้องมีใบเสร็จ ทำให้หลายคดีหลุดเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงต้องมีการช่องตรงกลางแก้ปัญหา นี้ เช่นการใช้เงินนี้ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณมหาศาล ที่ถอดถอน หรือดำเนินคดีอาญาไม่ได้ ทางป.ป.ช. หรือ สตง.เห็นว่าฝ่ายการเมืองระดับสูงทำการใช้อำนาจโดยเล็งเห็นว่า จะก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณ แล้วมีหลักฐานอันพึงเชื่อได้ว่า หรือเล็งเห็นได้ว่าการกระทำนั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเงินแผ่นดิน ก็สามารถฟ้องไปยัง แผนกคดีวินัยการคลังและงบประมาณเองได้ เชื่อว่าจะสามารถอัดช่องปัญหานี้ได้
** มี 2 สภา เพื่อความสมดุลทางการเมือง
"การเมืองจะใสสะอาดอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าการเมืองนั้นไม่สมดุล ก็จะส่งผลต่อการบริหารบ้านเมือง เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนี้ จึงต้องการให้มีความสมดุล ยกระดับให้ประชาชนเป็นใหญ่เท่ากับนักการเมือง ให้สมดุลระหว่างสภาบน สภาล่าง จึงจำเป็นต้องมีสองสภา หลายประเทศมีสภาเดียว แต่กรรมาธิการเห็นว่า จะกลายเป็นรถด่วนตกขบวนเร็ว หากไม่มีการเบรก ลองนึกดูถ้าวันนั้นออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้โดยไม่มีการเบรก อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง การมีสองสภา จึงเป็นการทอดเวลาให้มีการยั้งคิด ติดเบรก ไม่ให้พุ่งไปข้างหน้าจนเกิดปัญหา ดังนั้นสภาบน กับสภาล่าง ต้องหน้าตาไม่เหมือน กัน เมื่อสภาล่างมาจากพรรคการเมือง เสียงข้างมาก แล้วให้สภาบน มาจากการเลือกตั้งอีก ก็ไม่มีประโยชน์ จึงสร้างความสมดุล โดยให้สภาผู้แทนมาจากการเลือกตั้งโดยระบบผสม มีอำนาจตั้งรัฐบาล ควบคุมถอดถอนได้ ในทางการเมือง ส่วนวุฒิสภาเป็นพหุนิยมของพลเมืองหลากหลายอาชีพ เพื่อถ่วงดุลสภาผู้แทนฯ"
**ให้อำนาจรัฐบาลยุบสภาเพื่อถ่วงดุล
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญใหม่ สร้างสมดุลระหว่างวินัยพรรค กับความเป็นอิสระของส.ส. กำหนดห้ามผู้ที่ไม่ให้ส.ส. ไปมีมติให้ส.ส.ลงมติไม่ได้ หากส.ส.ลาออกจากพรรค หรือกลุ่มการเมือง จะต้องพ้นจากส.ส. เพื่อให้มีเกิดการขายตัว แต่หาก ส.ส.ไม่ลงมติตามมติพรรค แล้วถูกขับออกจากพรรคก็ไม่พ้นจากสมาชิกภาพ สร้างสมดุลแยกอำนาจบริหาร กับอำนาจนิติบัญญัติ ห้าม ส.ส.เป็นรัฐมนตรี แต่มีมาตรการห้าม ส.ส.ที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ทำลายเสถียรภาพรัฐบาล โดยกำหนดให้หากชนะโหวตไม่ไว้วางใจในสภา ต้องยุบสภา
" มีคนบอกว่า เราเมาหรือเปล่า ยืนยันว่า ไม่เมา เพราะในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่เคยประสบความสำเร็จ จึงต้องการจะบีบให้ฝ่ายค้าน ใช้มาตรการที่รุนแรง จริงจัง และได้ผลมากกว่า คือ กล่าวหาว่าทุจริตแล้ว ไปฟ้องศาลแผนกคดีวินัยการคลังและงบประมาณ และยังให้นายกฯ ขอความไว้วางใจจากสภาได้ จะเป็นการส่งสัญญาณถึง ส.ส.ว่า หากไม่ไว้วางใจต่อไปก็จะยุบสภา อีกทั้งยังให้นายกฯ แถลงว่าร่างกฎหมายทั้งฉบับ หรือบางมาตราเป็นการให้ความไว้วางใจรัฐบาล เช่น เสนอกฎหมายเรื่องทุจริตเข้ามา ก็ไปแก้จนเสือกลายเป็นหมูไม่มีเขี้ยว ก็ต้องให้รัฐบาลแถลงได้ว่า ร่างนี้เป็นความไว้วางใจรัฐบาล รอ 48 ชั่วโมง ถ้าไม่มีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ร่างนี้จะผ่านสภาไปยังวุฒิสภาได้เลย แต่ถ้ามีการยื่นญัตติเข้ามาในเวลากำหนด และมีการลงมติแล้วรัฐบาลชนะ ก็ผ่านกฎหมายไปวุฒิสภา แต่ถ้าแพ้ ก็ยุบสภาทันที เป็นการส่งสัญญาณ ส.ส.ว่า อย่าเบี้ยว อย่าเรียกร้อง หรือเอาเกณฑ์การออกกฎหมายมาต่อรอง แต่ถ้ากลัวว่าจะเป็นเผด็จการ เราก็ให้ใช้มาตรการนี้ได้เพียงหนเดียวในสมัยประชุมเดียว นอกจากนี้ ยังกำหนดให้พรรครัฐบาลเป็นประธานสภา แต่พรรคที่ได้คะแนนอันดับสอง เป็นรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง และประธานกรรมาธิการชุดสำคัญในสภาที่เป็นกรรมาธิการตรวจสอบ ต้องมาจากฝ่ายค้าน ทั้งหมดก็เพื่อสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ และสร้างการเมืองให้ใสสะอาด และสมดุล"
**มั่นใจการเมืองไทยพ้นวงจรอุบาทว์
ด้านนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมาธิการยกร่างฯ กล่าวชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะเรียกว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปรองดอง และปฏิรูป เราจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิม การเมืองไทยจะไม่มีแต่ระบบการเลือกตั้งส.ส. ที่มีแต่นักการเมืองกับพรรคการเมืองเท่านั้น หรือพลเมืองมีเวลาเพียง 4 นาที จากนั้นก็เป็นเพียงผู้ชม หรือผู้ประท้วงเท่านั้น การเมืองแบบผู้แทนยังมีอยู่ และเป็นหลักสำคัญ แต่ไม่ใช่เป็นหลักเดียว และจะต้องมีการนำไปสู่การร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายรวมทั้งกลุ่มการเมืองในการ เข้ามาแบกรับประเทศชาติ และความร่วมมือร่วมใจแบบปรองดองด้วย
ดังนั้นความคุ้นชินในการมีพรรคการเมืองกลุ่มเดียว หรือมีพรรคเล็กมาร่วมประกอบเป็นรัฐบาลอย่างเดียว ขณะที่พรรคการเมืองใหญ่ๆกลับมาเป็นฝ่ายค้าน ต่อไปนี้จะไม่กลับไปเป็นแบบเดิม แต่จะเป็นรัฐบาลผสม ที่ออกมาแบบโดยประชามติของประชาชน จึงได้มีเสียงวิจารณ์ต่างๆ เพราะเคยชินการเมืองแบบเดิมๆ ซึ่งกรรมาธิการยกร่างฯ จะไม่ให้กลับไปสู่การเมืองแบบเดิมอีก จึงได้เสนอนวัตกรรมการเมืองขึ้นมา
"เรากำลังเขียนรธน. ที่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยความตั้งใจว่า เราจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิม จะปฏิรูปประเทศอย่างแน่นอน และแจ่มชัด และรัฐธรรมนูญนี้นอกจากจะเป็นของประชาชน และประเทศชาติแล้ว ยังเป็นของ สปช. ด้วย เพราะสิ่งที่เราได้เสียเวลาคิด หรือพูดในเนื้อหาสาระ ยังอยู่ในรัฐธรรมนูญ 15 มาตรา และ สปช. 60 คน จะต้องมาอยู่ในสภาขับเคลื่อน"
** เชื่อปรองดองได้ ปฏิรูปสำเร็จ
นายเอนก กล่าวว่า เรื่องการปรองดองนั้น เป็นไปตามความคิดที่ว่า การปฏิรูปโดยปราศจากการปรองดอง ก็เหมือนตบมือข้างเดียว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปสำเร็จ โดยมีการเขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญให้มีคณะกรรมการอิสระ ส่งเสริมความปรองดองแห่งชาติจำนวน 15 คน ประกอบด้วยส่วนที่อยู่ในความขัดแย้ง และส่วนที่ไม่ได้อยู่ในความขัดแย้ง ทำหน้าที่เป็นคนกลางแก้ไขความขัดแย้ง รวมรวบข้อเท็จจริงวิเคราะห์หาสาเหตุและ เสนอแนวทางแก้ไขต่อวุฒิสภา และทำหน้าที่เยียวยา ฟื้นฟูจิตใจผู้ได้รับความเสียหาย รวมถึงเสนอให้มีพรฏ.อภัยโทษให้กับบุคคลที่ให้สำนึกผิด และความจริงที่เป็นประโยชน์กับคณะกรรมการฯ และให้การศึกษาเรียนรู้กับสาธารณะชนให้เห็นถึงผลของการแตกแยกการใช้ปัญหาด้วยความรุนแรง ไม่ได้ย้ำให้คนเปลี่ยนความคิดหรืออุดมการณ์ แต่ให้ต่อสู้ด้วยสันติวิธี ตามระบอบประชาธิปไตย