ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เรียกได้ว่าคงไม่มีช่วงเวลาใดที่ “วัดพระธรรมกาย”จะถูกท้าทายความยิ่งใหญ่อหังการได้เท่ากับช่วงเวลานี้
เพราะแม้แต่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้มีพระลิขิตเมื่อปี 2542 วินิจฉัยว่า “ธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิกและขาดจากความเป็นพระ อันเนื่องมาจากการคดโกงเอาสมบัติของวัดเป็นสมบัติของตนและบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน แต่วัดพระธรรามกายก็อาศัยอิทธิพลที่มีเหนือมหาเถรสมาคมหลบเลี่ยงพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชเอาตัวรอดและขยายเครือข่ายเติบโตครอบงำวงการพระพุทธศาสนามาจนทุกวันนี้
กระนั้นก็ตาม คงต้องบอกว่าด้วย“ธรรมจัดสรร”ทำให้ความอื้อฉาวของวัดพระธรรมกายปรากฏออกสู่สายตาคนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นวัฏปฏิบัติของ“ธัมมชโย”ที่ทำตัวไฮโซโอเวอร์ผิดแผกจากพระสงฆ์ทั่วไป การจัดอีเวนต์ธุดงค์บนพรมแดงโรยกลีบกุหลาบ การตักบาตรที่เน้นให้มีพระจำนวนมากๆ จนทำให้เกิดปัญหาการจราจร การสร้างอาคารรูปร่างแปลกประหลาดใหญ่โตมโหฬาร การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดล่อลวงให้คนบริจาคเงินจำนวนมากๆ เป็นต้น
และที่อาจจะเป็นจุดตายของวัดพระธรรมกายก็คือ การเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยเฉพาะกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 16,000 ล้านบาท เมื่อปรากฏหลักฐานว่านายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้มอบเช็คที่ได้มาจากการคดโกงให้แก่วัดพระธรรมกายเป็นจำนวนเงินประมาณ 900 ล้านบาท โดยมีชื่อของ“ธัมมชโย”และพระรูปอื่นในวัดธรรมกายเป็นผู้รับเช็คด้วยตนเอง
คดีอื้อฉาวกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ทำให้คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ในสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน เข้ามาตรวจสอบวัดพระธรรมกาย และมีการรื้อฟื้นกรณีพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง และมีมติส่งเรื่องให้มหาเถรสมาคมวินิจฉัยเรื่องนี้ใหม่อีกรอบ
แต่ด้วยอิทธิพลของวัดธรรมกายที่ยังครอบงำมหาเถรสมาคมอยู่ หลังการประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 20 ก.พ.พระพรหมเมธี กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคมได้ออกมาแถลงว่า พระธัมมชโยยังไม่ขาดปาราชิกขาดจากความเป็นพระ เพราะได้มีการคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้วัดแล้ว ไม่ถือเป็นการขัดต่อพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช
ในวันต่อมา นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม กลับระบุว่า ที่ประชุมเมื่อวันที่ 20 ก.พ.ไม่มีการลงมติใดๆ เกี่ยวกับธัมมชโย โดยยังไม่ได้พิจารณาด้วยว่าต้องปาราชิกหรือไม่แต่อย่างใด
สุดท้าย ในการประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 27 ก.พ.พระพรหมเมธีก็ออกมาแถลงย้ำว่าที่ประชุมเมื่อวันที่ 20 ก.พ.ไม่ได้มีมติใดๆ เกี่ยวกับธัมมชโย พร้อมกับอ้างว่า เจ้าคณะผู้ปกครองได้มีคำวินิจฉัยกรณีธัมมชโยถึงที่สุดแล้ว หากมหาเถรสมาคมรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่ จะถือว่าเป็นการผิดพระธรรมวินัย
ก็เป็นอันว่า วัดธรรมกายสามารถคุมมหาเถรสมาคมได้อยู่หมัด
แต่ในยุคที่บ้านเมืองกำลังต้องการการปฏิรูปครั้งใหญ่ กลไกที่จะจัดการกับวัดธรรมกายไม่ได้มีแค่มหาเถรสมาคมเท่านั้น คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ใน สปช.ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานได้เกาะติดกรณีธรรมกายชนิดกัดไม่ปล่อย โดยมีมติไม่เห็นด้วยกับมหาเถรสมาคม และได้เชิญผู้แทนจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าให้ข้อมูล พร้อมกับมีความเห็นว่า ปปง.ควรยึดบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดของธัมมชโย เพราะเป็นเงินที่ได้จากการฉ้อโกง รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างและที่ดินของวัด 196 ไร่ ที่เป็นเขตธรณีสงฆ์ และทราบว่าวัดพระธรรมกายมีพื้นที่อีก 1,000 กว่าไร่ อยู่ในนามมูลนิธิธรรมกาย และมูลนิธิอื่นๆ ที่ไม่ถือว่าเป็นเขตธรณีสงฆ์ และแจ้งต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ให้เข้ามาตรวจสอบด้วย
อีกด้านหนึ่ง มีการเคลื่อนไหวของพระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม ซึ่งใช้กลยุทธ์เชิงรุกหลากหลายช่องทาง ทั้งการยื่นหนังสือต่อนายไพบูลย์ นิติตะวัน ขอให้ตรวจสอบทรัพย์สิน เส้นทางเงินของกรรมการมหาเถรสมาคม ทุกรูป รวมถึงเส้นทางเงินและทรัพย์สินของวัดพระธรรมกาย พระเทพญาณมหามุนี หรือ ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ทรัพย์สินของเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกวัดอย่างละเอียด และทรัพย์สินของวัดพระธรรมกาย รวมถึงขอให้ตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณ การใช้งบประมาณของมหาเถรสมาคม มหาวิทยาลัยสงฆ์ ทั้งของธรรมยุติและมหานิกายอย่างละเอียด ตรวจสอบทรัพย์สินของคนใกล้ชิดเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และเจ้าคณะทุกระดับชั้นอย่างละเอียด และขอให้รื้อฟื้นคดีของวัดพระธรรมกายขึ้นมาพิจารณาใหม่ รวมถึงขอให้จัดตั้งองค์คณะพิทักษ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
นอกจากนั้น หลวงปู่พุทธะอิสระยังได้แจ้งความจับกุมพระพรหมโมลี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระพรหมเมธี กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม และนายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ข้อหาผิด พ.ร.บ.คณะสงฆ์,ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีที่อ้างมติมหาเถรสมาคมเพื่อปกป้องธัมมชโย รวมทั้งแจ้งความดำเนินคดีธัมมชโย ข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์และฉ้อโกงกรณียักยอกเงินวัด 1.2 พันล้าน
เท่านั้นยังไม่พอ หลวงปู่พุทธะอิสระยังได้ยื่อหนังสือเรียกร้องดีเอสไอสอบเส้นทางเงินของพระมหาเจดีย์มหารัชมงคล เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และกรรมการมหาเถรสมาคม รวมทั้งการเบิกจ่ายเงินประจำตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช และเงินประจำตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ว่า ใช้จ่ายถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และขอให้รับคดีที่มหาเถรสมาคมขอพระราชทานสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ระดับพระราชาคณะชั้นเทพให้แก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ ธัมมชโย บุคคลที่ขาดจากการเป็นพระ เป็นคดีพิเศษ พร้อมทั้งเรียกร้องให้อัยการสูงสุดรื้อฟื้นคดีธัมมชโย ยักยอกเงินวัด 1.2 พันล้านที่เคยถูกถอนฟ้องไปเมื่อปี 2549 ขึ้นมาพิจารณาใหม่
หลวงปู่พุทธะอิสระประกาศเจตนารมณ์แน่วแน่ว่าจะต้องสึกธัมมชโยให้ได้ เพื่อปกป้องพระธรรมวินัย และหากสึกธัมมชโยไม่ได้ หลวงปู่ฯ จะเป็นฝ่ายสึกเอง
ผลจากการเคลื่อนไหวของหลวงปู่พุทธะอิสระ มีรายงานว่า นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุดได้รับหนังสือร้องเรียนให้รื้อฟื้นคดีธัมมชโยโกงเงินวัดแล้ว เพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
ขณะเดียวกัน ดีเอสไอได้ออกหมายเรียกธัมมชโยเข้าให้ปากคำกรณีเป็นผู้รับเช็คที่ได้จากการยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนียนแล้ว และนี่อาจจะเป็นหมัดเด็ดที่จะทำให้ธัมมชโยสิ้นฤทธิ์ นั่นเพราะมีชื่อเป็นผู้รับเช็คถึง 13 ฉบับ และบางฉบับมีการสลักหลังโอนเข้าบัญชีชื่อผู้อื่นแทน
กระนั้นก็ตาม ด้วยเครือข่ายผลประโยชน์ที่มหาศาล มีหรือวัดธรรมกายจะยอมแพ้ง่ายๆ จึงมีการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านนายไพบูลยฺ นิติตะวัน และหลวงปู่พุทธะอิสระอย่างต่อเนื่อง โดยมี พระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่แสดงตัวเป็นพระเสื้อแดงชัดเจน ออกมาเป็นแกนนำเคลื่อนไหว ร่วมกับนายเสถียร วิพรมหา รักษาการนายกสมาคม นักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) ประสานกับเครือข่ายวัดธรรมกายในต่างประเทศ โดยประกาศขีดเส้นตายให้ สปช.ยุบคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ที่มีนายไพบูลย์เป็นประธาน ภายในวันที่ 12 มี.ค.นี้ รวมทั้งให้รัฐบาลปรามหลวงปู่พุทธะอิสระ พร้อมกับขู่ว่าจะยกระดับการเคลื่อนไหวทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาส หากข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบสนอง
กรณีการยุบคณะกรรมการฯ นั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ว่า นายกฯ หรือ คสช.ไม่มีสิทธธิ์จะยุบ ต้องปล่อยให้ สปช.ดำเนินการไปอย่างอิสระ รัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงโดยการยุบกรรมการ หรือคณะกรรมาธิการใดๆ ที่ สปช.ตั้งขึ้น
สัปดาห์หน้าตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.เป็นต้นไป จึงน่าจับตา ว่าเครือข่ายวัดธรรมกายจะเคลื่อนไหวอย่างไร ในสถานการณ์ที่กำลังถูกรุกอย่างหนัก