“หลวงปู่พุทธะอิสระ” ยื่นหนังสือ สปช.สอบเส้นทางการเงินกรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูป รวมทั้งวัดพระธรรมกาย เจ้าอาวาส เจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกวัด และคนใกล้ชิดอย่างละเอียด พร้อมการเบิกจ่ายงบทุกนิกาย รวมทั้งรื้อฟื้นคดีวัดพิจารณาใหม่ แล้วจัดตั้งองค์คณะพิทักษ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญ ชี้อ่อนแอใช้กฎหมายไม่สอดคล้องพระธรรมวินัย ยันสมควรแล้วที่ศาสนจักรต้องปฏิรูป แนะ ปปง.สอบเส้นทางเงิน 2 มหาวิทยาลัยสงฆ์ แฉเหมาเครื่องบินบินต่างชาติ ก่อนคุย “เทียนฉาย” ลั่นขอ คสช.แล้วไม่ขัดอัยการศึก ย้ำ มส.มีปัญหา ขนาด “พายัพ” บวช 10 วันยังเป็นพระครูปลัดได้
วันนี้ (23 ก.พ.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.00 น.พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม เข้ายื่นหนังสือถึงนายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบทรัพย์สิน เส้นทางเงินของกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.)ทุกรูป รวมถึงเส้นทางเงินและทรัพย์สินของวัดพระธรรมกาย พระเทพญาณมหามุนี หรือหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ทรัพย์สินของเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกวัดอย่างละเอียด และทรัพย์สินของวัดพระธรรมกาย รวมถึงขอให้ตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณ การใช้งบประมาณของมหาเถรสมาคม มหาวิทยาลัยสงฆ์ ทั้งของธรรมยุติและมหานิกายอย่างละเอียด ตรวจสอบทรัพย์สินของคนใกล้ชิดเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และเจ้าคณะทุกระดับชั้นอย่างละเอียด และขอให้รื้อฟื้นคดีของวัดพระธรรมกายขึ้นมาพิจารณาใหม่ รวมถึงขอให้จัดตั้งองค์คณะพิทักษ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า เราเห็นความอ่อนแอในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่สอดคล้องตามหลักธรรมวินัย เพราะมติอัปยศที่แสดงออกมาจากมหาเถรสมาคมทำให้สังคมคลางแคลงใจ มหาเถรสมาคมแต่ละรูปพรรษามากแล้ว โดยเฉพาะวัดปากน้ำ ภาษีเจริญอายุจะ 90 แล้ว การทำงานอาจจะไม่ทันเกมของฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายผู้ละเมิดพระธรรมวินัย ซึ่งเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา เดินทางไปวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เห็นพระรูปหล่อด้วยทองคำน้ำหนัก 1 ตัน เป็นรูปหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ที่วัดพระธรรมกายเป็นผู้มอบให้สำเด็จวัดปากน้ำ เนื่องในงานวันเกิด จึงอยากให้คณะกรรมการฯตรวจสอบ ทรัพย์สินนี้ว่าได้มาก่อนเกิดคดีหรือหลังเกิดคดี ซึ่งหากได้มาหลังเกิดคดีเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการนำมาซึ่งการวินิจฉัยว่าหลวงพ่อธัมมชโยไม่ผิดหรือไม่
“ขอให้คณะกรรมการปฏิรูปฯดำเนินการพิจารณา เพราะสมควรแล้วที่ศาสนจักรจะต้องปฏิรูป นอกจากนี้ขอให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟ้องเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการใช้งบประมาณของมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่งด้วย คือ มหามกุฎ กับมหาจุฬา เพราะได้ข่าวว่ามีการเบิกใช้งบประมาณหลวงเหมาเครื่องบินไปดูงานที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา หรือปารีส ประเทศฝรั่งเศล โดยจากนี้จะเดินทางไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล และพูดคุยกับม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเดินทางไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้รับคดีของวัดพระธรรมการเป็นคดีพิเศษ” หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าว
ด้านนายไพบูลย์ กล่าวว่า ในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการฯเรื่องนี้เป็นประโยชน์ในการนำไปศึกษาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดแนวทางต่อไป เราพร้อมน้อมรับเพื่อนำไปสู่ที่ประชุม
จากนั้นเมื่อเวลา 10.00น.หลวงปู่พุทธะอิสระเข้าหารือกับนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสปช. ที่ห้องทำงานโดยใช้เวลาหารือประมาณ 45 นาที ต่อมาหลวงปู่พุทธะอิสระจากนั้นได้แถลงว่า เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะมีการปฏิรูปพุทธศาสนา โดยเอากรณีวัดธรรมกายเป็นกรณีศึกษา เพื่อจะหาบุคลากรและคณะบุคคลเข้าไปช่วยมหาเถรสมาคม (มส.)ทำงานในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านกิจการศาสนาและการเผยแผ่ การบริหารการปกครอง คณะทำงานจะเข้าไปพูดคุยกับทั้งธรรมยุต มหานิกาย และมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งว่ามีมุมมองอย่างไร และหาวิธีแก้ไขทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งพาอาศัยและมุ่งหวังได้อันบริสุทธิ์ของประชาชนที่นับถือทั้งชาติและทั้งโลก และสิ่งที่กระทำต่อไปเพื่อทำให้ศาสนจักรแข็งแรงมีอะไรบ้าง จากนั้นจะเดินทางไปยื่นหนังสือให้กับนายกรัฐมนตรี โดยมีม.ล.ปนัดดา ดิษกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มารับหนังสือแทน รวมถึงยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษและรื้อฟื้นคดีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางศาสนาเช่นกรณีของธรรมกายเป็นเรื่องของพระธรรมวินัยและความมั่นคงทางศาสนาและตรงนี้คือความคืบหน้าที่จะติดตามทวงถามการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ศาสนจักร และกิจการพระพุทธศาสนา รวมทั้งคดีของธรรมกาย
หลวงปูพุทธอิสระกล่าวต่อว่า วันนี้ไม่ได้มาพูดกับนายเทียนฉายเรื่องการตรวจยึดทรัพย์ หรือการรื้อฟื้นคดี แต่มาพูดถึงเรื่องกิจการพระพุทธศาสนาและการปฏิรูปพระพุทธศาสนา และสังฆมณฑลเพียงอย่างเดียว ซึ่งนายเทียนฉายก็รับฟังและเห็นด้วยในหลายๆประเด็น มีความเห็นกันสอดคล้องกันว่าคงจะต้องมีองค์คณะบุคคลเข้าไปช่วยมหาเถรสมาคมทำงานในหลายด้าน เพื่อให้ศาสนาจักรรุ่งเรืองเจริญไปพร้อมๆอาณาจักร ไม่ใช่ล่าช้า เฉื่อยชาเหมือนในปัจจุบัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหน้าที่ของมส.ตอนนี้ไม่ได้เป็นไปตามบทบาทของการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาใช่หรือไม่ หลวงปู่ตอบว่า ฉันมองว่าจากคดีธรรมกายเป็นกรณีคดีศึกษาแล้วมองย้อนหลังไปไม่ว่าคดีพุทโธภาวนา คดียันตระ หรือล่าสุดคดีนายคำ หรือเณรคำ ทั้งหมดกว่าจะถึงมือมส. ก็รู้ว่าพวกสื่อเป็นคนริเริ่มขึ้นมาไม่ใช่ผู้ปกครองที่เข้าไปริเริ่ม ซึ่งมันผิดวิสัยของผู้ปกครองที่เข้าถึงตัวปัญหาได้ยากและลำบาก รวมทั้งบ่าช้า แก้ปัญหาไม่ตรงจุด คิดว่าควรที่จะต้องช่วยท่านทำงานหรือไม่ เมื่อมองสิ่งที่เป็นอดีตที่ผ่านมาจะพบว่ามีความล่าช้าเยิ่นเย้อ ยึดยาด ผิดพลาดและล่าช้าแก้ปัญหาไม่ตรงจุดอย่างที่เห็นๆ ไม่เห็นว่ามีคดีไหนๆที่เกิดขึ้น คดีดังๆในพระพุทธศาสนา จะเห็นว่ามส.ไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปมีบทบาทในคดีนั้นๆเลย แทบจะไม่เลย แล้วจะบอกว่าเป็นเรื่องของเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น แม้ล่าสุดที่ได้ไปคุยกับเลขามส.มา ยังยืนยันว่าวิธีการการตัดสินปัญหาคดีธรรมกายไม่ได้เรียกธัมมชโยมาพูด หรือเรียกมาสอบ แต่ฟังคำรายงานของเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น เมื่อ15 ปีก่อน เอามาเป็นข้อมูลในการลงมติทำให้เห็นว่ากระบวนการการปกครองของมส.น่าจะไม่ตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแล้ว
“ต้องเห็นใจว่ากรรมการที่เป็นพระในมส.แต่ละรูปมีพรรษามาก อย่างสมเด็จวัดปากน้ำก็อายุ90 ปีแล้ว พูดภาษาชาวบ้านก็จะพูดว่าคนแก่อายุ90นี้ทำอะไรได้บ้าง เดินได้ก็ดีแล้วคุยได้ไม่ให้ใครมาพยุงมาจับไม่ต้องนั่งรถเข็นก็เป็นวาสนาแล้ว ฉะนั้นเราคิดว่าถ้าศาสนานี้เป็นศาสนาประจำชาติ ศาสนาพุทธคนทั่วโลกนับถือ แล้วยังมีองค์กรปกครองบริหารค่อนข้างที่จะไม่ค่อยเป็นปกตินัก ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ยังจะต้องใช้ท่านอยู่อีกหรือ และถ้าไม่ท่านจะสืบทอดตำแหน่งให้กับลูกหลานและคนใกล้ชิดตลอดเวลา ศาสนานี้จะมุ่งหวังอะไรได้ อาณาจักรเดินหน้าไปร้อยก้าว แต่ศาสนจักรพึ่งจะเตาะแตะต้วมเตี้ยม มันจะกลายเป็นถ่วงกันหรือเปล่า แล้วอาณาจักรที่เดินไปโดยไม่มีศาสนจักรเคียงคู่ อาณาจักรที่เดินไปจะเดินไปแต่ซากหรือเปล่า เพราะขาดจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์หรือไม่ มันเป้นความสำคัญในการปฏิรูปบ้านเมือง ถ้าศาสนจักรยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แบบที่จะก้าวให้ทันกับอาณาจักรนี้ ฉันไม่เชื่อว่าการปฏิรูปครั้งนี้จะสำเร็จ และกลัวว่าจะเสียของและเสียผ้าเหลืองในการออกมาสู้ในเวที การมาสู้ครั้งนี้ก็หวังใจว่าอาณาจักรกับศาสนจักรต้องเดินเคียงคู่กันให้ได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างเดินแล้วก็เตะถ่วงกันและกัน มันต้องส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกันจึงจะถูกต้อง”
หลวงปู่พุทธอิสระกล่าวอีกว่า ทั้งนี้นายเทียนฉายไม่อยากให้เรื่องนี้มาเป็นประเด็นใหญ่ในการที่จะนำมาปฏิรูปเพราะจะกลายเป็นว่าสปช.เลือกปฏิบัติ หรือ นำมาซึ่งการปฏิบัติกับวัดใดวัดหนึ่ง กฎหมายที่เขียนมาก็จะไม่เป็นกลาง ฉะนั้นเราเข้าใจตรงกันและฉันก็จะไม่นำเรื่องนี้ขึ้นไปพูดกับท่าน แต่เมื่อตอนที่ไปพบกับนายไพบูลย์ เพราะว่าทำเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษา เราก็ต้องพูดเรื่องนี้เพื่อให้ได้รู้ถึงปัญหาในมุมมองของเราในขณะที่เป็นพระว่ามุมมองของพระเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ได้ยินข่าวว่ามีกลุ่มบุคคลที่ไม่ปรารถนาดีพยายามจะทำให้พระลิขิตหรือพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเป็นของปลอม ซึ่งอยากยืนยันกันต่อหน้าสื่อว่าไม่จริง เพราะสมัยที่สมเด็จพระสังฆราชยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เสด็จไปที่วัดอ้อน้อยบ่อยครั้ง และทรงปรารภเรื่องกรณีปัญหาธรรมกายอยู่ตลอด ฉะนั้นจะมาอ้างว่าลิขิตนี้เป็นของปลอมมันไม่ใช่และไม่จริง และที่บอกว่าให้ตรวจสอบทรัพย์สินของมหามกุฎ หรือมหาจุฬา ซึ่งเป็นสถาบันวิทยาลัยสงฆ์สองแห่งก็เป็นหนึ่งในข้อปรารภที่สมเด็จพระสังฆราชเคยปรารภกับฉันว่ามีปัญหามาก การใช้จ่ายงบประมาณของสองมหาวิทยาลัยมีปัญหามาก
เมื่อถามว่าการที่ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปจะทำให้สถาบันสงฆ์เกิดความแตกแยกหรือไม่ หลวงปู่พุทธอิสระกล่าวว่า เราไม่คิดว่าจะทำให้คณะสงฆ์แตกแยกอย่างที่บางกลุ่มพยายามที่จะนำขึ้นมาพูด เพราะเรากำลังคุยกันถึงเรื่องปัญหาของคณะสงฆ์ เราไม่ได้ไปทำให้คณะสงฆ์แบ่งกันเป็นพวกเป็นฝ่าย แต่เรากำลังจะพูดถึงคนที่ละเมิดต่อพระธรรมวินัย และไม่ยอมรับความผิด แล้วในขณะเดียวกันการปฏิรูปคณะสงฆ์ในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ปฏิรูปเพื่อที่จะไปคว่ำหรือไปล้ม ใคร หรือทำร้ายใคร แต่ทำให้พระธรรมวินัยกลายเป็นที่ยอมรับและศักดิ์สิทธิ์ในสังฆมณฑลแนะในสายตาประชาชน ทำให้กิจการคณะสงฆ์สอดคล้องกับหลักคิดของพระธรรมวินัย
“พระพุทธเจ้าออกจากมหาสมบัติมาอยู่ในความไม่มีสมบัติ แต่ยุคปัจจุบันออกจากบ้านไม่มีสมบัติ กลับมาแสวงหามหาสมบัติ นี่มันก็ผิดหลักคิดของพระธรรมวินัยอย่างเห็นๆ ดังนั้นการปฏิรูปครั้งนี้ก็ต้องการปฏิรูปเพื่อให้กลับไปหาหลักคิดเดิม ของพระพุทธเจ้าและพระธรรมวินัยว่า เรามาบวชด้วยความไม่เกี่ยวข้องกับเรือน ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติใดๆ ไม่ได้มาบวชเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ แต่มาบวชเพื่อลดละ วาง ว่าง ฉะนั้นหลักคิดการปฏิรูปไม่ได้ไปทำร้ายใคร แต่ถ้าจะทำร้ายก็พวกมักมาก อยากได้ทุกอย่าง เขาคงจะอึดอัดพอสมควร และถ้าใครจะมาปฏิเสธการปฏิรูปที่จะนำหลักคิดเดิมของพระพุทธเจ้ามาใช้ก็แสดงว่าเขาไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า”
เมื่อถามว่าในช่วงปี 39 ทีมีการร่างรัฐธรรมนูญพ.ศ. 40 ก็มีการออกมาเคลื่อนไหวและขัดแย้งในคณะสงฆ์จนเกิดความวุ่นวาย หลวงปู่พุทธอิสระกล่าวว่า ความวุ่นวายครั้งนั้นเกิดจากการเรียกร้องสถานภาพและการยอมรับ ก็ไม่ได้เห็นด้วยเพราะถือว่าการยอมรับของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระสงฆ์ก็ต่อเมื่อพระสงฆ์ต้องมีปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และจะเกิดการยอมรับโดยปริยาย ไม่ใช่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ อย่างที่เป็นอยู่หรือเขาเรียกร้อง แต่ครั้งนี้เราไม่ได้ไปเรียกร้องสถานภาพ แต่เราต้องการให้กลับไปสู่หลักคิดเดิม รากเหง้าเดิมของพระพุทธศาสนาว่า รากเหง้ามาจากมหาสมบัติและกลับมาเป็นผู้ไม่มีสมบัติ ไม่ใช่ไม่มีสมบัติแล้วมาแสวงหากันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ตรงกันกับประธานสปช.
ถามว่ามีการวิจารณ์ว่าการออกมาเคลื่อนไหวเป็นการขัดต่อกฎอัยการศึกหลวงปู่กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการขัดต่อกฎอัยการศึกแต่อย่างใด เพราะได้มีการขออนุญาตก่อน เพราะก่อนจะทำอะไรทุกครั้งเรารู้ดีว่าอะไรถูกอะไรควรทำ ไม่ควรทำ อะไรขัดต่อกฎอัยการศึกหรือไม่ เหมือนตอนที่ทำงานบนเวทีก็มีการทำหนังสือขออนุญาตจะมาว่าว่าขัดกฎหมายได้อย่างไร
“ขณะเดียวกันที่บอกว่าขัดมติมส. แต่มติมส.ในกฎหมายบอกไว้ชัดในมาตรา 3 ว่าต้องไม่ขัดต่อหลักธรรมและวินัย คนเป็นปาราชิกขโมยของเขา ฉันขอโจทก์ต่อหน้าเลขามส.วันนั้นว่า การที่นายธรรมชัยออกไปบอกว่าหรือเทศน์สอนชาวบ้านว่า ตั้งสมาธิไปคุยกับสตีป จ๊อบส์ บนสวรรค์ เราโจทก์ว่าเป็นอาบัติปาราชิกอวดอุตริมนุษยธรรม ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเสียหายกับการที่เราพยายามจะพูดความจริงและทำให้คนยอมรับว่านี่คือสิ่งที่มีอยู่ในหลักคิดพระธรรมวินัยมีอยู่จริง แต่มตินั้นขัดต่อความเป็นจริง แต่เลขามส.บอกว่าการที่มส.วินิจฉัยว่าธัมมชโยไม่ผิดก็เพราะว่าไม่มีเจตนาในการยักยอก ฉันก็แย้งว่าเงินเป็นพันล้านเป็นเงินสดและที่ดินต่างกรรม ต่างวาระ ไม่ใช่ครั้งเดียวจะอ้างว่าไม่มีเจตนาทุกวาระได้อย่างไร เขาก็ตอบไม่ได้และบอกว่าเรื่องมันยาวและนานมาแล้วตั้ง15 ปี จะมาถือสาหาความอะไรกัน”
ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์ หลวงปู่กล่าวว่าอย่าไปสนใจเขาเลย ให้เขารวยกับอ่างเขาต่อไปเถอะ ไปยุ่งอะไรกับแมงดา
เมื่อถามต่อว่าหากธรรมกายตั้งเป็นนิกายใหม่สามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ หลงวงปู่กล่าวว่า ไม่คิดว่าจะเป็นนิกายใหม่หรือไม่ แต่รู้ว่าเขาคิดอยู่ และเขาก็พยายามทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามจัดตั้งเป็นศาสดาของโลก พยายามจะเผยแพร่ไปทุกประเทศ เพื่อเป็นศาสนาใหม่
ต่อข้อถามว่า พ.ร.บ.สงฆ์ปี 39 ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ใช่หรือไม่ หลวงปู่กล่าวว่ามันใช้ไม่ได้เพราะที่ผ่านมามันไม่ได้รับการใช้อย่างชัดเจน เท่าเทียมทั่วถึง เราต้องยอมรับว่าในมส.นั้นซื้อได้ เพราะอย่างกรณีน้องชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาบวชเป็นพระได้10วันได้เป็นพระครูปลัดของสมเด็จได้เลย เพราะจ่ายเงินกันถึง 10 ล้าน
เมื่อถามว่าหากเทียบกรณีธรรมกายกับพระยันตระ เรื่องการอวดอุตริมันคล้ายกันหรือไม่ หลวงปู่กล่าวว่า กรณีพระยันตระมีผู้ร้อง ผู้เสียหายเป็นผู้โจทก์ แต่กรณีธรรมกายไม่มีผู้โจทก์เรื่องอวดอุตริ ฉันจึงได้บอกว่าขอเป็นผู้โจทก์ต่อหน้าสงฆ์ เขาก็อ้างว่าไปทำหลักฐานมาและยื่นตามขั้นตอนโดยยื่นผ่านเจ้าอาวาส ผ่านตำบล ผ่านอำเภอ ผ่านจังหวัด ส่งไปที่ภาค เจ้าคณะหน จึงจะมาถึงมส. คนส่งตายพอดีกว่าจะร้องเรียนได้ เหมือนกับเป็นการให้ไปเริ่มต้นนับหนึ่งมาใหม่ แต่ก็ได้บอกไปว่าพระธรรมวินัยไม่ได้บอกให้ทำแบบนี้เพียงแต่บอกว่าหากภิกษุเห็นภิกษุอื่นต้องอาบัติปาราชิก ก็จะมีโจทก์ขึ้นท่ามกลางสงฆ์ สงฆ์นั้นนำขึ้นพิจารณาและวินิจฉัยโทษ แต่เขาก็ปฏิเสธและบอกว่าที่ตัดสินความธรรมกายไม่ผิดเพราะคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ เป็นเรื่องหนึ่งที่นำมาเป็นกรณีในการวิเคราะห์ว่าธรรมกายไม่ผิด เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี ซึ่งพระวินัยไม่ได้บอกแบบนี้ เพราะไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปยุ่งเกี่ยวกับกฎหมายบ้านเมือง
เมื่อถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวพระสงฆ์หรือมส.เองไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง หลวงปู่กล่าวว่าทั้งสองส่วน ตัวสงฆ์เองก็ต้องยอมรับว่าพอหลักคิดเมื่อคิดว่าต้องแสวงหาทรัพย์ ลาภ ยศ ก็เลยเป็นเรื่องที่บิดเบี้ยว ส่วนผู้บังตับใช้กฎหมายอย่างมส.ก็ยังจมปลักอยู่ในการแสวงหาและเหมือนนั่งทับ เหมือนที่เราเอากางเกงในเปื้อนขี้ไปถวาย เพื่อจะสอนให้เห็นว่าความเสแสร้งแกล้งทำให้ดีดี แต่จริงแล้วข้างในมีขี้ นั่งทับขี้กันอยู่ มันไม่ได้เป็นเรื่องดีของพระธรรมวินัยเลย ไม่ได้ทำให้พระธรรมวินัยเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นได้เลย เพราะความเสแสร้งอย่างนี้มันจึงทำให้ธรรมกายหลอกลวง ต้องควักเงินจากกระเป๋าชาวบ้านเป็นหมื่นๆล้าน และถ้ายังยึดถือสิ่งนี้เอาเป็นสรณะ และเอาเป็นที่พึ่ง สุดท้ายก็จะทำให้ศาสนาล่มสลาย เมื่อชาวบ้านไม่ศรัทธาแล้วชาวบ้านจะอยู่กันได้อย่างไร
“กรณีธรรมกายไม่ได้เกิดขึ้นเป็นรายเดียว ในวงการสงฆ์ อย่างทีเสนอให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของทุกวันและของมส. แม้แต่วัดอ้อน้อยด้วย แม้กฎหมายจะไม่เปิดช่องให้มีการตรวจสอบก็ไม่เป็นไร แต่เวลานี้ก็กำลังเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปแต่ที่ตรวจสอบได้แน่ๆคือเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างเจ้าหน้าที่ในมส. รวมถึงเจ้าอาวาสทุกวัด เจ้าคณะปกครองทุกระดับชั้น รวมถึงมหาวิทยาลัยสงฆ์ของรัฐล้วนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สตง. ปปง. ก็พร้อม”
เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องร้อง หลวงปู่กล่าวว่าตอนนี้กำลังร่างคำร้องฟ้องอยู่ และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเรื่องอวดอุตริ เรื่องลักทรัพย์ และเสพเมถุน ถ้าใครมีหลักฐานที่เทศน์ว่าเจ้ามีสององค์นั่งสมาธิไปเจอสตีฟ จ๊อบส์ ไปเจอเทวดา ไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าในเมืองนิพพานช่วยส่งมาให้ด้วย เพราะนี่คือหลักฐานที่เอาผิดได้ตามพระธรรมวินัย อย่างไรก็ตามฉันไม่กังวลเกี่ยวกับบรรดากลุ่มก้อนที่จะมาประท้วงฉันหรือ สปช. ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากลุ่มนี้ก็รับเงินจากธรรมกาย อุดหนุนอยู่และ ถ้าเป้นพระก็เปลี่ยนสีจีวรเป็นสีแดง ถ้าเป็นฆราวาสก็เป็นพวกใส่เสื้อสีแดง ธรรมกายนี้ถ้าคุณรู้ถึงเรื่องความมั่นคงก็จะรู้ว่าเป็นขุมพลังทั้งเงิน กำลังคน ของกลุ่มก้อนการเมืองฝ่ายไหนไม่รู้ไปคิดเอาเอง