xs
xsm
sm
md
lg

สปช.ยัน “ธัมมชโย” ต้องปาราชิกซ้ำมติมส.ขัดพระลิขิต“วัดปากน้ำ”โร่ปัดล๊อบบี้“พุทธะอิสระ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“พุทธะอิสระ” เดินสายสภาฯ-ทำเนียบ-ดีเอสไอ จี้สอบทรัพย์สิน "ธัมมชโย" เส้นทางเงิน “มส.-ธรรมกาย” พร้อมถกแนวทางปฏิรูปศาสนากับประธาน สปช. ซัด “ชูวิทย์” แค่พวกแมงดา ด้าน “ไพบูลย์” ชี้มติ มส.ขัด “พระลิขิต-พระธรรมวินัย-กม.” ระบุต้องปาราชิกตั้งแต่ปี2542 จี้ ปปง.ตรวจสอบที่ดินกว่าพันไร่ในนามมูลนิธิอื่น ปูด “ธัมมชโย” ต้องปาราชิกซ้ำ เหตุรับเงินฉ้อโกงสหกรณ์ยูเนี่ยน บี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการเด็ดขาด เผยสัปดาห์หน้าเรียก “ดีเอสไอ” ให้ข้อมูล คาดส่งข้อสรุปให้ รมว.ยุติธรรมภายในมี.ค.นี้ “ไก่อู” เบรกขัดแย้งปมศาสนา หวั่นบานปลาย อ้างบ้านเมืองกำลังต้องการความปรองดอง “วัดปากน้ำ” โร่ปัดโทรขอหลวงปู่ฯหยุดเคลื่อนไหวแลกตำแหน่ง มจร.แจงเหตุใช้เงินเยอะ

วานนี้ (23 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.00 น. พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้เดินทางไปยังรัฐสภา เพื่อเข้าหารือกับ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ถึงแนวทางการปฏิรูปศาสนา โดยใช้เวลาหารือประมาณ 45 นาที นอกจากนี้ยังได้ยื่นหนังสือต่อ นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิก สปช. ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. เพื่อขอให้ตรวจสอบทรัพย์สิน เส้นทางเงินของกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ทุกรูป รวมถึงเส้นทางเงินและทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายด้วย

จากนั้น หลวงปู่พุทธะอิสระ แถลงกับสื่อมวลชนว่า ในการหารือหับประธาน สปช.เห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะมีการปฏิรูปพุทธศาสนา โดยนำกรณีวัดธรรมกายเป็นกรณีศึกษา เพื่อจะหาบุคลากร และคณะบุคคลเข้าไปช่วย มส.ทำงาน โดยเฉพาะด้านกิจการศาสนา การเผยแผ่ และการบริหารการปกครอง อย่างไรก็ตามนายเทียนฉายไม่อยากให้เรื่องนี้มาเป็นประเด็นใหญ่ในการที่จะนำมาปฏิรูป เพราะจะกลายเป็นว่า สปช.เลือกปฏิบัติ หรือนำมาซึ่งการปฏิบัติกับวัดใดวัดหนึ่ง กฎหมายที่เขียนมาจะไม่เป็นกลาง

“วันนี้มาพูดกับท่านเทียนฉาย เรื่องกิจการพระพุทธศาสนา และการปฏิรูปพระพุทธศาสนา และสังฆมณฑล ซึ่งท่านก็รับฟังและเห็นด้วยในหลายๆประเด็น มีความเห็นกันสอดคล้องกันว่า คงจะต้องมีองค์คณะบุคคลเข้าไปช่วยมหาเถรสมาคมทำงานในหลายด้าน เพื่อให้ศาสนาจักรรุ่งเรืองเจริญไปพร้อมๆอาณาจักร ไม่ใช่ล่าช้า เฉื่อยชาเหมือนในปัจจุบัน” หลวงปู่พุทธะอิสระ ระบุ

** สับ มส.ทำงานอืดอาด

ผู้สื่อข่าวถามว่า หน้าที่ของ มส.ตอนนี้ไม่ได้เป็นไปตามบทบาทของการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาใช่หรือไม่ หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า คดีธรรมกายเป็นกรณีคดีศึกษา แล้วมองย้อนหลังไปไม่ว่าคดีภาวนาพุทโธ คดีอดีตพระยันตระ หรือล่าสุดคดีนายคำ หรือ เณรคำ ทั้งหมดสื่อเป็นคนริเริ่มขึ้นมา ไม่ใช่ มส.ในฐานะผู้ปกครองเข้าไปริเริ่ม ซึ่งมันผิดวิสัยของผู้ปกครองที่เข้าถึงตัวปัญหาได้ล่าช้า เยิ่นเย้อ ยึดยาด ผิดพลาด และแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ล่าสุดที่ได้ไปคุยกับเลขาฯมส.มายังยืนยันว่า วิธีการการตัดสินปัญหาคดีธรรมกาย ไม่ได้เรียกพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มาสอบถาม แต่นำรายงานเมื่อ 15 ปีก่อนมาเป็นข้อมูลในการลงมติ ทำให้เห็นว่า กระบวนการการปกครองของ มส. น่าจะไม่ตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแล้ว

“กรรมการที่เป็นพระใน มส. แต่ละรูปมีพรรษามาก อย่างสมเด็จวัดปากน้ำ ก็อายุ 90 ปีแล้ว พูดภาษาชาวบ้านก็จะพูดว่า คนแก่อายุ 90 นี้ ทำอะไรได้บ้าง เดินได้ก็ดีแล้ว ไม่ให้ใครมาพยุงมาจับไม่ต้องนั่งรถเข็น ก็เป็นวาสนาแล้ว คิดว่าถ้าศาสนาประจำชาติ ยังมีองค์กรปกครองบริหารที่ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ยังจะต้องใช้ท่านอยู่อีกหรือ และหากสืบทอดตำแหน่งให้กับลูกหลาน และคนใกล้ชิดตลอดเวลา ศาสนาจะมุ่งหวังอะไรได้ อาณาจักรเดินหน้าไปร้อยก้าว แต่ศาสนจักรพึ่งจะเตาะแตะต้วมเตี้ยม มันจะกลายเป็นถ่วงกันหรือเปล่า” หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าว

** ยันพระลิขิตของจริง

หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวด้วยว่า ตอนนี้มีกลุ่มบุคคลที่ไม่ปรารถนาดี พยายามจะทำให้พระลิขิตหรือพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเป็นของปลอม จึงอยากยืนยันว่า สมัยที่สมเด็จพระสังฆราชยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ มีพระพลานามัยแข็งแรง เสด็จไปที่วัดอ้อน้อยบ่อยครั้ง และทรงปรารภเรื่องกรณีปัญหาธรรมกายอยู่ตลอด ฉะนั้นจะมาอ้างว่าพระลิขิตนี้เป็นของปลอมนั้นไม่เป็นความจริง และที่บอกว่า ให้ตรวจสอบทรัพย์สินของ มหามกุฎฯ หรือ มหาจุฬาฯ ซึ่งเป็นสถาบันวิทยาลัยสงฆ์สองแห่งก็เป็นหนึ่งในข้อปรารภที่สมเด็จพระสังฆราช เคยปรารภกับฉันว่า การใช้จ่ายงบประมาณของสองมหาวิทยาลัยมีปัญหามาก ที่สำคัญเรื่องธรรมกายไม่ได้เกิดขึ้นเป็นรายเดียว ในวงการสงฆ์ อย่างที่เสนอให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของทุกวัดและของ มส. แม้แต่วัดอ้อน้อยด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปพุทธศาสนา จะทำให้สถาบันสงฆ์เกิดความแตกแยกหรือไม่ หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า เราไม่คิดว่าจะทำให้คณะสงฆ์แตกแยกอย่างที่บางกลุ่มพยายามที่จะนำขึ้นมาพูด เพราะเรากำลังคุยกันถึงเรื่องปัญหาของคณะสงฆ์ พูดถึงคนที่ละเมิดต่อพระธรรมวินัย และไม่ยอมรับความผิด ขณะเดียวกันการปฏิรูปคณะสงฆ์ก็ไม่ใช่จะไปคว่ำหรือทำร้ายใคร แต่ทำให้พระธรรมวินัยกลายเป็นที่ยอมรับและศักดิ์สิทธิ์ในสังฆมณฑล และสายตาประชาชน ส่วนกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์นั้น อย่าไปสนใจเขาเลย ให้เขารวยกับอ่างเขาต่อไปเถอะ ไปยุ่งอะไรกับแมงดา

“การปฏิรูปครั้งนี้ต้องการให้กลับไปหาหลักคิดเดิมของพระพุทธเจ้า และพระธรรมวินัย ว่า เรามาบวชด้วยความไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติใดๆ ไม่ได้มาบวชเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ แต่มาบวชเพื่อ ลด ละ วาง ว่าง ฉะนั้นหลักคิดการปฏิรูปไม่ได้ไปทำร้ายใคร แต่ถ้าจะทำร้ายก็พวกมักมาก อยากได้ทุกอย่าง เขาคงจะอึดอัดพอสมควร และถ้าใครจะมาปฏิเสธการปฏิรูป ที่จะนำหลักคิดเดิมของพระพุทธเจ้ามาใช้ ก็แสดงว่าเขาไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า” หลวงปู่พุทธะอิสระ ระบุ

** รวบรวมหลักฐาน“ธัมมชโย”อวดอุตริ

เมื่อถามว่าพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สงฆ์ พ.ศ.2539 ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ใช่หรือไม่ หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า ใช้ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมามันไม่ได้รับการใช้อย่างชัดเจน เท่าเทียม ทั่วถึง เราต้องยอมรับว่าใน มส.นั้นซื้อได้ เพราะอย่างกรณีน้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาบวชเป็นพระได้ 10 วันได้เป็นพระครูปลัดของสมเด็จฯได้เลย เพราะจ่ายเงินกันถึง 10 ล้านบาท

เมื่อถามต่อว่า หากวัดธรรมกายตั้งเป็นนิกายใหม่ สามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวว่า รู้ว่าเขาคิดอยู่ และเขาก็พยายามทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามจัดตั้งเป็นศาสดาของโลก พยายามจะเผยแพร่ไปทุกประเทศ เพื่อเป็นศาสนาใหม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวพระสงฆ์หรือ มส.ไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า ทั้งสองส่วน ตัวสงฆ์เองก็ต้องยอมรับว่า พอหลักคิดเมื่อคิดว่าต้องแสวงหาทรัพย์ ลาภ ยศ ก็เลยเป็นเรื่องที่บิดเบี้ยว ส่วนผู้บังคับใช้กฎหมายอย่าง มส. ก็ยังจมปลักอยู่ในการแสวงหาและเหมือนที่เราเอากางเกงในเปื้อนอุจจาระไปถวาย เพื่อจะสอนให้เห็นว่า ความเสแสร้งแกล้งทำให้ดูดี แต่จริงแล้วข้างในมีอุจจาระ นั่งทับกันอยู่

เมื่อถามว่า หากเทียบกรณีธรรมกายกับพระยันตระ เรื่องการอวดอุตริคล้ายกันหรือไม่ หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า กรณีพระยันตระมีผู้ร้อง ผู้เสียหายเป็นผู้โจทก์ แต่กรณีธรรมกายไม่มีผู้โจทก์เรื่องอวดอุตริ ฉันจึงได้บอกว่าขอเป็นผู้โจทก์ต่อหน้าสงฆ์ เขาก็อ้างว่าไปทำหลักฐานมา และยื่นตามขั้นตอนหลายขั้นตอน แต่พระธรรมวินัยบอกว่าหากภิกษุเห็นภิกษุอื่นต้องอาบัติปาราชิก ก็จะมีโจทก์ขึ้นท่ามกลางสงฆ์ สงฆ์นั้นนำขึ้นพิจารณาและวินิจฉัยโทษ ตนจึงเป็นโจทก์ต่อหน้าเลขาฯมส.ว่า พระธัมมชโยมีพฤติกรรมอวดอุตริ เทศน์สอนชาวบ้านว่า ตั้งสมาธิไปคุยกับ สตีฟ จ๊อบส์ บนสวรรค์ หรือไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าในเมืองนิพพาน แต่เลขาฯมส.ก็ปฏิเสธ และบอกว่าที่ตัดสินความธรรมกายไม่ผิดไปแล้ว

“การที่นายธัมมชโยเทศน์สอนชาวบ้านว่า ตั้งสมาธิไปคุยกับ สตีฟ จ๊อบส์ บนสวรรค์ ไปเจอเทวดา ไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าในเมืองนิพพาน เป็นอาบัติปาราชิก อวดอุตริมนุษยธรรม ตอนนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เรื่องอวดอุตริ เรื่องลักทรัพย์ และเสพเมถุน ถ้าใครมีหลักฐานช่วยส่งมาให้ด้วย เพราะนี่คือหลักฐานที่เอาผิดได้ตามพระธรรมวินัย ซึ่งตอนนี้กำลังร่างคำร้องฟ้องอยู่” เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าว

** เชื่อ"ประยุทธ์" ชายชาติทหารจัดการได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น คณะของหลวงปู่พุทธะอิสระได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือแทน โดยขอให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินและเส้นทางการเงินของกรรมการ มส. วัดพระธรรมกาย และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด รวมทั้งตรวจสอบมติที่ประชุม มส.ที่ไม่พิจารณากรณีอาบัติปาราชิกของพระธัมมชโย และขอให้ตั้งองค์คณะพิทักษ์พระธรรมวินัยบรรจุในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยหลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า เชื่อว่านายกฯรอเรื่องอยู่ เพราะเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ อีกทั้งนายกฯมีเจตนาอันแรงกล้าที่จะปฏิรูปทั้งศาสนจักร และอาณาจักร ลูกผู้ชายชาติทหาร มองตากัน ไม่น่าจะแปลกอะไรมาก พอจะรู้ว่า มีใจและปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองและศาสนา อย่างกรณีวัดพระธรรมกาย ดูคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเห็นได้ว่า จะผลักดันให้ชัดเจนมากขึ้น แต่บังเอิญมติ มส.กลับออกมาในทางที่ยากจะคาดเดา

ด้าน ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า จะดำเนินการไปตามกระบวนการขั้นตอน โดยมีวิธีปฏิบัติของทางราชการอยู่แล้ว ซึ่งทุกเรื่องที่มีการร้องเรียนมา สำนักปลัดสำนักนายกฯจะสรุป และนำเสนอต่อนายกฯ ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับชาติ และความมั่นคง

** จี้ “ดีเอสไอ” รื้อคดียักยอกเงินวัด

ต่อมา หลวงปู่พุทธะอิสระ ได้เดินทางเข้าพบนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอหารือแนวทางและความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นคดีพระธัมมชโยยักยอกเงินวัดกว่า 1,200 ล้านบาทซึ่งอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดยขอให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษพร้อมกับตรวจสอบเส้นทางการเงินของวัดพระธรรมกายที่เชื่อมโยงไปถึง มส.ว่ามีที่มาอย่างไรและปลายของเงินอยู่กับผู้ใด นอกจากนี้ได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ มีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าเข้าข่ายรับอามิสสินจ้างหรือรับสินบนระหว่างเป็นเจ้าพนักงานปกครอง จากการรับพระพุทธรูปทองคำน้ำหนัก 1 ตัน โดยขอให้ดีเอสไอตรวจสอบว่าการรับทรัพย์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนหรือหลังอัยการฯมีคำสั่งถอนฟ้องพระธัมมชโย

เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวด้วยว่า ได้ทวงถามความคืบหน้าคดีที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ 2 คดี อาทิ คดีรถหรูเลี่ยงภาษีที่พบว่าพระใน มส.หลายรูปครอบครองรถหรูราคามากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไปหลายคัน ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน วัดไผ่ล้อม ที่พบว่ามีพฤติการณ์ครอบครองรถหรูและเป็นผู้จัดส่งรถหรูไปให้กับ มส. รวมถึงติดตามความคืบหน้าการสอบสวนคดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด ซึ่งเงินส่วนหนึ่งนำไปบริจาคให้กับวัดพระธรรมกาย หลังจากนี้จะยื่นเรื่องต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ มส. ทั้งกรณีรับพระทองคำและการใช้งบประมาณจำนวนมากในการเดินทางไปดูงานในต่างประเทศ

ด้าน อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า เบื้องต้นจะตั้งคณะทำงานสืบสวนข้อเท็จจริงตามที่หลวงปู่พุทธะอิสระเสนอ พร้อมทั้งตรวจสอบความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นคดี โดยจะเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแจ้งผลกลับไปยังผู้ร้องโดยเร็ว ส่วนคดีเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นและคดีรถหรูอยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งมีการเร่งรัดชุดสอบสวนให้รายงานความคืบหน้ารายสัปดาห์อยู่แล้ว

** สปช.ไล่เช็คคดีโกงสหกรณ์คลองจั่น

ด้าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิก สปช. ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธ แถลงภายหลังการประชุมในกรณีการที่พระธัมมชโย เกี่ยวข้องกับของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยเชิญผู้แทนจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ว่า ที่ประชุมได้รับข้อมูลว่า นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กระทำความผิดฉ้อโกงประชาชน และยังสั่งจ่ายเช็คให้กับพระธัมมชโย โดยแบ่งเช็คออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.สั่งจ่ายเช็คให้พระธัมมชโย จำนวน 8 ฉบับ เป็นเงินทั้งสิ้น 348.78 ล้านบาท จากนั้นพระธัมมชโย ได้สั่งจ่ายเงินเข้าไปยังมูลนิธิอุบาสิกาจันทร์ 2.สั่งจ่ายเช็คให้กับวัดธรรมกาย จำนวน 6 ฉบับ เป็นเงิน 436 ล้านบาท นำเงินไปเป็นค่าก่อสร้างและสิ่งปลูกสร้างของวัด และ 3.จ่ายให้กับผู้ช่วยของพระธัมมชโย หรือพระปลัดวิจารณ์ เป็นเงิน 119.02 ล้านบาท ถอนออกมาเป็นเงินสดทั้งหมด ซึ่งตรวจสอบไม่ได้ รวมทั้งสิ้น 903.8 ล้านบาท อีกทั้งยังไม่รวมไปถึงการสั่งจ่ายไปยังรายบุคคลหรือบัญชีอื่น เพื่อซื้อที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ได้ฝากให้ ปปง. ว่า เหตุใดจึงไม่อายัดบัญชีของพระธัมมชโย ที่มีเงินถึง 300 กว่าล้านบาท ซึ่งอาจจะมีจำนวนเงินมากกว่านั้น โดยกรรมการฯเห็นว่า ควรที่จะยึดบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดของพระธัมมชโย เพราะเป็นเงินที่ได้จากการฉ้อโกง รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างและที่ดินของวัด 196 ไร่ ที่เป็นเขตธรณีสงฆ์ และทราบว่าวัดธรรมกาย มีพื้นที่อีกกว่า 1 พันกว่าไร่ ซึ่งอยู่ในนามมูลนิธิธรรมกายและมูลนิธิอื่นๆ ไม่ถือว่าเป็นเขตธรณีสงฆ์ ฉะนั้นจึงสามารถบังคับคดีได้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนเงินของพระปลัดวิจารณ์ ทางกรรมการฯ เห็นว่า ปปง. ต้องดำเนินคดีและแจ้งต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

** เตือน ปปง.-ดีเอสไออย่าล้มมวย

นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า การประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 3 มี.ค.นี้ จะเชิญผู้แทนของดีเอสไอ และกรมที่ดิน ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง มาให้ข้อมูล โดยกรมที่ดิน จะให้ตรวจสอบที่ดินที่อยู่ในส่วนของมูลนิธิว่า มีที่มาถูกต้องหรือไม่ ตลอดจนจะขอสำเนาเช็คสั่งจ่ายทั้งหมดของวัดธรรมกาย มาตรวจสอบ รวมทั้งจะมีการรวบรวมข้อมูลไปให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค.นี้ ซึ่งทางคณะกรรมการฯ ทำตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย โดยเฉพาะเรื่องวัดธรรมกาย เงินที่บริจาคจากประชาชนที่ศรัทธา จะต้องจัดการให้เป็นทรัพย์สินของให้ชัดเจน ว่าเป็นสาธารณะสมบัติ เป็นเงินของแผ่นดิน ต้องโอนเป็นของวัดธรรมกายทั้งหมด นอกจากนี้ กรรมการฯ บางคนเป็นห่วงว่า จะต้องมีการตรวจสอบเงินภายในวัด เนื่องจากอาจจะเป็นแหล่งฟอกเงินได้ ซึ่งไม่มีการเสียภาษี และไม่สามารถตรวจสอบได้

“ฝาก ปปง. อย่าเอาเรื่องคืนเงิน ว่าไม่ปาราชิก และไม่เห็นด้วยที่จะมีการเจรจาและรับข้อเสนอว่าจะคืนเงินบางส่วนแล้วจะพ้นจากการปาราชิก จะต้องดำเนินการตามกฎหมายของ ปปง. โดยต้องอายัดบัญชีทรัพย์สิน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ดีเอสไอ ได้ดำเนินคดีและคดีที่สั่งไม่ฟ้องพระธัมมชโย ก็คงจะต้องตรวจสอบ หากไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องดำเนินคดีกับผู้ที่สั่งยกฟ้องด้วย ส่วนเรื่องเงินฝากสหกรณ์ยูเนี่ยนฯ ต้องเข้าใจว่า เป็นเงินฝากของประชาชน เมื่อนายศุภชัย ถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง พระธัมมชโย ในฐานะวิญญูชนย่อมรู้ดี ต้องคืนให้เมื่อ 2 ปีก่อน แต่ก็ยังถืออยู่ต่อไป ซึ่งจะต้องถูกดำเนินคดี ดังนั้นเห็นว่า พระธัมมชโย น่าจะปาราชิกอีกครั้งหนึ่ง แต่ตามหลักก็ไม่สามารถปาราชิกซ้ำอีกครั้งได้” นายไพบูลย์ กล่าว

** ฟันธง “ธัมมชโย” ต้องปาราชิก

นายไพบูลย์ ยังได้กล่าวถึงมติ มส.เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ระบุว่า พระธัมมชโยไม่ปาราชิก ว่า ที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับมติ มส.ล่าสุด เพราะเป็นการยกเลิกพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ทั้ง 3 ฉบับ รวมทั้งมติ มส. ฉบับที่ 193/42 โดยเห็นว่า เป็นมติที่เป็นปัญหา แม้จะเป็นอำนาจของมหาเถรสมาคม ก็ตาม แต่ก็ต้องชอบด้วยกฎหมายและพระธรรมวินัย จะมาขัดหรือแย้งต่อพระธรรมวินัยไม่ได้ เพราะเมื่อปาราชิกไปแล้ว ก็ถือว่าจบ ไม่สามารถกลับมาเป็นพระได้ใหม่อีก จึงอยากเรียกร้องให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการให้เป็นไปตามพระลิขิต สมเด็จพระสังฆราช และรับรองโดยมติ มส. ฉบับที่ 193/42 ต่อไป

“เพราะเมื่อในอดีตพระธัมมชโยไม่ยอมคืนทรัพย์สินให้กับวัด ถือว่า ต้องอาบัติปาราชิกไปแล้วโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ได้เป็นพระ แต่ปลอมเป็นพระ โดยนำผ้ากาสาวพักตร์ไปครองทำให้ความเศร้าหมองให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา กรณีนี้จึงไม่มีการใช้คำว่า “ถ้า” อย่างที่โฆษกสำนักพระพุทธศาสนา ได้ออกมาแถลง” นายไพบูลย์ระบุ

** “สรรเสริญ” หวั่นบานปลาย

อีกด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนามีหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ทั้งสำนักงานพระพุทธศาสนา และ มส. แต่เป็นธรรมดาของสังคมวันนี้ ที่มีความคิดเห็นต่างกัน แต่ก็มีวิธีการที่จะเสนอความเห็นต่าง เพื่อให้หน่วยงานได้พิจารณาทบทวนได้ ไม่ถึงขนาดที่จะต้องระดมพลเคลื่อนไหว เพราะจะขัดกับกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ และอาจเป็นชนวนทำให้เกิดความขัดแย้งเรื่องอื่นอีก ขอความกรุณาวันนี้บ้านเมืองเรามีปัญหาพอสมควรแล้ว เรายุติข้อขัดแย้งได้ เริ่มเดินไปตามโรดแมป ก็พอมีทิศทางที่ดีขึ้น หากกลับไปในลักษณะเคลื่อนไหวมวลชน เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เรียกร้องก็จะทำให้แก้ไขปัญหาลำบาก ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในกฎกติกา เพราะมีวิธีการที่จะเสนอความเห็นต่างได้อยู่แล้ว

** “วัดปากน้ำ” ปัดขอหลวงปู่ฯยุติเคลื่อนไหว

วันเดียวกัน พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรรมการ มส.กล่าวถึงกรณีที่หลวงปู่พุทธะอิสระเปิดเผยว่า วัดปากน้ำให้คนโทรมาขอให้ยุติการเคลื่อนไหว โดยจะเสนอตำแหน่งให้ว่า ขอยืนยันว่าไม่มีใครของวัดปากน้ำโทรหาพระพุทธะอิสระ ให้มีการหยุดเคลื่อนไหว ขณะเดียวกันมีการกล่าวพาดพิงในการหารือเมื่อวันที่ 21 ก.พ.หลายเรื่อง แต่ทำไมพระพุทธะอิสระไม่พูดให้สังคมรับทราบบ้าง

ด้าน พระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยม (มจร.) กล่าวว่า มจร.จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.มหาวิทยาลัย พ.ศ.2540 เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยรายได้มหาวิทยาลัยมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ 1.รัฐจัดสรรให้ 2.ผู้มีจิตศรัทธา และ3.รายได้อื่นๆ เช่น ค่าเทอม เป็นต้น ซึ่งเมื่อรัฐจัดสรรงบประมาณมาให้แล้ว ทางมหาวิทยาลัยก็จะถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบทั้งส่วนกลางและวิทยาเขตอย่างละเอียดทุกปี ไม่เพียงเท่านั้น สตง.ไม่ตรวจเฉพาะงบอุดหนุนของรัฐ แต่ยังได้ตรวจรายได้อื่นๆของมหาวิทยาลัยด้วย ไม่ว่าจะเป็น ใบอนุโมทนาบัตรเงินบริจาค มอบไปที่ไหนบ้าง ใครบริจาคบ้าง ตู้บริจาคของมหาวิทยาลัยก็ต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบด้วย

“ส่วนเรื่องที่มหาวิทยาลัยใช้งบประมาณหลายสิบล้านบาทไปต่างประเทศนั้น มหาวิทยาลัยมีสถาบันสมทบในต่างประเทศถึง 7 แห่ง โดยแต่ละปีผู้ที่จบปริญญาตรีจากสถาบันสมทบ จะต้องมารับปริญญาในประเทศไทย ในส่วนของผู้บริหาร อาจารย์และนักวิชาการของมหาวิทยาลัย ก็ต้องเดินทางไปประชุมร่วมกับสถาบันสมทบในต่างประเทศแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาการต่อกัน ซึ่งเวลาเดินทางไปแลกเปลี่ยนทางวิชาการ นอกจากจะมีงบประมาณของมหาวิทยาลัยแล้ว เรายังมีเจ้าภาพร่วมสมทบด้วย ซึ่งพุทธอิสระไม่ทราบในเรื่องนี้ การที่พูดไปเพื่อให้สังคมมองมหาวิทยาลัยในภาพลบ” พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าว

** แฉทุ่ม 3 พันล้านสร้างเจดีย์

ผู้สื่อข่าวรายงาน นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊คระบุว่า “ด่วน !!!! บานเป็นกระด้งแล้วครับ กรรมการศาสนา สปช กำลังสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้แทน ปปง ได้ข้อมูลเพิ่มว่าการโกงเงินสหกรณ์คลองจั่น 15,000 ล้านบาทนั้น นอกจากจ่ายเช็คแก่ธรรมกาย 436ล้าน แก่ธัมมชโย 348 ล้านบาท แก่พระปลัดวิจารณ์ที่เคยอยู่ธรรมกาย 119 ล้านบาท แล้วยังมีอีกรายหนึ่งรับเช็คไปสามพันล้านบาท แล้วเอาไปซื้อที่ดินที่กาญจนบุรี ซึ่ง ปปง.อายัดที่ดินแล้ว บนที่ดินนี้จะสร้างเจดีย์ชื่อเจดีย์ทัตตะชีโว!!! เอ้า ก๊วนเดียวกันทั้งนั้นนะเนี่ย สปช.จะให้กรรมการศาสนา สปช.สอบเรื่องพวกนี้ต่อหรือจะยุบเลิกละครับ”

นอกจากนี้ในช่องแสดงความคิดเห็นได้มีคนแชร์รูปภาพซึ่งคาดว่าจะเป็นเจดีย์ทัตตะชีโว ซึ่งมีลักษณะเป็นดอกบัวสีชมพูขนาดใหญ่ไว้ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น