โดย...ไพรัตน์ แย้มโกสุม
เวลาปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ พอออกจากสมาธิมักถูกถามบ่อยๆ ว่า “เห็นอะไรบ้าง” ถ้าบอกว่า เห็นโน่นเห็นนี่ เห็นนรกสวรรค์ คนถามมักจะหูผึ่งพึ่งพอใจ อยากเห็นบ้างประมาณนั้น
แล้วถามต่อ ทำอย่างไรจึงจะเห็น...อยากเห็นก็ต้องดู...ดูยังไง...ดูอะไรก็ได้แล้วแต่จะดู ดูสาระดูอสาระ ดูสุขดูทุกข์ ดูบุญดูบาป ดูเหนือชั่วเหนือดี ฯลฯ
อยากเห็นต้องดู
ผมชอบดูพุทธศาสนสุภาษิตอยู่บทหนึ่ง นั่นคือ “เมื่อน้ำใส กระจ่างแล้ว ย่อมมองเห็น หอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทราย และฝูงปลาได้ ฉันใด เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว ย่อมมองเห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นได้ ฉันนั้น”
เมื่อดูก็เห็น เห็นตน เห็นคนอื่น แต่ต้องดูตอนน้ำใส ตอนใจใส่ อะไรทำให้น้ำใส ใจใส ความสงบ ไม่มีลม ไม่มีคลื่น ไม่กระเพื่อม น้ำก็นิ่งก็ใส การทำสมาธิภาวนา ทำให้ความคิดปรุงแต่งลดลง โลภ โกรธ หลง ลดลง ความสงบก็เกิดขึ้นใจก็นิ่งก็ใส
น้ำใสมองเห็นสิ่งในน้ำชัดเจน ฉันใด ใจใส ก็มองเห็นตนเอง มองเห็นคนอื่น มองเห็นสรรพสิ่งชัดเจน ฉันนั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม”
พินิจพิจารณาดูตรงนี้ ตอนที่จิตสงบ ก็จะเห็นสรรพสิ่งชัดเจนตามที่เป็นจริง เมื่อเห็นจริง ก็ไม่ตกเป็นเหยื่อเป็นทาสของอะไร มีแต่ใจที่เบิกบานเท่านั้น
“ผู้เห็นธรรม ก็คือผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส”
อยากมีรูปงาม ไม่ต้องไปดูโฆษณา หรืออีเวนต์อะไรหรอก ให้มาดูธรรมจนเห็นธรรม ท่านก็จะงดงาม เบิกบานใจ เป็นธรรมชาติ โดยอัตโนมัติ
เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว ย่อมมองเห็นประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น หรือประโยชน์ส่วนรวมสังคมประเทศชาติ
บ้านเมืองที่มีปัญหา ไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ในทุกวันนี้ เพราะการทุจริตคอร์รัปชัน หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงของคนในสังคม โดยเฉพาะผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง
การทุจริตคอร์รัปชันเกิดจากการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
“วาทะสวยหรู ชูป้ายโปร่งใส แต่ใจขุ่นมัว ไม่อายชั่วกลัวบาป” นี่คืออัตลักษณ์ของคนประเภท “ตัวเป็นไทย ใจเป็นทาส” คนเยี่ยงนี้ฉลาดมาก คือฉลาดโกงกินจน(กำลังจะ)สิ้นชาติ กฎหมายประเภทมีช่องว่างช่องลวงที่นิติบริกรจัดให้ แก้ปัญหาคนพวกนี้ไม่ได้หรอก ต้องใช้ยาแรงโดยเฉพาะ จึงจะเหมาะกับโรค
อย่างท่านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ท่านกล่าวว่า...เหม็นกลิ่นคนโกง อย่ายกมือไหว้คนโกง ท่านย้ำ จะไม่ทนแล้วกับพวกขี้โกง ท่านเกลียดคนโกงที่สุด ท่านแนะชี้หน้าต่อว่า “รวยแล้วยังโกง” ท่านเสนอตั้งศาลพิเศษแบบทหารม้า “เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์” 2 ก.พ. 2558
นี่คือคนดี คนกล้าระดับพรีเมียมที่...ยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนเป็นตัวอย่างที่ดีที่ควรยกย่อง และปฏิบัติตาม
ดูอีกตัวอย่าง...
“ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัว เป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์”
นี่คือ...อนุศาสน์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ผองผู้เห็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน น้อมนำมาปฏิบัติอย่างสืบสานขานต่อ ตราบเท่าทุกวันนี้
ดูตัวอย่างสุดท้าย...
“โยม ไม่ต้องมาบริจาคเงินให้วัด โยมเอาเงินไปดูแลพ่อแม่ ได้บุญมากกว่าเอามาให้วัดโยม อย่าเอาไฟฟ้าเข้าวัด เพราะจะทำให้วัดต้องมีค่าใช้จ่าย พระไม่มีรายได้ อยู่โดยไม่มีไฟฟ้าดีกว่า โยมมาที่วัดขออย่าอึกทึกเสียงดัง มาอยู่วัดให้ทำสมาธิฝึกจิต ได้บุญมากกว่ามานั่งกราบพระน่ะ”
นี่คือเสียงเทศน์ เสียงบอก เสียงสอนจากหลวงปู่ทุย (พระอาจารย์ปรีดา ฉนฺทกโร) วัดป่าดานวิเวก (วัดดงศรีชมพู) อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ
พระสมัยนี้ (ส่วนมาก) ชอบพูดว่า อาตมาเป็นแค่สมมติสงฆ์ ไม่ใช่อริยสงฆ์ ย่อมมีกิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดา จะสิ้นกิเลสได้อย่างไร ไม่ใช่พระอรหันต์
หลวงพี่ หลวงพ่อ หลวงปู่ ก็พูดถูก แม้ท่านจะไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านก็น่าจะเอาอย่างพระอรหันต์บ้าง ทำไมต้องมาเอาอย่างฆราวาสผู้มากด้วยกิเลส โยมมีมือถือธรรมดา อาตมาต้องไอโฟน โยมนั่งเก๋งธรรมดา อาตมาต้องเบนซ์ป้ายแดง มันจึงจะสมฐานะ ฯลฯ
ดูอย่างหลวงปู่ทุยบ้าง ท่านเป็นพระธรรมดา คงไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ท่านก็เอาอย่างพระอรหันต์ เลยกลายเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ใครๆ ก็อยากดูอยากเห็น เลยเกิดศรัทธาด้วยปัญญา ปฏิบัติตามท่านใจเลยว่าง จึงปล่อยวางได้ เบาสบาย เป็นพุทธแท้ ไม่ใช่พุทธพาณิชย์
ตัวอย่างดีๆ ที่ยกมา คือผลของผู้เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ซึ่งมีเหตุผลอยู่ที่ “ใจใส ไม่ขุ่นมัว” นั่นแล จึงเห็นความจริงแท้ของสรรพสิ่ง
อยากรู้ต้องหา
ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ใครๆ ก็แสวงหา หาอะไร หาเงินหาทอง หาของอยู่กิน หาวิชาความรู้ หาคุณค่าของชีวิต หาคู่สร้างคู่สม หารัฐบาลที่ดีมีอุดมการณ์ หาจนกว่าชีวิตจะหาไม่
สมัยก่อนอยากรู้อะไร ต้องหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ แล้วก็จะได้รับคำตอบตามต้องการ ปัจจุบันพ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า “อยากรู้อะไรต้องหาเอง” เครื่องมือหาความรู้ยุคสังคมก้มหน้ามีมากมาย ห้องสมุดหนังสือกำลังจะถูกลืม สิ่งที่มาแทนที่จนเป็นกระแสครองโลก คือคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ สมาร์ทโฟน ฯลฯ
มีสมาร์ทโฟนคุณภาพดีสักเครื่อง ก็พร้อมที่จะหาสิ่งต่างๆ ที่อยากรู้ และเก็บข้อมูลหลักฐาน ทั้งภาพ เสียง ความบันเทิง และอื่นๆ อีกมากมายอย่างน่าอัศจรรย์
โลกไซเบอร์ (Cyber) เลยกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง ที่ซ้อนกันอยู่กับโลกมนุษย์ (Earth)
การสื่อสารรวดเร็วและไร้พรมแดน นักข่าวพลเมืองหรือนักข่าวประชาชน จะมีอยู่ทั่วไป พร้อมเสนอข่าวด้วยใจรักแบบจิตอาสาอย่างฉับไว นักข่าวอาชีพที่ไร้อุดมการณ์ ชอบยืนอยู่กับผลประโยชน์นายทุนสามานย์ระวังจะถูกลืม
ผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองและข้าราชการรับใช้ที่สมคบกันกินบ้านผลาญเมืองอย่างเหินเกริม เห็นประชาชนยังกินหญ้าอยู่ จะทำอะไรก็ได้ คนทำอะไรก็ได้ก็จริง สมาร์ทโฟนที่มีอยู่กับทุกคน ก็ทำอะไรคุณได้เช่นกัน
เป็นยุคที่มีการตอบโต้กันรวดเร็วยิ่งยวด ทั้งจริง ทั้งปลอม ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งมีสาระแบะไร้สาระ ความรู้ต่างๆ หาได้ในชั่วพริบตาเดียว
อยากพบต้องมา
“บวกควาย” (ภาษาอีสาน) คือบ่อน้ำเล็กๆ ที่ควายลงไปนอนแช่ได้ 2-3 ตัว อีสานยามแล้งก็ร้อนแทบตับแตก ร้อนเหลือแดด แผดละลาย ทุกสิ่งวอดวาย แม้หญ้าและน้ำที่ควายกินก็ไม่มี
ควายที่ทนไม่ไหว ก็ไปหาบวกหรือมาหาบวก แล้วก็นอนแช่น้ำขุ่นๆ แก้ร้อนประทังชีวิตไปตามยถากรรม
“บวกควาย ไม่เคยไปหาควาย มีแต่ควายมาหาบวก” เป็นความจริงธรรมดาๆ ที่ไม่น่าสนใจอะไร
แต่คนชอบ “อ่าน คิด เขียน” มองอะไรหลายด้านหรือหลายมิติ จึงมองเห็น “บวกควาย” เป็น “อาจารย์” (ขอโทษ คนติดชื่อ ติดตำแหน่ง มิมีเจตนาจะลบหลู่ใดๆ สรรพสิ่งทั้งหลายต่างก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น)
ส่วนควายเป็นเหมือนศิษย์ผู้ใฝ่รู้ จึงมาเพื่อพบเพื่อเห็นอาจารย์ แค่พบแค่เห็นยังไม่สอนอะไรก็พอใจแล้ว
ควายเมื่อพบบวกก็นอนแช่ ได้รับความเย็นสบายหายร้อน มีความสุขไปวันๆ
ศิษย์เมื่อพบอาจารย์ ก็ชื่นใจ อาจารย์สั่งให้ทำอะไรก็ทำ เป็นการเรียนรู้ที่อบอุ่น มีครูอาจารย์คอยดูแล
หลวงพ่อหลวงปู่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะอยู่ห่างไกลในป่าเขา ลำบากอย่างไร ญาติโยมที่ศรัทธาก็มาหา อยากพบอยากเห็น อยากกราบไหว้บูชา อยากทำบุญสุนทานด้วย ทำแล้วสบายใจปลื้มปีติยินดี
“อาจารย์ย่อมไม่แสวงหาศิษย์ แต่ศิษย์ย่อมแสวงหาอาจารย์” ก็ยังเป็นความจริงตลอดมา ปัจจุบันอาจจะสวนกลับว่า ไม่จริง เพราะทุกวันนี้ครูอาจารย์ต่างแสวงหาศิษย์ มิเช่นนั้นจะไม่มีใครมาเรียนด้วย
ถ้าสถานศึกษามีคุณภาพ ครูผู้บริหารเห็นประโยชน์ตน และประโยชน์ส่วนรวมจริงๆ แล้ว ใครๆ ก็อยากมาเรียนมาเป็นศิษย์ จึงต้องสอบแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงจะได้เป็นศิษย์ของอาจารย์
เมื่อได้เป็นศิษย์แล้ว ก็มองเห็นอนาคต มีความรู้จริง จบแล้วมีงานดีๆ และมั่นคงทำ จึงมีความสุขเย็นสบายเหมือนกับควายนอนบวกนั่นแล
อีกมิติ คำว่า บวก (Positive) หมายถึงดี หมายถึงรู้มาก คำว่า ลบ (Negative) หมายถึงไม่ดี ความรู้น้อย ศิษย์มาหาอาจารย์เพื่อจะเปลี่ยนพฤติกรรมจากลบให้เป็นบวก แต่บวกกับลบแม้จะค้านกันอยู่ แต่ก็อยู่ด้วยกัน จึงจะมีชีวิตชีวา ปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างอยู่ จืดชืด ตายด้าน
อยากบ้าต้องคิด
แถวที่สี่นี้ อย่าเพิ่งตกใจ อย่าด่วนสรุป ความจริงคนเราก็บ้าด้วยกันทั้งนั้นแหละ เพียงแต่บ้าเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง ผมไม่ได้ว่า พจนานุกรมฯ ให้นิยามไว้ดังนี้...
บ้า, วิกลจริต, สติฟั่นเฟือน, หลงใหลคลั่งไคล้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง, มัวเมาลุ่มหลง เช่น บ้าแต่งตัว บ้าอำนาจ บ้ามวย เรียกอาการของสัตว์บางชนิด เช่น หมาที่เป็นโรคกลัวน้ำว่า หมาบ้า, ชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อ้ายบ้า หรือพวก ก็เรียก
บ้าๆ แผลงๆ คำพูดแก้เกี้ยวกลบเกลื่อนความอาย หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสม ไม่เข้าที เช่น พูดบ้าๆ เล่นบ้าๆ
บ้ากาม-มีความหื่นกระหายทางกามคุณผิดปกติมนุษย์
บ้าคลั่ง-มีอาการคลุ้มคลั่งเพราะเสียจริต, โดยปริยายหมายถึงกระทำด้วยอาการรุนแรง เช่น คลื่นโถมซัดอย่างบ้าคลั่ง
บ้าจี้-อาการที่พูดหรือแสดงโดยขาดสติเมื่อถูกทำให้ตกใจ, โดยปริยายหมายถึง ทำตามโดยไม่ไตร่ตรองเมื่อถูกยุหรือแนะ, เรียกอาการที่ดิ้นดุกดิกและหัวเราะเมื่อถูกผู้อื่นแกล้งเอานิ้วจี้เอวหรือซอกแขน เป็นต้น
บ้าดีเดือด-มุทะลุ
บ้าน้ำลาย-พูดพล่าม สนุกที่จะพูดโดยไม่สนใจคนฟัง
บ้าๆ บอๆ-สติฟั่นเฟือนบางขณะ, มีอาการคลุ้มคลั่ง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
บ้าบอคอแตก-บ้าๆ, ไม่เป็นแก่นสาร, ไร้สาระ
บ้าบิ่น-มุทะลุเสี่ยงตายโดยขาดสติ
บ้าผู้หญิง-หลงใหลคลั่งไคล้ในสติเกินขนาด
บ้าไมค์-ชอบพูดผ่านไมโครโฟนในที่สาธารณะ เมื่อได้โอกาสถือ
ไมโครโฟนแล้วพูดไม่ยอมหยุด
บ้ายศ-เห่อยศถาบรรดาศักดิ์
บ้ายอ-ชอบให้คนเยินยอสรรเสริญ, หลงคำที่เขายกยอปอปั้น
บ้าระห่ำ-มุทะลุดุดัน, ทะลึ่งตึงตัง
บ้าลำโพง-เสียสติเพราะกินเมล็ดลำโพง, โดยปริยายหมายถึง พูดโผงผาง พลุ่มพล่าม หรือแสดงกิริยาโมโหโกรธา
บ้าเลือด-เห็นเลือดแล้วบันดาลโทสะจนต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย
บ้าสมบัติ-ที่เห็นอะไรเป็นสมบัติมีค่าไปหมด, สะสมสิ่งของต่างๆ ไว้มากจนเกินความจำเป็น
บ้าหลัง-เป็นบ้าเพ้อเจ้อไป
บ้าหอบฟาง-บ้าสมบัติ, ชอบหอบหิ้วสิ่งของพะรุงพะรัง
บ้าห้าร้อยจำพวก-บ้าหลากหลายประเภท
บ้าเห่อ-ชอบอวดของที่ได้มาใหม่, เห่อตามสมัยนิยม
บ้าอำนาจ-ชอบแสดงอำนาจ, ใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต
นิยามของบ้าตามที่ยกมา ใครเข้าข่ายบ้าแบบไหน ก็ดูเอาเอง
ผมไม่เข้าข่ายสักอย่าง แต่ผมก็บ้าอีกแบบหนึ่งคือ “บ้าอ่าน บ้าคิด บ้าเขียน บ้าดู” คงเลิกยาก เพราะมันกลายเป็นนิสัยถาวรไปเสียแล้ว
หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ท่านสอนว่า...
พูดมาก เสียมาก
พูดน้อย เสียน้อย
ไม่พูด ไม่เสีย
นิ่งเสีย โพธิสัตว์
ผมขออนุญาตเลียนแบบหลวงปู่สักเล็กน้อย ดังนี้...
คิดมาก บ้ามาก
คิดน้อย บ้าน้อย
ไม่คิด ไม่บ้า
หยุดนิ่ง ว่างวาง
ใจคือผู้นึกคิด ใจหรือคิดคือต้นเหตุของการพูดและการทำ เขียนอย่างนี้คงเข้าใจยาก ต้องอาศัยท่านผู้รู้ที่ตื่นรู้อรรถาธิบาย
ท่านโพธิธรรม สอนว่า...อย่ายึดติดกับถ้อยคำ หากในหัวของท่านไม่มีถ้อยคำ ในความเงียบนั่นแหละ คือพระเจ้า คือความจริง คือนิพพาน
ท่านโอโช อธิบายต่อ...ในช่วงขณะที่ถ้อยคำล่วงล้ำเข้ามา ท่านไม่ได้เป็นตัวท่านเองอีกต่อไป ตัวท่านได้อันตรธานไปแล้ว ถ้อยคำนำท่านไปสู่การเดินทาง ที่ห่างตัวท่านไปทุกที จริงๆ แล้วท่านไม่ได้ไปไหนหรอก ท่านเพียงแต่ฝันไปเท่านั้น ตัวท่านยังคงอยู่ที่นั่น เพียงแต่ท่านอาจหลับใหลและฝันไปเรื่อย ร้อยแปดพันเก้าเรื่อง
“อยากเห็นต้องดู
อยากรู้ต้องหา
อยากพบต้องมา
อยากบ้าต้องคิด”
ท่านเชอเกียม ตรุงปะ ได้อธิบายถึง “ปรีชาญาณบ้า” ไว้ว่า... “คือสภาวะอันบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาของดวงจิต ซึ่งกอปรไปด้วยคุณลักษณ์ของยามเช้า สดชื่น เจิดจรัส และตื่นรู้อย่างหมดจด” เป็นการเดินทาง-ทางจิตวิญญาณ อันน่าพิศวง
โอ...ปัญญาเป็นดวงชวาลาในโลก ทำให้เห็น “หลับยืน-ตื่นรู้” เป็นสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน หรือสองด้านของชีวิตที่เราต้องดูต้องพินิจตลอดเวลา เพราะมันคือวิหารธรรม หรือเครื่องอยู่ของเรานั่นเอง
เวลาปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ พอออกจากสมาธิมักถูกถามบ่อยๆ ว่า “เห็นอะไรบ้าง” ถ้าบอกว่า เห็นโน่นเห็นนี่ เห็นนรกสวรรค์ คนถามมักจะหูผึ่งพึ่งพอใจ อยากเห็นบ้างประมาณนั้น
แล้วถามต่อ ทำอย่างไรจึงจะเห็น...อยากเห็นก็ต้องดู...ดูยังไง...ดูอะไรก็ได้แล้วแต่จะดู ดูสาระดูอสาระ ดูสุขดูทุกข์ ดูบุญดูบาป ดูเหนือชั่วเหนือดี ฯลฯ
อยากเห็นต้องดู
ผมชอบดูพุทธศาสนสุภาษิตอยู่บทหนึ่ง นั่นคือ “เมื่อน้ำใส กระจ่างแล้ว ย่อมมองเห็น หอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทราย และฝูงปลาได้ ฉันใด เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว ย่อมมองเห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นได้ ฉันนั้น”
เมื่อดูก็เห็น เห็นตน เห็นคนอื่น แต่ต้องดูตอนน้ำใส ตอนใจใส่ อะไรทำให้น้ำใส ใจใส ความสงบ ไม่มีลม ไม่มีคลื่น ไม่กระเพื่อม น้ำก็นิ่งก็ใส การทำสมาธิภาวนา ทำให้ความคิดปรุงแต่งลดลง โลภ โกรธ หลง ลดลง ความสงบก็เกิดขึ้นใจก็นิ่งก็ใส
น้ำใสมองเห็นสิ่งในน้ำชัดเจน ฉันใด ใจใส ก็มองเห็นตนเอง มองเห็นคนอื่น มองเห็นสรรพสิ่งชัดเจน ฉันนั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม”
พินิจพิจารณาดูตรงนี้ ตอนที่จิตสงบ ก็จะเห็นสรรพสิ่งชัดเจนตามที่เป็นจริง เมื่อเห็นจริง ก็ไม่ตกเป็นเหยื่อเป็นทาสของอะไร มีแต่ใจที่เบิกบานเท่านั้น
“ผู้เห็นธรรม ก็คือผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส”
อยากมีรูปงาม ไม่ต้องไปดูโฆษณา หรืออีเวนต์อะไรหรอก ให้มาดูธรรมจนเห็นธรรม ท่านก็จะงดงาม เบิกบานใจ เป็นธรรมชาติ โดยอัตโนมัติ
เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว ย่อมมองเห็นประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น หรือประโยชน์ส่วนรวมสังคมประเทศชาติ
บ้านเมืองที่มีปัญหา ไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ในทุกวันนี้ เพราะการทุจริตคอร์รัปชัน หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงของคนในสังคม โดยเฉพาะผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง
การทุจริตคอร์รัปชันเกิดจากการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
“วาทะสวยหรู ชูป้ายโปร่งใส แต่ใจขุ่นมัว ไม่อายชั่วกลัวบาป” นี่คืออัตลักษณ์ของคนประเภท “ตัวเป็นไทย ใจเป็นทาส” คนเยี่ยงนี้ฉลาดมาก คือฉลาดโกงกินจน(กำลังจะ)สิ้นชาติ กฎหมายประเภทมีช่องว่างช่องลวงที่นิติบริกรจัดให้ แก้ปัญหาคนพวกนี้ไม่ได้หรอก ต้องใช้ยาแรงโดยเฉพาะ จึงจะเหมาะกับโรค
อย่างท่านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ท่านกล่าวว่า...เหม็นกลิ่นคนโกง อย่ายกมือไหว้คนโกง ท่านย้ำ จะไม่ทนแล้วกับพวกขี้โกง ท่านเกลียดคนโกงที่สุด ท่านแนะชี้หน้าต่อว่า “รวยแล้วยังโกง” ท่านเสนอตั้งศาลพิเศษแบบทหารม้า “เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์” 2 ก.พ. 2558
นี่คือคนดี คนกล้าระดับพรีเมียมที่...ยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนเป็นตัวอย่างที่ดีที่ควรยกย่อง และปฏิบัติตาม
ดูอีกตัวอย่าง...
“ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัว เป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์”
นี่คือ...อนุศาสน์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ผองผู้เห็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน น้อมนำมาปฏิบัติอย่างสืบสานขานต่อ ตราบเท่าทุกวันนี้
ดูตัวอย่างสุดท้าย...
“โยม ไม่ต้องมาบริจาคเงินให้วัด โยมเอาเงินไปดูแลพ่อแม่ ได้บุญมากกว่าเอามาให้วัดโยม อย่าเอาไฟฟ้าเข้าวัด เพราะจะทำให้วัดต้องมีค่าใช้จ่าย พระไม่มีรายได้ อยู่โดยไม่มีไฟฟ้าดีกว่า โยมมาที่วัดขออย่าอึกทึกเสียงดัง มาอยู่วัดให้ทำสมาธิฝึกจิต ได้บุญมากกว่ามานั่งกราบพระน่ะ”
นี่คือเสียงเทศน์ เสียงบอก เสียงสอนจากหลวงปู่ทุย (พระอาจารย์ปรีดา ฉนฺทกโร) วัดป่าดานวิเวก (วัดดงศรีชมพู) อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ
พระสมัยนี้ (ส่วนมาก) ชอบพูดว่า อาตมาเป็นแค่สมมติสงฆ์ ไม่ใช่อริยสงฆ์ ย่อมมีกิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดา จะสิ้นกิเลสได้อย่างไร ไม่ใช่พระอรหันต์
หลวงพี่ หลวงพ่อ หลวงปู่ ก็พูดถูก แม้ท่านจะไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านก็น่าจะเอาอย่างพระอรหันต์บ้าง ทำไมต้องมาเอาอย่างฆราวาสผู้มากด้วยกิเลส โยมมีมือถือธรรมดา อาตมาต้องไอโฟน โยมนั่งเก๋งธรรมดา อาตมาต้องเบนซ์ป้ายแดง มันจึงจะสมฐานะ ฯลฯ
ดูอย่างหลวงปู่ทุยบ้าง ท่านเป็นพระธรรมดา คงไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ท่านก็เอาอย่างพระอรหันต์ เลยกลายเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ใครๆ ก็อยากดูอยากเห็น เลยเกิดศรัทธาด้วยปัญญา ปฏิบัติตามท่านใจเลยว่าง จึงปล่อยวางได้ เบาสบาย เป็นพุทธแท้ ไม่ใช่พุทธพาณิชย์
ตัวอย่างดีๆ ที่ยกมา คือผลของผู้เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ซึ่งมีเหตุผลอยู่ที่ “ใจใส ไม่ขุ่นมัว” นั่นแล จึงเห็นความจริงแท้ของสรรพสิ่ง
อยากรู้ต้องหา
ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ใครๆ ก็แสวงหา หาอะไร หาเงินหาทอง หาของอยู่กิน หาวิชาความรู้ หาคุณค่าของชีวิต หาคู่สร้างคู่สม หารัฐบาลที่ดีมีอุดมการณ์ หาจนกว่าชีวิตจะหาไม่
สมัยก่อนอยากรู้อะไร ต้องหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ แล้วก็จะได้รับคำตอบตามต้องการ ปัจจุบันพ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า “อยากรู้อะไรต้องหาเอง” เครื่องมือหาความรู้ยุคสังคมก้มหน้ามีมากมาย ห้องสมุดหนังสือกำลังจะถูกลืม สิ่งที่มาแทนที่จนเป็นกระแสครองโลก คือคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ สมาร์ทโฟน ฯลฯ
มีสมาร์ทโฟนคุณภาพดีสักเครื่อง ก็พร้อมที่จะหาสิ่งต่างๆ ที่อยากรู้ และเก็บข้อมูลหลักฐาน ทั้งภาพ เสียง ความบันเทิง และอื่นๆ อีกมากมายอย่างน่าอัศจรรย์
โลกไซเบอร์ (Cyber) เลยกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง ที่ซ้อนกันอยู่กับโลกมนุษย์ (Earth)
การสื่อสารรวดเร็วและไร้พรมแดน นักข่าวพลเมืองหรือนักข่าวประชาชน จะมีอยู่ทั่วไป พร้อมเสนอข่าวด้วยใจรักแบบจิตอาสาอย่างฉับไว นักข่าวอาชีพที่ไร้อุดมการณ์ ชอบยืนอยู่กับผลประโยชน์นายทุนสามานย์ระวังจะถูกลืม
ผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองและข้าราชการรับใช้ที่สมคบกันกินบ้านผลาญเมืองอย่างเหินเกริม เห็นประชาชนยังกินหญ้าอยู่ จะทำอะไรก็ได้ คนทำอะไรก็ได้ก็จริง สมาร์ทโฟนที่มีอยู่กับทุกคน ก็ทำอะไรคุณได้เช่นกัน
เป็นยุคที่มีการตอบโต้กันรวดเร็วยิ่งยวด ทั้งจริง ทั้งปลอม ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งมีสาระแบะไร้สาระ ความรู้ต่างๆ หาได้ในชั่วพริบตาเดียว
อยากพบต้องมา
“บวกควาย” (ภาษาอีสาน) คือบ่อน้ำเล็กๆ ที่ควายลงไปนอนแช่ได้ 2-3 ตัว อีสานยามแล้งก็ร้อนแทบตับแตก ร้อนเหลือแดด แผดละลาย ทุกสิ่งวอดวาย แม้หญ้าและน้ำที่ควายกินก็ไม่มี
ควายที่ทนไม่ไหว ก็ไปหาบวกหรือมาหาบวก แล้วก็นอนแช่น้ำขุ่นๆ แก้ร้อนประทังชีวิตไปตามยถากรรม
“บวกควาย ไม่เคยไปหาควาย มีแต่ควายมาหาบวก” เป็นความจริงธรรมดาๆ ที่ไม่น่าสนใจอะไร
แต่คนชอบ “อ่าน คิด เขียน” มองอะไรหลายด้านหรือหลายมิติ จึงมองเห็น “บวกควาย” เป็น “อาจารย์” (ขอโทษ คนติดชื่อ ติดตำแหน่ง มิมีเจตนาจะลบหลู่ใดๆ สรรพสิ่งทั้งหลายต่างก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น)
ส่วนควายเป็นเหมือนศิษย์ผู้ใฝ่รู้ จึงมาเพื่อพบเพื่อเห็นอาจารย์ แค่พบแค่เห็นยังไม่สอนอะไรก็พอใจแล้ว
ควายเมื่อพบบวกก็นอนแช่ ได้รับความเย็นสบายหายร้อน มีความสุขไปวันๆ
ศิษย์เมื่อพบอาจารย์ ก็ชื่นใจ อาจารย์สั่งให้ทำอะไรก็ทำ เป็นการเรียนรู้ที่อบอุ่น มีครูอาจารย์คอยดูแล
หลวงพ่อหลวงปู่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะอยู่ห่างไกลในป่าเขา ลำบากอย่างไร ญาติโยมที่ศรัทธาก็มาหา อยากพบอยากเห็น อยากกราบไหว้บูชา อยากทำบุญสุนทานด้วย ทำแล้วสบายใจปลื้มปีติยินดี
“อาจารย์ย่อมไม่แสวงหาศิษย์ แต่ศิษย์ย่อมแสวงหาอาจารย์” ก็ยังเป็นความจริงตลอดมา ปัจจุบันอาจจะสวนกลับว่า ไม่จริง เพราะทุกวันนี้ครูอาจารย์ต่างแสวงหาศิษย์ มิเช่นนั้นจะไม่มีใครมาเรียนด้วย
ถ้าสถานศึกษามีคุณภาพ ครูผู้บริหารเห็นประโยชน์ตน และประโยชน์ส่วนรวมจริงๆ แล้ว ใครๆ ก็อยากมาเรียนมาเป็นศิษย์ จึงต้องสอบแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงจะได้เป็นศิษย์ของอาจารย์
เมื่อได้เป็นศิษย์แล้ว ก็มองเห็นอนาคต มีความรู้จริง จบแล้วมีงานดีๆ และมั่นคงทำ จึงมีความสุขเย็นสบายเหมือนกับควายนอนบวกนั่นแล
อีกมิติ คำว่า บวก (Positive) หมายถึงดี หมายถึงรู้มาก คำว่า ลบ (Negative) หมายถึงไม่ดี ความรู้น้อย ศิษย์มาหาอาจารย์เพื่อจะเปลี่ยนพฤติกรรมจากลบให้เป็นบวก แต่บวกกับลบแม้จะค้านกันอยู่ แต่ก็อยู่ด้วยกัน จึงจะมีชีวิตชีวา ปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างอยู่ จืดชืด ตายด้าน
อยากบ้าต้องคิด
แถวที่สี่นี้ อย่าเพิ่งตกใจ อย่าด่วนสรุป ความจริงคนเราก็บ้าด้วยกันทั้งนั้นแหละ เพียงแต่บ้าเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง ผมไม่ได้ว่า พจนานุกรมฯ ให้นิยามไว้ดังนี้...
บ้า, วิกลจริต, สติฟั่นเฟือน, หลงใหลคลั่งไคล้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง, มัวเมาลุ่มหลง เช่น บ้าแต่งตัว บ้าอำนาจ บ้ามวย เรียกอาการของสัตว์บางชนิด เช่น หมาที่เป็นโรคกลัวน้ำว่า หมาบ้า, ชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อ้ายบ้า หรือพวก ก็เรียก
บ้าๆ แผลงๆ คำพูดแก้เกี้ยวกลบเกลื่อนความอาย หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสม ไม่เข้าที เช่น พูดบ้าๆ เล่นบ้าๆ
บ้ากาม-มีความหื่นกระหายทางกามคุณผิดปกติมนุษย์
บ้าคลั่ง-มีอาการคลุ้มคลั่งเพราะเสียจริต, โดยปริยายหมายถึงกระทำด้วยอาการรุนแรง เช่น คลื่นโถมซัดอย่างบ้าคลั่ง
บ้าจี้-อาการที่พูดหรือแสดงโดยขาดสติเมื่อถูกทำให้ตกใจ, โดยปริยายหมายถึง ทำตามโดยไม่ไตร่ตรองเมื่อถูกยุหรือแนะ, เรียกอาการที่ดิ้นดุกดิกและหัวเราะเมื่อถูกผู้อื่นแกล้งเอานิ้วจี้เอวหรือซอกแขน เป็นต้น
บ้าดีเดือด-มุทะลุ
บ้าน้ำลาย-พูดพล่าม สนุกที่จะพูดโดยไม่สนใจคนฟัง
บ้าๆ บอๆ-สติฟั่นเฟือนบางขณะ, มีอาการคลุ้มคลั่ง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
บ้าบอคอแตก-บ้าๆ, ไม่เป็นแก่นสาร, ไร้สาระ
บ้าบิ่น-มุทะลุเสี่ยงตายโดยขาดสติ
บ้าผู้หญิง-หลงใหลคลั่งไคล้ในสติเกินขนาด
บ้าไมค์-ชอบพูดผ่านไมโครโฟนในที่สาธารณะ เมื่อได้โอกาสถือ
ไมโครโฟนแล้วพูดไม่ยอมหยุด
บ้ายศ-เห่อยศถาบรรดาศักดิ์
บ้ายอ-ชอบให้คนเยินยอสรรเสริญ, หลงคำที่เขายกยอปอปั้น
บ้าระห่ำ-มุทะลุดุดัน, ทะลึ่งตึงตัง
บ้าลำโพง-เสียสติเพราะกินเมล็ดลำโพง, โดยปริยายหมายถึง พูดโผงผาง พลุ่มพล่าม หรือแสดงกิริยาโมโหโกรธา
บ้าเลือด-เห็นเลือดแล้วบันดาลโทสะจนต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย
บ้าสมบัติ-ที่เห็นอะไรเป็นสมบัติมีค่าไปหมด, สะสมสิ่งของต่างๆ ไว้มากจนเกินความจำเป็น
บ้าหลัง-เป็นบ้าเพ้อเจ้อไป
บ้าหอบฟาง-บ้าสมบัติ, ชอบหอบหิ้วสิ่งของพะรุงพะรัง
บ้าห้าร้อยจำพวก-บ้าหลากหลายประเภท
บ้าเห่อ-ชอบอวดของที่ได้มาใหม่, เห่อตามสมัยนิยม
บ้าอำนาจ-ชอบแสดงอำนาจ, ใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต
นิยามของบ้าตามที่ยกมา ใครเข้าข่ายบ้าแบบไหน ก็ดูเอาเอง
ผมไม่เข้าข่ายสักอย่าง แต่ผมก็บ้าอีกแบบหนึ่งคือ “บ้าอ่าน บ้าคิด บ้าเขียน บ้าดู” คงเลิกยาก เพราะมันกลายเป็นนิสัยถาวรไปเสียแล้ว
หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ท่านสอนว่า...
พูดมาก เสียมาก
พูดน้อย เสียน้อย
ไม่พูด ไม่เสีย
นิ่งเสีย โพธิสัตว์
ผมขออนุญาตเลียนแบบหลวงปู่สักเล็กน้อย ดังนี้...
คิดมาก บ้ามาก
คิดน้อย บ้าน้อย
ไม่คิด ไม่บ้า
หยุดนิ่ง ว่างวาง
ใจคือผู้นึกคิด ใจหรือคิดคือต้นเหตุของการพูดและการทำ เขียนอย่างนี้คงเข้าใจยาก ต้องอาศัยท่านผู้รู้ที่ตื่นรู้อรรถาธิบาย
ท่านโพธิธรรม สอนว่า...อย่ายึดติดกับถ้อยคำ หากในหัวของท่านไม่มีถ้อยคำ ในความเงียบนั่นแหละ คือพระเจ้า คือความจริง คือนิพพาน
ท่านโอโช อธิบายต่อ...ในช่วงขณะที่ถ้อยคำล่วงล้ำเข้ามา ท่านไม่ได้เป็นตัวท่านเองอีกต่อไป ตัวท่านได้อันตรธานไปแล้ว ถ้อยคำนำท่านไปสู่การเดินทาง ที่ห่างตัวท่านไปทุกที จริงๆ แล้วท่านไม่ได้ไปไหนหรอก ท่านเพียงแต่ฝันไปเท่านั้น ตัวท่านยังคงอยู่ที่นั่น เพียงแต่ท่านอาจหลับใหลและฝันไปเรื่อย ร้อยแปดพันเก้าเรื่อง
“อยากเห็นต้องดู
อยากรู้ต้องหา
อยากพบต้องมา
อยากบ้าต้องคิด”
ท่านเชอเกียม ตรุงปะ ได้อธิบายถึง “ปรีชาญาณบ้า” ไว้ว่า... “คือสภาวะอันบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาของดวงจิต ซึ่งกอปรไปด้วยคุณลักษณ์ของยามเช้า สดชื่น เจิดจรัส และตื่นรู้อย่างหมดจด” เป็นการเดินทาง-ทางจิตวิญญาณ อันน่าพิศวง
โอ...ปัญญาเป็นดวงชวาลาในโลก ทำให้เห็น “หลับยืน-ตื่นรู้” เป็นสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน หรือสองด้านของชีวิตที่เราต้องดูต้องพินิจตลอดเวลา เพราะมันคือวิหารธรรม หรือเครื่องอยู่ของเรานั่นเอง