xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับสัญญาณระบอบทักษิณ ประกาศศึกกับใคร จนลุงป้อมก็เอาไม่อยู่ ลุงตู่ก็ต้องฟัง “ป๋า”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีมติถอดถอน “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี น้องสาวคนสวยของ “นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องเรื่องเดียวกันในคดีอาญา สถานการณ์การเมืองไทยที่ตกอยู่ในภาวะ “แกล้งตาย” พักใหญ่ก็กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

และร้อนแรงถึงขั้นที่สามารถใช้คำว่า “ติดดาบปลายปืน” เข้าใส่กันทั้งสองฝั่งเลยทีเดียว

ฝั่งเครือข่ายระบอบทักษิณเล่นเกมแรงต่อเนื่องด้วย “หมัดชุด 3 หมัด” ติดต่อกัน ซึ่งมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่าต้องการ “ท้ารบ” กับกลุ่มที่พวกเขาเรียกว่า “อำมาตย์” โดยตรง

หมัดแรกของระบอบทักษิณก็คือ การที่ นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ามา “เผือก” เรื่องที่นางสาวยิ่งลักษณ์ถูกสนช.ลงมติถอดถอน และเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกตามยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ที่ระบอบทักษิณใช้มาอย่างต่อเนื่อง

หมัดที่สองของระบอบทักษิณก็คือ เหตุระเบิดบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสยามสแควร์หน้าห้างสยามพารากอนใจกลางเมืองกรุง เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 ก.พ. 2558 ที่ผ่านมา เพื่อหยามหยันว่า “กฎหมายอัยการศึก” มิได้มีความหมายในสายตาของพวกเขา และ “กองกำลังชุดดำ” ก็พร้อมจะออกปฏิบัติการทุกเมื่อที่ได้รับคำสั่ง

และหมัดที่สามก็คือ การจัดทำและเผยแพร่ แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 ปลอม

โดยเฉพาะหมัดที่สามคือแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมนั้น ถือเป็นหมัดที่พิสูจน์ชัดว่า ระบอบทักษิณคิดอย่างไร เพราะบัดนี้เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่าตัวการสำคัญที่เป็นผู้เผยแพร่ก็คือ “นายกฤษณ์ บุดดีจีน” ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงระดับ แกนนำ นปช.ของจังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่าเป็นการส่งสาส์นท้ารบ “อำมาตย์” โดยตรง มิใช่ท้ารบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และมิใช่ท้ารบ “มิสเตอร์ปรองดอง” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ที่สำคัญทั้ง 3 หมัดต้องการสำแดงให้เห็นว่า สรรพกำลังของพวกเขามิได้ลดน้อยถอยลง หากแต่อยู่ในภาวะแกล้งตาย และพร้อมที่จะกลับมาเปิดศึกอีกครั้งในทุกรูปแบบ

ขณะฝั่งอำมาตย์ก็ส่งสัญญาณเต็มทุกเครือข่ายเพื่อต่อกรด้วยความหนักหน่วงไม่แพ้กันในทุกช่องทาง โดยเฉพาะสัญญาณจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่กล่าวได้ว่าเต็มชัดทุกเครือข่าย

ยิ่งถ้าหากติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ห้วงเวลานี้ยิ่งเห็นได้ชัด

29 มกราคม 2558 ที่สโมสรทหารบก เทเวศร์ พล.อ.เปรมได้ไปเป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสานใจไทยสู่ใต้” พิเศษ รุ่น 1 หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรม นำพาสันติสุขสู่แดนใต้ และได้กล่าวข้อความสำคัญที่สะท้านสะเทือนว่า “เราเป็นเจ้าของประเทศนี้ ประเทศเป็นของพวกเราที่เป็นคนไทย ไม่ใช่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.”

หากพิจารณาเพียงผิวเผินคำพูดของ พล.อ.เปรมอาจจะไม่มีนัยอะไร เพราะเป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างให้เยาวชนที่เข้าร่วมการอบรมเห็นว่า ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน มิใช่เป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องช่วยกันปกป้องคนละไม้คนละมือ

ทว่า คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมอยู่ๆ พล.อ.เปรมถึงเจตนาใช้คำนี้ ทำไมอยู่ๆ พล.อ.เปรมถึงพูดว่า ประเทศไทยไม่ใช่ของ พล.อ.ประยุทธ์ เสมือนหนึ่งว่า “อย่าฝากความหวังไว้ที่ พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว”

นอกจากนี้ ถัดจากนั้นไม่กี่วัน พล.อ.เปรมก็สร้างความสะท้านสะเทือนอีกครั้ง โดยเหตุเกิดในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ในการเป็นองค์ปาฐกในการแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “เกิดมาต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน” เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาป้องกันประเทศ(วปอ.สปท.) ครบรอบ 60 ปี

พล.อ.เปรมกล่าวเอาไว้ในตอนหนึ่งว่า....

“วันนี้ไม่มีกำหนดหัวข้อในการพูด แต่ได้มีการปรึกษาว่าจะขอพูดถึงเรื่องที่ผมชอบเรียกเสมอเรื่องการโกงชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรังเกียจที่สุด ผมคิดว่าชาติบ้านเมืองของเรามีปัญหา 2 ประการ คือ 1.ความยากจน ถือเป็นภาระของรัฐบาลที่ทำหน้าที่อยู่ และ 2.การโกงชาติ ซึ่งถือเป็นภาระของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันคิดว่า จะทำอย่างไรกับปัญหาการโกงชาติ ให้คนไทยโกงชาติให้น้อยลง ทำอย่างไรเราถึงจะไปบอกให้คนโกงชาติให้ทำน้อยลง จึงอยากสอนให้คนรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน หากทำได้ ผมก็ชื่นใจว่าคนโกงชาติจะน้อยลง

“คนโกงไม่ว่าจะเป็นใครใหญ่โตแค่ไหน คุณไม่ต้องไปไหว้ ไม่ต้องไปแสดงความเคารพนับถือ ขอให้แสดงความขยะแขยงรังเกียจ พยายามอยู่ให้ไกลๆ รักษาระยะห่างจากคนโกง เพราะเชื้อโรคการโกงจะมาติดคุณ คนโกงกลิ่นไม่ดี ทำอย่างไรก็ได้ให้เขารู้ ชี้หน้าเขาว่า ผมรู้ว่าคุณรวย แต่รวย เพราะโกงเขามา”

ไม่เพียงแต่แสดงความรังเกียจคนโกงบ้านโกงเมืองเท่านั้น พล.อ.เปรมยังเสนอแนวคิดให้มีการตั้ง “ศาลฉ้อราษฎร์บังหลวง” เพื่อจัดการกับคนโกงโดยลดขั้นตอนการดำเนินคดีให้สั้นลงอีกด้วย

“เคยได้ยินคำเย้ยหยันประเทศไทยว่า ประเทศไทยมีดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวคือมีคนไทย เป็นคำประชดที่น่าอายมาก มีคนมาบอกว่ามีคนไทยขี้โกง คุณต้องละอาย พวกคนที่โกงทำให้ชาติไทย ทำให้พวกเราและผมขายหน้าไปด้วย ผมทนไม่ได้ และจะไม่ทน ถ้าคุณขายหน้าคนเดียวไม่เป็นไร แต่สิ่งที่คุณทำทำให้ชาติขายหน้าไปด้วย ซึ่งไม่ควรจะทน จะต้องช่วยกันหาทาง คนโกงต้องถูกดูหมิ่นดูแคลน และถือเป็นศัตรูแผ่นดินให้หมายตาหมายหัวและช่วยกันทำลายให้หายไปจากแผ่นดินนี้ หวังว่าคนไทยจะหายจากโรคขี้โกง จะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้าชาติอื่นอีกต่อไป ทั้งนี้จะต้องใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ผมเคยถามเรื่องคดีว่า ทำไมคดีโกงเรื่องนี้ไม่เสร็จเสียที เขาก็จะตอบว่าขั้นตอนเยอะ แต่ผมก็บอกว่าขั้นตอนสามารถแก้ได้ ประเทศไทยมีศาลมากมาย ทั้งศาลยุติธรรม ศาลภาษี ซึ่งถ้าเราจะตั้งศาลฉ้อราษฎร์บังหลวงดีหรือไม่ เอาคดีนี้ไปดำเนินการให้เร็ว เพื่อลดขั้นตอนให้เร็ว ช่วยกันตั้งดีหรือไม่

“การใช้กฎหมายกับคนโกงชาติ โกงแผ่นดิน ต้องใช้ในลักษณะหลักนิยมของทหารม้า ที่บอกว่ารวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด ผมคิดว่าการเล่นงานคนโกงต้องใช้หลักการเหล่านี้ต้องเร็ว ลงโทษรุนแรง มีความเด็ดขาดในการปราบปราม เพื่อให้มีคนดีมากกว่าคนโกง คนไม่โกงในชาติบ้านเมืองมีเยอะ แต่ไม่ค่อยได้คิดหรือได้ทำ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก” พล.อ.เปรม กล่าว

แม้จะเป็นการพูดหลังจากที่มี สนช.ลงมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว แต่ก็เป็นคำพูดที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะแสดงให้เห็นว่า พล.อ.เปรมให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นพิเศษจนถึงขนาดเสนอแนวคิดให้มีการตั้งศาลเพื่อกำราบคนโกงบ้านโกงแผ่นดินโดยเฉพาะ

และไม่รู้ว่าเป็นเรื่องประจวบเหมาะหรืออย่างไร เพราะก่อนหน้าที่ พล.อ.เปรมจะกล่าวปาฐกถาเพียงแค่ 1 วัน คือเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2558 ที่ผ่านมา “ฟ้าก็ผ่า” ระบอบทักษิณด้วยการที่อัยการสูงสุดออกมาเปิดเผยว่า ได้มีการสั่งฟ้องคดีกุหลาบแก้วแล้ว ทั้งๆ ที่คดีนี้เงียบหายไปจากความทรงจำเพราะเกิดเรื่องมานานร่วม 10 ปี จนสังคมคิดไปว่าขาดอายุความไปแล้ว

นางสันทนี ดิษยบุตร รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการสั่งคดีที่ นายสุรินทร์ อุปพัทธกุล หรือ “ดาโต๊ะ สุรินทร์” กรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด และผู้ถือหุ้นชั้นที่ 3 ในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กรณีวันที่ 23 มกราคม 2549 ขายหุ้นให้กับกองทุนเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ มูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท ว่า นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งชี้ขาดเมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา ให้ฟ้องบริษัท แฟร์มอนท์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ต้องหาที่ 1 และ นายสุรินทร์ กรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัทกุหลาบแก้ว ผู้ต้องหาที่ 2 ในความผิด พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มาตรา 4 และ 36 เนื่องจากเห็นว่าผู้ต้องหาทั้งสองมีการถือหุ้นแทนต่างชาติ ซึ่งตามกฎหมายไม่อนุญาตให้ต่างด้าวถือหุ้นเกินร้อยละ 49

คดีนี้มีความสำคัญและมีนัยทางการเมืองอย่างไร โปรดฟังอีกครั้ง…

คดีกุหลาบแก้ว ถือเป็นหนึ่งในคดีสืบเนื่องการเทขายหุ้นชินคอร์ป ให้แก่กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ จนนำไปสู่คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท

และถ้าจะว่าไปแล้ว นี่ก็นับเป็นสัญญาณที่สองที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้จากหน่วยงานแห่งนี้ โดยสัญญาณแรกคือการที่อัยการสูงสุดตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่ สนช.จะลงมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ในคดีทุจริตรับจำนำข้าวว่า อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องในคดีอาญาหลังก่อนหน้านี้มีท่าทีและทิศทางตรงกันข้ามกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มา โดยตลอด จนเกิดวิวาทะกันมาแล้วตัดฉากกลับมาที่ พล.อ.เปรมอีกครั้ง

ถามว่า ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.เปรมมีความสำคัญอย่างไร ก็ต้องบอกว่าสำคัญยิ่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่ตกเป็นเป้าโจมตีจากกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเป็นขุมกำลังของระบอบทักษิณมาอย่างต่อเนื่องถึงขนาดบุกไปที่บ้านสี่เสาร์เทเวศร์มาแล้ว

ในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองเกิดภาวะวิกฤต จะสังเกตเห็นว่า พล.อ.เปรมได้ส่งสัญญาณออกมาอย่างต่อเนื่อง

หากยังจำกันได้ ในช่วงปี 2549 ก่อนการรัฐประหาร พล.อ.เปรม เดินสายไปตามหน่วยรบ และสถาบันการศึกษาทางทหารทุกเหล่าทัพ โดยสวมเครื่องแบบ “ทหารม้า” เต็มยศ เป็นทหารม้าที่ พล.อ.เปรมภาคภูมิใจ และหยิบยกมากล่าวอีกครั้งในการเสนอความเห็นจัดตั้งศาลฉ้อราษฎรบังหลวงว่า ต้องดำเนินการแบบทหารม้า คือรวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด

แต่วาทกรรมที่ลือลั่นที่สุดเห็นจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการบรรยายที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า อ.เขาชะโงก จ.นครนายก เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2549 ว่าด้วยเรื่อง “จ็อกกี้” อันลือลั่นสะท้านแผ่นดิน

“อยากจะเล่าให้ฟังตรงนี้ เปรียบเทียบให้ฟัง คนนี้เป็นทหารม้าถึงรู้เรื่องม้าดี รู้เรื่องการแข่งม้า ถ้าจะแข่งม้าก็เจ้าของม้าจะเริ่มมีคอกม้าก่อน คอกก็มีม้าหลายตัว 5 ตัว 10 ตัว 20 ตัวก็ได้ เจ้าของคอกก็เป็นเจ้าของม้า เวลาจะไปแข่ง เขาก็ไปเอาเด็กที่เราเรียกว่าจ็อกกี้ คือเด็กขี่ม้าไปจ้างให้เขามาขี่ม้า เขาจะขี่ม้า พอเสร็จจากการขี่ม้าเขาก็กลับไปทำงานอย่างอื่น วันนี้เขาขี่ม้าคอกนี้ วันพรุ่งนี้เขาก็ไปขี่ม้าอีกคอกหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นเจ้าของม้าหรอก เขาเป็นคนขี่ รัฐบาลก็เหมือนกับจ็อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร ไม่ใช่เจ้าของทหาร เจ้าของทหารคือชาติ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลเข้ามาดูแล แต่กำหนดใช้พวกเราตามที่ประกาศนโยบายไว้ต่อรัฐสภา เด็กขี่ม้าบางคนก็ขี่ดี ขี่เก่ง บางคนก็ขี่ไม่ดี ขี่ไม่เก่ง รัฐบาลก็เหมือนกัน บางรัฐบาลก็ทำงานดี ทำงานเก่ง บางรัฐบาลทำงานไม่ดี ไม่เก่งก็มี นี่เป็นเรื่องจริง ที่พูดนี่เพื่อให้นักเรียนเข้าใจว่าเราเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

ความเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้งของ พล.อ.เปรมเกิดขึ้นวันที่ 14 มีนาคม ที่ค่ายกฤษณ์สีวะรา จังหวัดทหารบกสกลนคร อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร ในปี 2557 ก่อนการรัฐประหารของ คสช.

โดยในช่วงที่พล.อ.เปรม ได้เดินมายังด้านหน้ารูปปั้นอนุสาวรียพร้อมกับวางพานพุ่มดอกไม้สด และพวงมาลัยที่อนุสาวรีย์ พล.อ.กฤษณ์ พล.อ.เปรม ชี้ให้พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 ดูพร้อมกล่าวขึ้นมาขณะเดินเยี่ยมชมอนุสาวรีย์รูปปั้นและอ่านข้อความอักษรบันทึกที่ฐานรูปปั้นอนุสาวรีย์ โดยกล่าวสั้นๆว่า “ตรงจุดนี้น่าจะให้ ผบ.ทบ.มาอ่านดูบ้างนะ”

ข้อความดังกล่าวเป็น คำพูดที่พล.อ.กฤษณ์เคยเอ่ยไว้กับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา และได้นำมาแกะสลักไว้ที่ใต้ฐานอนุสาวรีย์เอาไว้ว่า “ทหารเรายืนอยู่บนเกียรติอันสูงส่ง ที่ประชาชนคนไทยหวังเป็นที่พึ่งขั้นสุดท้ายของเขา”

ผบ.ทบ.ที่ พล.อ.กฤษณ์เอ่ยถึงก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งขณะนี้เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.

ด้วยเหตุดังกล่าว ปาฐกถาครั้งล่าสุดของ พล.อ.เปรมที่ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะเป็นการส่งสัญญาณที่ต้องถือว่าแรงและตรงไปตรงมาไม่แพ้ทุกครั้งที่ผ่านมาเช่นกัน

เมื่อสัญญาณจาก พล.อ.เปรมแรง สัญญาณจากฝั่งแดงก็ชัดว่ากำลังโจมตีใคร งานนี้หัวอกมิสเตอร์ปรองดองอย่าง พล.อ.ประวิตรและพล.อ.ประยุทธ์จึงบอบช้ำ ยิ่ง นัก แม้จะอยากปรองดองแค่ไหน ก็คงเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินชนิดที่ “ลุงป้อมก็เอาไม่อยู่ ลุงตู่ก็ต้องฟังป๋า”


พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
กำลังโหลดความคิดเห็น