วานนี้ (22ก.พ.) นายแก้วสรร อติโพธิ แกนนำกลุ่มไทยสปริง ได้วิจารณ์การร่างรัฐธรรมนูญ ของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ประเทศไทยมีสภาพเป็นไข้รุม เขียนรัฐธรรมนูญต้องมีเป้าหมาย เป็นไข้ต้องรักษา ความขัดแย้งต้องยุติ ประเทศจึงจะพ้นวิกฤต ตนฟังความเห็น นายบวรศักดิ์ ที่ดำริจะสร้างกลไกคณะกรรมการปฏิรูปและปรองดอง เพื่อเป็นคนกลาง ดึงคู่ขัดแย้งทางการเมืองให้มาหันหน้าเข้าหากัน เห็นว่าความขัดแย้ง หรือไข้รุม ที่เขาว่ามันเป็นแค่อาการของมะเร็ง ที่กำลังก่อตัวเท่านั้น ที่จริงมันต้องปราบเนื้อร้าย แล้วฟื้นฟูร่างกายขึ้นมา จึงจะรอดหายนะได้
"มะเร็งที่ว่านี้ อันที่จริงนายบวรศักดิ์ มีส่วนก่อขึ้นมาโดยตรงเลย ในคราวเป็นเลขาฯ และผลักดัน ร่าง รัฐธรรมนูญ ปี 40 ทุ่มเท วางกลไกให้พรรคการเมืองเข้มแข็งเหนือ ส.ส. และรัฐบาลเข้มแข็งเหนือฝ่ายค้าน จากนั้นจึงมาสร้างกลไกอิสระ คอยตรวจสอบ การใช้อำนาจของเสียงข้างมากด้วยมาตรการทางกฎหมาย อีกชั้นหนึ่ง กลไกอย่างนี้มันไปเป็นประกันการลงทุนทางการเมืองของนายทุน ที่จับมือกันทุ่มทุนเป็นพันล้าน สร้างเผด็จการพรรคการเมืองขึ้นมา จนกลายเป็นทรราชจากหีบเลือกตั้ง ที่แข็งขืนต่อกฎหมายตลอดเวลา เกิดผู้คนลุกฮือขึ้นสู้เป็นสองระลอก ทั้ง พันธมิตรฯ และ กปปส. แล้วจบด้วยคำสัญญาของ คสช. ในวันนี้ว่า จะคืนความสุขให้เราในที่สุด"
นายแก้วสรร ระบุอีกว่า ความคิด ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เผด็จการพรรคการเมือง นายทุนอัดฉีดลงไปในสังคมไทย ทำให้สลายตัวจนเสียไปทั้ง ภราดรภาพ ที่จะอยู่ด้วยกัน เสียทั้งความเสมอภาค ในการมีส่วนร่วม และแบ่งปันกัน และเสรีภาพ ในการสื่อสารถึงกัน จนมาถึงการข่มเหงรังแก ล่วงสิทธิพื้นฐานในความคิด ชีวิต ร่างกาย ของผู้อื่นในที่สุด หากไม่ขุดรากถอนโคน ทั้งความคิด และความเคลื่อนไหวของเผด็จการนี้ เลือกตั้งเมื่อไหร่ ก็เละอีก รุนแรงอีก โดยพรรคการเมือง ต้องไม่ใช่ลิ่มตอกประเทศให้แตกออกจากกัน เป็นภาคนั้นภาคนี้ ต้องไม่ใช่คลังสินค้าประชานิยม เอาเงินส่วนรวมมาแปลงเป็นสินบนทางการเมือง ให้ผู้คนในรูปต่างๆ จนประชาธิปไตยกลายเป็นการอุปถัมภ์อย่างเป็นระบบ และการเงินการคลังเสียหายเป็นล้านล้านบาท อย่างทุกวันนี้ ที่สำคัญจะต้องไม่จัดตั้งขบวนการมวลชน และใช้ตำรวจกับอันธพาล ทำร้ายฆ่าฟันผู้คนด้วย
"ทั้งหมดนี้ คือเผด็จการพรรคการเมืองที่ ดร.บวรศักดิ์ เขียนรัฐธรรมนูญปี 40 ประกันการลงทุนของพวกนายทุนสามานย์ไว้ พอปีศาจตัวนี้กำเริบขึ้นมา ในเสื้อคลุมประชาธิปไตย ก็อาละวาดทำประเทศเสียหายมาจนทุกวันนี้ แล้วปีนี้ คนฉลาดที่ผิดพลาดไปแล้วคนนี้ ก็มาเสนอหน้า จะเขียนรัฐธรรมนูญ"
นายแก้วสรร ยืนยันว่า เราต้องเห็นไปถึงเบื้องลึกของความแตกแยก ว่ามันไม่ใช่ความจงเกลียดจงชังระหว่างคนขาว คนดำ ระหว่างฮินดูกับมุสลิม ระหว่างไทยพุทธ กับไทยมุสลิม แต่มันมาจากความคิดความเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ไม่ถูกต้อง ในทศวรรษที่ผ่านมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องสนับสนุนคุ้มครองให้กลไกกฎหมายทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุด ต้องตีแผ่ กระจายข้อมูลความคิดความรู้เท่าทันเผด็จการนี้ ไปทั้งประเทศ แล้วจึงสร้างกฎหมายที่รัดกุม ไม่ให้เผด็จการนี้ก่อตัวขึ้นอีก ปรับปรุงทั้งระบบ พรรคการเมือง ระบบเลือกตั้ง ระบบรัฐบาล การใช้สื่อมวลชน หากรักษาได้ถึงสมมุติฐานตามนี้ อาการไข้ หรือความแตกแยกบนผิวพื้นจะลดลง คนเลวควรจะต้องคดีหมด ส่วนพรรคเพื่อไทย ก็จะกลับมาเข้าที่เข้าทางเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้ เพราะคนดีคนเก่งของเขา ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย
" คสช.ควรต้องยืนให้ชัด ว่ากำลังจะไล่เผด็จการออกจากประชาธิปไตย ซึ่งหนึ่งมาตรการสำคัญในนั้น ก็คือ การใช้กฎมายอย่างเฉียบขาด ทั่วถึง และฉับพลัน ไม่ใช่เอาแต่อ้าปากบอกผู้คน ให้ยึดถือกฎหมายกันเท่านั้น ยิ่งคดีคอร์รัปชัน ต้องสปีดสูงสุดเลย เพราะถ้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้ว พยานจะกลับคำ หรือหายหน้าไปหมด เหมือนหลายคดีสำคัญในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) พอ.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรีพยาน ก็กลับคำกันเป็นแถว ข้าราชการดีๆ เก่งๆ ที่มาช่วยงานคตส. พอกลับกรมกอง ก็โดนรังแกเหยียบย่ำ สิ้นอนาคตไปหลายคน ไม่มีใครช่วยอะไรได้ มันชัดเจนว่า บ้านเรานี้ ถ้าฝ่ายเผด็จการมีแรง กฎหมายก็หมดแรงทุกทีไป ปัจจุบันงานกฎหมายจัดการเผด็จการในยุค คสช. ก็ล้มเหลว ยืนดูปล่อยประชาชนกระเสือกกระสนอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น มันไปไหนไม่ได้ แน่นอน"
ดังนั้น คสช. ต้องประกาศภารกิจของตนว่า เป็นประชาธิปไตย เข้ามาขับไล่เผด็จการพรรคการเมืองออกจากระบบผู้แทนไทยให้ชัดเจนแต่แรก แล้วเชิญทูตทุกประเทศไปดูข้าวเน่า ตามโกดังทั่วประเทศ ไปเยี่ยมครอบครัวผู้เสียชีวิตทั่วประเทศ จัดการประชุมสัมมนานานาชาติ หัวข้อ "ความล่มสลายของประชาธิปไตย" ว่าด้วยเผด็จการจากหีบเลือกตั้ง มีสาระว่า เมื่อใดคนส่วนใหญ่ถูกทำให้เห็นว่าการปกครอง คือการส่งผู้แทนไปยักยอกประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของตนแล้ว ผู้คนในแผ่นดินจะแตกแยกเป็นเสี่ยง คนฉวยโอกาสจะขึ้นเป็นใหญ่ คนตลบตะแลง จะรุ่งเรือง อันธพาลจะกำเริบ ทำให้ชัดเจนเป็นที่เข้าใจเสียแต่แรก สถานการณ์สากลของไทยจะดีกว่านี้มาก
"มะเร็งที่ว่านี้ อันที่จริงนายบวรศักดิ์ มีส่วนก่อขึ้นมาโดยตรงเลย ในคราวเป็นเลขาฯ และผลักดัน ร่าง รัฐธรรมนูญ ปี 40 ทุ่มเท วางกลไกให้พรรคการเมืองเข้มแข็งเหนือ ส.ส. และรัฐบาลเข้มแข็งเหนือฝ่ายค้าน จากนั้นจึงมาสร้างกลไกอิสระ คอยตรวจสอบ การใช้อำนาจของเสียงข้างมากด้วยมาตรการทางกฎหมาย อีกชั้นหนึ่ง กลไกอย่างนี้มันไปเป็นประกันการลงทุนทางการเมืองของนายทุน ที่จับมือกันทุ่มทุนเป็นพันล้าน สร้างเผด็จการพรรคการเมืองขึ้นมา จนกลายเป็นทรราชจากหีบเลือกตั้ง ที่แข็งขืนต่อกฎหมายตลอดเวลา เกิดผู้คนลุกฮือขึ้นสู้เป็นสองระลอก ทั้ง พันธมิตรฯ และ กปปส. แล้วจบด้วยคำสัญญาของ คสช. ในวันนี้ว่า จะคืนความสุขให้เราในที่สุด"
นายแก้วสรร ระบุอีกว่า ความคิด ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เผด็จการพรรคการเมือง นายทุนอัดฉีดลงไปในสังคมไทย ทำให้สลายตัวจนเสียไปทั้ง ภราดรภาพ ที่จะอยู่ด้วยกัน เสียทั้งความเสมอภาค ในการมีส่วนร่วม และแบ่งปันกัน และเสรีภาพ ในการสื่อสารถึงกัน จนมาถึงการข่มเหงรังแก ล่วงสิทธิพื้นฐานในความคิด ชีวิต ร่างกาย ของผู้อื่นในที่สุด หากไม่ขุดรากถอนโคน ทั้งความคิด และความเคลื่อนไหวของเผด็จการนี้ เลือกตั้งเมื่อไหร่ ก็เละอีก รุนแรงอีก โดยพรรคการเมือง ต้องไม่ใช่ลิ่มตอกประเทศให้แตกออกจากกัน เป็นภาคนั้นภาคนี้ ต้องไม่ใช่คลังสินค้าประชานิยม เอาเงินส่วนรวมมาแปลงเป็นสินบนทางการเมือง ให้ผู้คนในรูปต่างๆ จนประชาธิปไตยกลายเป็นการอุปถัมภ์อย่างเป็นระบบ และการเงินการคลังเสียหายเป็นล้านล้านบาท อย่างทุกวันนี้ ที่สำคัญจะต้องไม่จัดตั้งขบวนการมวลชน และใช้ตำรวจกับอันธพาล ทำร้ายฆ่าฟันผู้คนด้วย
"ทั้งหมดนี้ คือเผด็จการพรรคการเมืองที่ ดร.บวรศักดิ์ เขียนรัฐธรรมนูญปี 40 ประกันการลงทุนของพวกนายทุนสามานย์ไว้ พอปีศาจตัวนี้กำเริบขึ้นมา ในเสื้อคลุมประชาธิปไตย ก็อาละวาดทำประเทศเสียหายมาจนทุกวันนี้ แล้วปีนี้ คนฉลาดที่ผิดพลาดไปแล้วคนนี้ ก็มาเสนอหน้า จะเขียนรัฐธรรมนูญ"
นายแก้วสรร ยืนยันว่า เราต้องเห็นไปถึงเบื้องลึกของความแตกแยก ว่ามันไม่ใช่ความจงเกลียดจงชังระหว่างคนขาว คนดำ ระหว่างฮินดูกับมุสลิม ระหว่างไทยพุทธ กับไทยมุสลิม แต่มันมาจากความคิดความเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ไม่ถูกต้อง ในทศวรรษที่ผ่านมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องสนับสนุนคุ้มครองให้กลไกกฎหมายทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุด ต้องตีแผ่ กระจายข้อมูลความคิดความรู้เท่าทันเผด็จการนี้ ไปทั้งประเทศ แล้วจึงสร้างกฎหมายที่รัดกุม ไม่ให้เผด็จการนี้ก่อตัวขึ้นอีก ปรับปรุงทั้งระบบ พรรคการเมือง ระบบเลือกตั้ง ระบบรัฐบาล การใช้สื่อมวลชน หากรักษาได้ถึงสมมุติฐานตามนี้ อาการไข้ หรือความแตกแยกบนผิวพื้นจะลดลง คนเลวควรจะต้องคดีหมด ส่วนพรรคเพื่อไทย ก็จะกลับมาเข้าที่เข้าทางเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้ เพราะคนดีคนเก่งของเขา ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย
" คสช.ควรต้องยืนให้ชัด ว่ากำลังจะไล่เผด็จการออกจากประชาธิปไตย ซึ่งหนึ่งมาตรการสำคัญในนั้น ก็คือ การใช้กฎมายอย่างเฉียบขาด ทั่วถึง และฉับพลัน ไม่ใช่เอาแต่อ้าปากบอกผู้คน ให้ยึดถือกฎหมายกันเท่านั้น ยิ่งคดีคอร์รัปชัน ต้องสปีดสูงสุดเลย เพราะถ้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้ว พยานจะกลับคำ หรือหายหน้าไปหมด เหมือนหลายคดีสำคัญในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) พอ.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรีพยาน ก็กลับคำกันเป็นแถว ข้าราชการดีๆ เก่งๆ ที่มาช่วยงานคตส. พอกลับกรมกอง ก็โดนรังแกเหยียบย่ำ สิ้นอนาคตไปหลายคน ไม่มีใครช่วยอะไรได้ มันชัดเจนว่า บ้านเรานี้ ถ้าฝ่ายเผด็จการมีแรง กฎหมายก็หมดแรงทุกทีไป ปัจจุบันงานกฎหมายจัดการเผด็จการในยุค คสช. ก็ล้มเหลว ยืนดูปล่อยประชาชนกระเสือกกระสนอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น มันไปไหนไม่ได้ แน่นอน"
ดังนั้น คสช. ต้องประกาศภารกิจของตนว่า เป็นประชาธิปไตย เข้ามาขับไล่เผด็จการพรรคการเมืองออกจากระบบผู้แทนไทยให้ชัดเจนแต่แรก แล้วเชิญทูตทุกประเทศไปดูข้าวเน่า ตามโกดังทั่วประเทศ ไปเยี่ยมครอบครัวผู้เสียชีวิตทั่วประเทศ จัดการประชุมสัมมนานานาชาติ หัวข้อ "ความล่มสลายของประชาธิปไตย" ว่าด้วยเผด็จการจากหีบเลือกตั้ง มีสาระว่า เมื่อใดคนส่วนใหญ่ถูกทำให้เห็นว่าการปกครอง คือการส่งผู้แทนไปยักยอกประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของตนแล้ว ผู้คนในแผ่นดินจะแตกแยกเป็นเสี่ยง คนฉวยโอกาสจะขึ้นเป็นใหญ่ คนตลบตะแลง จะรุ่งเรือง อันธพาลจะกำเริบ ทำให้ชัดเจนเป็นที่เข้าใจเสียแต่แรก สถานการณ์สากลของไทยจะดีกว่านี้มาก