เมื่อเวลา 10.00น. วานนี้ (19ม.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. เป็นประธานการประชุมกกต.นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาข้อเสนอกกต. ที่จะเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของกกต. ต่อการควบคุมและการจัดการเลือกตั้ง เกี่ยวกับสภาพปัญหาแนวทางแก้ไขการจัดการเลือกตั้งของประเทศไทย ต่อคณะกรรมาธิการพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 8 ของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบเสนอรายงานฉบับดังกล่าว เพื่อส่งให้กมธ.ยกร่างฯ ในวันที่ 22 ม.ค.นี้ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีสาระสำคัญใน 2 ประเด็นหลัก คือ
1. มีการเปรียบเทียบการทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งระหว่างกกต. กับส่วนราชการอย่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ ได้พูดถึงข้อดีข้อเสีย ถ้ากกต.จัดเลือกตั้ง จะมีกกต.จังหวัด ผอ.เขต ผอ.หน่วย กรรมการประจำหน่วย ในการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง มีหน่วยงานเอกชนเข้าร่วมตรวจสอบ ไม่ใช่มีเฉพาะข้าราชการเท่านั้น เช่น กรรมการประจำหน่วย จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาทำหน้าที่เพื่อตรวจสอบการทำงานของกกต.อีกขั้นหนึ่ง หากให้ มหาดไทยและกระทรวงศึกษาฯ จัดการเลือกตั้ง จะมีปลัดกระทรวงมอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อสั่งการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จัดการเลือกตั้ง สายบังคับบัญชามาจากส่วนกลาง จากหน่วยราชการทั้งหมด การเข้ามามีส่วนร่วมของเอกชน ก็จะแตกต่างกัน
2. วิธีการจัดการเลือกตั้ง โดยพูดถึงกรอบระยะเวลาพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งขยายจาก 30 วัน เป็น 60 วัน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ นอกจากนี้ยังมีประเด็นรายละเอียดอื่นๆ อาทิ ขยายระยะเวลาลงคะแนนเลือกตั้ง จากเดิม 08.00-15.00 น.เป็น 08.00-16.00 น. รวมทั้งเสนอให้มีการเพิ่มวันเลือกตั้งล่วงหน้าจาก 1 วันเป็น 2 วัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ห้ามใช้งบประมาณของรัฐเพื่อขึ้นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ห้ามทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งมีผลย้อนหลัง 6 เดือนก่อนครบวาระ สำหรับนโยบายหาเสียงให้พรรคการเมือง กำหนดนโยบายในการหาเสียงให้ชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายที่เข้าข่ายเป็นนโยบายประชานิยม กำหนดให้ปลัดกระทรวงรักษาการแทนรัฐมนตรีในช่วงที่มี พ.ร.ฎ.ยุบสภา เป็นต้น
** เร่งพัฒนางานสืบสวน
นายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย เปิดเผยว่า สำนักงานกกต. ได้จัดการฝึกอบรม "หลักสูตรการสืบค้นข้อมูลทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และการรายงานข่าว" รุ่นที่ 1-4 ระหว่างวันที่ 19 ม.ค.- 27 มี.ค. 58 ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดย กกต.เล็งเห็นถึงความสำคัญของบทบาทในการปฏิบัติงานด้านการข่าว การสร้างและพัฒนาเครือข่ายข่าวภาคประชาชนในการตรวจสอบการแจ้งเหตุ แจ้งเบาะแส และการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งทุกระดับ
การจัดทำหลักสูตรดังกล่าวขึ้น เพื่อให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด และหัวหน้างานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานกกต. ทั้งส่วนกลางและประจำจังหวัด ให้มีความรู้ความเข้าใจระบบงานการข่าว การบริหารงานการข่าว การประสานงานข่าว การคัดเลือก และการพัฒนาแหล่งข่าว รวมทั้งการรายงานข่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานการสืบสวนสอบสวน ให้เท่าทันกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็น การพัฒนาระบบการทำงานในด้านการข่าว ของสำนักงานกกต. ให้เป็นระบบสากล มีเอกภาพ และสามารถเชื่อมโยงประสานงานข่าวกับประชาคมข่าวกรองได้
ทั้งนี้ การเลือกตั้งในแต่ละครั้ง มีเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือ ระบบงานการข่าวและเครือข่ายข่าวที่ยังขาดประสิทธิภาพ ดังนั้น ควรจะต้องเพิ่มความรู้ ความชำนาญการด้านการรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์ เพื่อป้องปราม และสนับสนุนการสืบสวนสอบสวนและเครือข่าย ปฏิบัติงานด้านการข่าวอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง อันจะเป็นการช่วยส่งเสริมให้การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม อีกทั้งยังช่วยลดเรื่องคัดค้านการเลือกตั้ง ให้น้อยลงอีกด้วย
1. มีการเปรียบเทียบการทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งระหว่างกกต. กับส่วนราชการอย่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ ได้พูดถึงข้อดีข้อเสีย ถ้ากกต.จัดเลือกตั้ง จะมีกกต.จังหวัด ผอ.เขต ผอ.หน่วย กรรมการประจำหน่วย ในการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง มีหน่วยงานเอกชนเข้าร่วมตรวจสอบ ไม่ใช่มีเฉพาะข้าราชการเท่านั้น เช่น กรรมการประจำหน่วย จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาทำหน้าที่เพื่อตรวจสอบการทำงานของกกต.อีกขั้นหนึ่ง หากให้ มหาดไทยและกระทรวงศึกษาฯ จัดการเลือกตั้ง จะมีปลัดกระทรวงมอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อสั่งการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จัดการเลือกตั้ง สายบังคับบัญชามาจากส่วนกลาง จากหน่วยราชการทั้งหมด การเข้ามามีส่วนร่วมของเอกชน ก็จะแตกต่างกัน
2. วิธีการจัดการเลือกตั้ง โดยพูดถึงกรอบระยะเวลาพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งขยายจาก 30 วัน เป็น 60 วัน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ นอกจากนี้ยังมีประเด็นรายละเอียดอื่นๆ อาทิ ขยายระยะเวลาลงคะแนนเลือกตั้ง จากเดิม 08.00-15.00 น.เป็น 08.00-16.00 น. รวมทั้งเสนอให้มีการเพิ่มวันเลือกตั้งล่วงหน้าจาก 1 วันเป็น 2 วัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ห้ามใช้งบประมาณของรัฐเพื่อขึ้นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ห้ามทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งมีผลย้อนหลัง 6 เดือนก่อนครบวาระ สำหรับนโยบายหาเสียงให้พรรคการเมือง กำหนดนโยบายในการหาเสียงให้ชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายที่เข้าข่ายเป็นนโยบายประชานิยม กำหนดให้ปลัดกระทรวงรักษาการแทนรัฐมนตรีในช่วงที่มี พ.ร.ฎ.ยุบสภา เป็นต้น
** เร่งพัฒนางานสืบสวน
นายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย เปิดเผยว่า สำนักงานกกต. ได้จัดการฝึกอบรม "หลักสูตรการสืบค้นข้อมูลทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และการรายงานข่าว" รุ่นที่ 1-4 ระหว่างวันที่ 19 ม.ค.- 27 มี.ค. 58 ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดย กกต.เล็งเห็นถึงความสำคัญของบทบาทในการปฏิบัติงานด้านการข่าว การสร้างและพัฒนาเครือข่ายข่าวภาคประชาชนในการตรวจสอบการแจ้งเหตุ แจ้งเบาะแส และการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งทุกระดับ
การจัดทำหลักสูตรดังกล่าวขึ้น เพื่อให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด และหัวหน้างานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานกกต. ทั้งส่วนกลางและประจำจังหวัด ให้มีความรู้ความเข้าใจระบบงานการข่าว การบริหารงานการข่าว การประสานงานข่าว การคัดเลือก และการพัฒนาแหล่งข่าว รวมทั้งการรายงานข่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานการสืบสวนสอบสวน ให้เท่าทันกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็น การพัฒนาระบบการทำงานในด้านการข่าว ของสำนักงานกกต. ให้เป็นระบบสากล มีเอกภาพ และสามารถเชื่อมโยงประสานงานข่าวกับประชาคมข่าวกรองได้
ทั้งนี้ การเลือกตั้งในแต่ละครั้ง มีเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือ ระบบงานการข่าวและเครือข่ายข่าวที่ยังขาดประสิทธิภาพ ดังนั้น ควรจะต้องเพิ่มความรู้ ความชำนาญการด้านการรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์ เพื่อป้องปราม และสนับสนุนการสืบสวนสอบสวนและเครือข่าย ปฏิบัติงานด้านการข่าวอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง อันจะเป็นการช่วยส่งเสริมให้การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม อีกทั้งยังช่วยลดเรื่องคัดค้านการเลือกตั้ง ให้น้อยลงอีกด้วย
