คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------
จากวันที่ 22 พ.ค.ที่เกิดระเบิด “ไปป์บอมบ์” ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กลางกรุงเทพมหานคร จนถึงวันนี้ ฝุ่นควันแห่งข่าวสาร “ความสับสน” ที่ตลบอบอวลคงจะจางหายไปแล้วส่วนหนึ่ง ทั้ง คสช. รัฐบาล กองทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบในการคลี่คลายคดีคงจะตั้งหลักได้บ้างแล้ว และคงจะมองเห็น “ลางๆ” แล้วว่าระเบิดครั้งนี้มาจาก “ใคร” และต้องการ “สื่อ” ถึงอะไรกับ คสช.
แม้ว่า ณ วันนี้ทุกฝ่ายจะออกมายืนยันว่า ไปป์บอมบ์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ไอเอส” และ “บีอาร์เอ็น” เพราะวันนี้ คสช.ฟันธง หรือ “มีธง” แล้วว่าระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งที่เกี่ยวกับ “การเมือง” ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นที่จะสื่อให้สังคมเข้าใจว่า มาจาก “กลุ่มการเมือง” ที่เห็นต่างจาก คสช.
ในขณะที่กลุ่มการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับ คสช.ก็มองว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นทั้งที่หน้าโรงละครแห่งชาติ และที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มคนที่ต้องการ “อยู่ยาว” โดยไม่ต้องการให้มี “การเลือกตั้ง” ตามโรดแมป
ดังนั้น ถ้าระเบิดทั้ง 2 จุดในห้วงเวลาสัปดาห์เดียวที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ไม่ได้มาจากกลุ่มการเมืองที่เห็นต่างจาก คสช. และไม่พอใจ คสช. ต้องการที่จะสร้างสถานการณ์เพื่อดิสเครดิต คสช.และรัฐบาล รวมทั้งไม่ใช่เป็นการสร้างสถานการณ์ของ “กลุ่มอำนาจ” ที่ต้องการอยู่ยาว โดยยังจะไม่มีการเลือกตั้งตามโรดแมป “มือที่ 3” ที่เป็นผู้วางระเบิดตัวจริงก็ “ลอยตัว” ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น
แถมยังได้รับประโยชน์ไปแบบเต็มๆ นั่นคือ การสร้างความขัดแย้งทางการเมืองให้เกิดขึ้นภายในประเทศไทย ทำให้เกิด “หลงประเด็น” ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และทำให้ประเทศไทยถูกนานาชาติ “เพ่งเล็ง” ในเรื่องความเป็น “ประชาธิปไตย” อาจถึงขั้นไม่ต้องการสมาคมด้วยกับประเทศที่เป็น “เผด็จการ”
สิ่งที่ต้องมองให้ชัด และต้องหาเหตุผลมาเป็นปัจจัยเกื้อหนุนว่า กลุ่มการเมืองที่เป็นคู่ขัดแย้ง และเห็นต่างกับ คสช.เป็นผู้วางระเบิดคือ 3 ปีที่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศ คนกลุ่มนี้ยัง “มีศักยภาพ” ในการก่อเหตุจริงหรือ และหากจริง หลังจากก่อเหตุผ่านไปแล้วกว่า 1 สัปดาห์ ทำไมจึงยัง “จับกุมใครไม่ได้”
ส่วนการสร้างสถานการณ์โดยผู้มีอำนาจ เพื่อที่จะเลื่อนเลือกการเลือกตั้งนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ก็ออกมาตวาดว่า “ไม่มีใครบ้าขนาดนั้น”
ก็น่าจะเชื่อได้ว่า คสช.ไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะการที่จะเลื่อนโรดแมปของการเลือกตั้งให้ยาวออกไป ยังมีวิธีการอื่นๆ ทางกฎหมายอีกมากมายที่สามารถทำได้ และที่สำคัญอย่างยิ่งระเบิดที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นใครทำ ผู้ที่เสียหาย เสียหน้า เสียเกียรติ และเสียศักดิ์ศรี คือ รัฐบาล คือ คสช. คือ กองทัพ
และก็คือ “กลุ่ม 3 ป” และหนึ่ง “ผบ.ทบ.” ซึ่งรับผิดชอบในการบริหารประเทศ โดยที่ไม่สามารถป้องกันเหตุได้ และเหตุนั้นเกิดขึ้นถึงกลาง “เมืองหลวง” ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจรัฐ
เหลือกลุ่มสุดท้ายเพียงกลุ่มเดียวที่รัฐบาล และ คสช.พยายามที่จะ “ตัดออกจากวงจร” ของการก่อเหตุอย่างเร่งด่วน นั่นคือ “กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน” โดยเฉพาะ “บีอาร์เอ็น”
ทั้งที่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน วันนี้กลุ่มที่สามารถ “ก่อการร้ายในเมืองหลวงของประเทศ” ได้คือ “บีอาร์เอ็น” เนื่องจากนอกจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว กรุงเทพฯ คือพื้นที่ที่มีการจัดตั้งเครือข่ายของขบวนการแบ่งแยกดินแดนนี้ที่ดีที่สุด
สังเกตได้ว่า ทุกครั้งที่มีการก่อเหตุร้าย ตำรวจสามารถที่จะควบคุมสมาชิกของบีอาร์เอ็นได้ในกรุงเทพฯ ซึ่งล่าสุด พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ก็สามารถจับกุม “แนวร่วม” ของบีอาร์เอ็นได้จำนวนหนึ่งในขณะที่มีการเตรียมการเพื่อก่อการร้ายในกรุงเทพฯ
สิ่งที่เป็นข้อสังเกตในการวางระเบิดทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งครั้งที่หน้ากองสลาก “วิธีการผลิตระเบิดไปป์บอมบ์” เป็นแบบเดียวกัน ต่างกันในเรื่องของรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น
ปฏิบัติการที่ใช้ “คล้ายคลึง” กับการปฏิบัติการของสมาชิกบีอาร์เอ็น นั่นคือ ระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติเป็น “ระเบิดลวง” ส่วนที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เป็น “ระเบิดจริง” ซึ่งเป็นลักษณะ “เท็จๆๆ” แล้วก็ “จริง” และก็จะหยุดไป
สิ่งที่บีอาร์เอ็นต้องการคือ การทำลาย “อำนาจ” เพราะนั่นเป็นการทำลาย “ความเชื่อถือของรัฐ” ซึ่งทุกครั้งที่บีอาร์เอ็นก่อเหตุ ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือในภาคใต้ตอนบน และในพื้นที่อื่นๆ บีอาร์เอ็นต้องการสิ่งนี้
มีสิ่งที่น่าสังเกตหลังเกิดเหตุไปป์บอมบ์ในเมืองหลวงทั้ง 2 ครั้ง “ประชาคมข่าวกรอง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งทำงานด้าน “การข่าว” ทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในพื้นที่มาเลเซีย ต่างยืนยันข้อมูลที่ตรงกันว่า ระเบิดทั้ง 2 แห่ง เป็นฝีมือของบีอาร์เอ็น โดยมีการสั่งการจาก “ศูนย์การนำ” ในประเทศ มาเลเซีย
“ข่าวสาร” ดังกล่าวมีการรายงานไปยัง “ส่วนกลาง” แล้ว แต่กลับถูก “เก็บใส่ลิ้นชัก” ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียวคือ เป็นรายงานข้อมูลเชิงลึกที่ “สวนทาง” ต่อนโยบายของรัฐบาล
ถามต่อไปว่า การวางระเบิดทั้ง 2 ครั้งที่เมืองหลวงของประเทศไทย ถ้าเป็นฝีมือของบีอาร์เอ็นแล้ว ขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลุ่มนี้ต้องการอะไรจากรัฐบาล และ คสช.
สิ่งที่บีอาร์เอ็นต้องการคือ ประการแรก เพื่อเบี่ยงประเด็นในเรื่อง “คาร์บอมบ์ห้างบิ๊กซี” ที่ จ.ปัตตานี ด้วยเหตุผลคือ กองทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.เฉิมชัย สิทธิสารท ผบ.ทบ. เดินมา “ถูกทาง” แล้วกับการที่พุ่งเป้าไปยังบีอาร์เอ็น โดยเฉพาะกับผู้นำหมายเลข 1 “อับดุลเลาะ แวมะนอ”
อันทำให้หน่วยงานความมั่นคงทุกหน่าย และสื่อทุกสำนักต่างทำหน้าที่ในการ “เปิดโปง” เรื่องของบีอาร์เอ็นที่เป็น “องค์กรลับ” จนกำลังจะ “เสียลับ” ซึ่งเป็นสิ่งที่บีอาร์เอ็น “กลัว” อย่างที่สุด เพราะบีอาร์เอ็นยังไม่พร้อมที่จะเป็นองค์การที่เปิดเผย เช่น “พูโล” หรือขบวนการก่อการร้ายต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน
วันที่ “มวลชน” หรือสมาชิกของบีอาร์เอ็นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เข้มแข็งพอ บีอาร์เอ็นจะยังต้องการเป็นองค์กรลับต่อไป เพราะสิ่งที่บีอาร์เอ็นทำนอกจากฝ่ายรัฐจะเสียหายแล้ว “มุสลิม” ส่วนหนึ่งที่ไม่ใช่ “ผู้เห็นด้วย” กับบีอาร์เอ็นก็เสียหายด้วย
บีอาร์เอ็นจึงยังต้องเป็นองค์กรลับที่สร้าง “ความคลุมเครือ” ต่อไปจนกว่างานด้าน “การเมือง” หรือการสร้างมวลชนจะเข้มแข็งพอ
ประการต่อมา บีอาร์เอ็นรู้ว่ารัฐบาล และ คสช. “ไม่โง่พอ” ที่จะไม่รู้ว่า ระเบิดทั้ง 2 ครั้งเป็นฝีมือของบีอาร์เอ็น และก็เชื่อว่ารัฐบาลรู้ดีว่าระเบิดทั้ง 2 ลูกนั้น บีอาร์เอ็นต้องการ “สื่อถึงเรื่องอะไร” กับรัฐบาล และ คสช.
บีอาร์เอ็นต้องการสื่อโดยตรงกับรัฐบาล และ คสช.เรื่อง “การเจรจา” ตามกรอบ 3 ข้อที่เสนอโดยฝ่ายบีอาร์เอ็น แต่ไม่ใช่กรอบของ “การพูดคุยสันติสุข” ระหว่างรัฐบาลกับ “กลุ่มมาราปาตานี”
เพราะวันนี้บีอาร์เอ็นต้องเดินด้วย 2 ขาของตนเอง ขาหนึ่งคือ การใช้ “ความรุนแรง” อีกขาหนึ่งคือ “การเจรจา” เนื่องจากบีอาร์เอ็น “ถูกกดดัน” จากรัฐบาลมาเลเซียเพื่อให้ยอมเข้าสู่โต๊ะเจราจากับรัฐบาลไทย ซึ่งบีอาร์เอ็นก็มีการต่อรองกับรัฐบาลมาเลเซียด้วย นั่นคือต้องเป็นการเจราจาที่อยู่ภายใต้กรอบที่ถูกกำหนดขึ้นใหม่ เพื่อ “ยกระดับการเจรจา” ไปสู่ความเป็น “สากล”
อันเป็นสิ่งที่บีอาร์เอ็นต้องการให้พื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย” เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ “ติมอร์” กับ “อาเจะห์” เคยใช้กับประเทศอินโดนีเซีย และ “กลุ่มอาบูไซยาฟ” เคยใช้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์
แต่เอาเถอะ! เมื่อรัฐบาล และ คสช.เชื่อมั่นว่า ระเบิดทั้ง 2 ครั้งที่กรุงเทพฯ เป็นฝีมือของกลุ่มการเมือง ซึ่งก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า “กลุ่มไหน” เป็น “อดีตนายพล” หรือเป็น “ฮาร์คคอร์” ที่หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ก็ต้องให้เวลากองทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้สืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมผู้ต้องสงสัยต่อไป
คสช.อาจจะมี “ข้อมูลเด็ด” อยู่ในมือที่บอกกับประชาชนไม่ได้ แต่ก็เชื่อว่า คสช.น่าจะใช้เวลาไม่นานในการให้คำตอบที่ “เป็นหลักเป็นฐาน” เพื่อสาวไปถึง “ผู้ก่อเหตุ” และ “ผู้สั่งการ”
แต่ถ้าเป็นการ “เบี่ยงประเด็น” เพื่อโยนบาปให้แก่กลุ่มการเมือง ทั้งที่รู้ว่าผู้ก่อเหตุคือ บีอาร์เอ็น ด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการยกระดับของบีอาร์เอ็นว่า มีความสามารถที่จะก่อเหตุในเมืองหลวงได้ เพราะอาจจะสร้าง “ความตระหนก” แก่ประชาชน และสร้าง “ความเสื่อมเสีย” ให้แก่ผู้บริหารประเทศ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของการ “ปิดบัง” เพื่อมิให้ประชาชนรับรู้ถึงความจริงที่เกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นสิทธิของรัฐบาล และ คสช.
เพียงแต่ถ้าผู้ก่อเหตุเป็นบีอาร์เอ็นจริง และมีการพยายามทำให้เป็น “บีอาร์เอ็นปลอม” ด้วยการสร้างหลักฐานเท็จ เช่น “จดหมายน้อย” ขึ้นมาโดยใครก็ไม่รู้ เพื่อที่จะให้เห็นว่าระเบิดทั้ง 2 ครั้ง ไม่ใช่การกระทำของบีอาร์เอ็น นั่นก็เท่ากับว่า “เข้าทาง” ของบีอาร์เอ็นที่เป็นองค์กรลับ ซึ่งองค์กรแบบนี้จะไม่ออกมารับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองเป็นผู้กระทำอยู่แล้ว
แต่โดยในทางกลับกัน ถ้ามีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าระเบิดทั้ง 2 ครั้ง หรือที่ผ่านๆ มาอีกหลายครั้งคือฝีมือของ บีอาร์เอ็น การเปิดโปงแผนการของบีอาร์เอ็นต่อคนทั้งโลกน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาไฟใต้ที่เกิดขึ้น
เพราะกลุ่มไหนก็ตามถ้าชั่วร้ายขนาด “วางระเบิดในโรงพยาบาล” ได้ เชื่อเถอะไม่มีองค์กรไหนๆ ในโลกที่จะกล้า “ยืนข้าง” และให้การสนับสนุน มีแต่จะช่วยกันประณามเท่านั้น และนี่คือโอกาสใน “การทำลาย องค์กรลับ” แห่งนี้
เพราะสุดท้ายแล้วการที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถูกก่อวินาศกรรม ไม่ว่าจะโดยกลุ่มการเมืองที่เห็นต่าง และเป็นศัตรูกับรัฐบาล และ คสช. หรือเป็นฝีมือของบีอาร์เอ็น รัฐบาล และ คสช.ก็รับความ “เสียหน้า” ไปแบบเต็มๆ เช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่ากลุ่มไหนจะเป็นผู้ก่อเหตุ รัฐบาล และ คสช.ย่อม “หน้าแหก” พอๆ กันอยู่แล้ว
แต่ถ้าสุดท้ายหากฝ่ายที่ลงมือทำเป็นเพียง “กลุ่มโกตี๋” ซึ่งถูกรัฐบาลแ ละ คสช.ไล่ล่าจนไม่มีแผ่นดินอยู่ ไยไม่น่าหัวเราะเป็นอย่างยิ่งเล่า?!
แต่ถ้าการก่อเหตุครั้งนี้เป็นฝีมือของ “บีอาร์เอ็น” ในฐานะที่เป็น “องค์กรลับ” ที่สร้างความสูญเสียให้แก่ประเทศชาติมานานถึง 13 ปี รัฐบาลต้องใช้งบปราบปรามไปแล้วถึง 300,000 ล้านบาท เชื่อเถอะว่าไม่มีใครกล้าที่จะหัวเราะหรอก!!
เนื่องเพราะอย่างน้อยก็พอจะที่ “สมน้ำสมเนื้อ” กับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะการต่อสู้กับ “ศัตรูหมายเลข 1” อย่างบีอาร์เอ็นที่ถนัดในการก่อการร้าย นั่นคือเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว