xs
xsm
sm
md
lg

สรุป3กลุ่มส่วยป้ายโฆษณา แนะสตช.เยียวยากลุ่มไม่ผิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ความคืบหน้ากรณีส่วยป้ายโฆษณาจอแอลอีดี บนป้อมตำรวจทั่วกทม. ซึ่งมีตำรวจระดับผู้กำกับ รองผู้กำกับ และสารวัตร สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) หลายสิบนายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จนเป็นสาเหตุให้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ใช้ประกอบการเสนอโยกย้ายล้างบาง บช.น. ขณะที่กลุ่มผู้ที่ถูกผลกระทบในนาม“กลุ่มผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล”ก็ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น
เมื่อวานนี้ (13 ม.ค.) ได้มีการประชุมคณะกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว และได้สรุปรายละเอียดการติดตั้งป้ายโฆษณาบนป้อมตำรวจ แยกออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 บริษัทเอกชนที่ติดตั้งป้ายโฆษณาโดยไม่มีสัญญาใดๆกับ บช.น. แต่มีการติดต่อเพื่อขอติดตั้งป้ายโฆษณาบนป้อมตำรวจโดยตรง กับผู้กำกับการของสถานี หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับต่ำกว่า เช่น รอง ผกก. หรือ สารวัตร ซึ่งคณะกรรมการแจ้งว่า มีการให้ข้อมูลกับ บช.น.ในปัจจุบันว่า จ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกๆ สถานี ที่ทำการติดตั้งป้ายโฆษณาเป็นรายเดือน และได้มีการบันทึกการให้ข้อมูลดังกล่าวไว้ บางส่วนมีการลักลอบใช้ไฟฟ้า ของทางราชการ ไม่มีการชำระค่าภาษีป้าย อีกทั้งไม่มีการนำค่าตอบแทนส่งมอบให้กับ บช.น. และไม่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร กิจกรรม และ ภารกิจของบช.น. เพื่อประโยชน์ของทางราชการ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะแต่อย่างใด
"กรณีกลุ่มที่ 1 นี้ สรุปว่าเป็นการกระทำความผิดอย่างชัดเจน สมควรที่จะดำเนินการไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการ กรณีนี้ถือว่า เจ้าพนักงานตำรวจที่รับผิดชอบพื้นที่ และปล่อยปละละเลยก็สมควรถูกลงโทษ ผบช.น.ตั้งกรรมการสอบสวนเอาความผิด และโยกย้ายตำแหน่งก็เป็นการทำไปตามอำนาจหน้าที่อย่างถูกต้อง และตรงไปตรงมา จะไปกล่าวโทษผู้บังคับบัญชาไม่ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันได้มีการรื้อถอนป้ายโฆษณาของเอกชนกลุ่มนี้ไปแล้วกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ควรมีการดำเนินการตามกฎหมาย กับกลุ่มที่ติดตั้งป้ายในกรณีนี้ด้วย มิใช่แต่เพียงการปรับย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น" แหล่งข่าวระดับสูงใน บช.น. ระบุ
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่บริษัทเอกชนทำสัญญากับ บช.น. ตั้งแต่ปี 56 สมัย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ดำรงตำแหน่ง ผบช.น. จากแนวคิดที่ต้องการหาเงินสมทบเงินกองทุนช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิต และบาดเจ็บ จากการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ซึ่งมีการจัดตั้งมาตั้งแต่ปี 55 โดยทาง บช.น. เพื่อทดแทนการหารายได้กับหน่วยงานภาคเอกชน เหมือนกับ ผบช.น.ในอดีต เช่น การจัดกิจกรรมการกุศลแบบต่างๆ โดยเอกชนกลุ่มนี้ได้มีการมอบเงินค่าตอบแทนให้ แก่ บช.น. เพื่อสมทบกองทุนดังกล่าวเป็นรายเดือน ไม่มีการมอบเงินในลักษณะส่วย ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของสถานีที่มีการติดตั้งป้ายโฆษณา ตลอดจนขออนุญาตใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และยื่นเสียภาษีป้าย กับทางสำนักงานเขต รวมทั้งจัดสรรเวลาโฆษณาประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสาร ภารกิจ ตลอดจนกิจกรรมของ บช.น. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อประโยชน์ของหน่วยงานราชการ อาทิ รายงานสภาพการจราจร การเผยแพร่ปฏิทิน หมายจับ และการร่วมมือกับมูลนิธิกระจกเงา เผยแพร่ข้อมูลเด็กหาย เป็นต้น
สำหรับกลุ่มที่ 2 สรุปได้ว่า มีการทำบันทึกข้อตกลง และลงนามร่วมกันระหว่างเอกชนผู้ติดตั้งป้ายโฆษณากับบช.น. ซึ่งในประเด็นที่ว่า ผบช.น. มีอำนาจลงนามได้หรือไม่นั้น หากพิจารณาตามระเบียบ คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติราชการของผู้บัญชาการในฐานะอธิบดี หรือแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 ข้อ 4. ระบุว่า ผบช.น. มีอำนาจลงนามผูกพันในโครงการดังกล่าว ในฐานะอธิบดีหรือ แทน ผบ.ตร. แม้จะมีการดำเนินการไปโดยข้ามขั้นตอน ตามระเบียบข้อบังคับของกรมธนารักษ์ เช่น มิได้มีการขออนุญาตใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์ เนื่องจากข้อเท็จจริงในเวลาที่จัดทำบันทึกข้อตกลง ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า ป้อมตำรวจเป็นที่ราชพัสดุ หรือไม่ ซึ่งปัจจุบันกรมธนารักษ์เองก็ให้คำแนะนำมายัง สตช.ว่า สามารถดำเนินการในกรณีเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนป้อมตำรวจให้ถูกต้องตามระเบียบของกรมธนารักษ์ได้ โดยอาจมีการให้ชำระเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ ย้อนหลังกับกรมธนารักษ์ รวมถึงการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ ให้ถูกต้องตามระเบียบ ซึ่งการทำในลักษณะของการนำที่ราชพัสดุมาจัดหาประโยชน์เพื่อการจัดสวัสดิการเชิงธุรกิจร่วมกับเอกชน และหน่วยงานราชการที่เป็นผู้ดูแลพื้นที่นั้น ถือเป็นเรื่องปกติ กรณีนี้ จึงไม่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง การที่เจ้าพนักงานตำรวจในพื้นที่ถูกตั้งกรรมการสอบสวนจากกรณีการติดตั้งป้ายโฆษณาของกลุ่มนี้ ก.ตร. และ ผบ.ตร. ควรพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบ และควรให้ความเป็นธรรมกับเจ้า หน้าที่ตำรวจดังกล่าว เพราะดำเนินการไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ที่ได้สั่งการ
กลุ่มที่ 3 เป็นภาคเอกชนที่มีการสร้างป้อมให้กับเจ้าพนักงานตำรวจ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ เช่น โรงพยาบาล โรงแรม บริษัทเอกชน หรือห้างร้านในพื้นที่รับผิดชอบของสน. นั้นๆ ซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลาหลายสิบปี เมื่อสร้างป้อม และมอบให้กับทางราชการแล้ว ก็ขอติดตั้งป้ายโฆษณากิจการของตนเอง เป็นรูปแบบกล่องไฟขนาดเล็ก พร้อมทั้งบอกชื่อ และเบอร์โทรศัพท์ของสน. ไม่มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ตามที่กล่าวอ้าง อีกทั้งยังให้การสนับสนุนสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา ให้กับป้อมตำรวจ ที่ได้สร้างให้ด้วย
กรณีกลุ่มที่ 3 นี้ สรุปได้ว่า กระทำไปโดยสุจริตใจ เพราะที่ผ่านมาทาง สน.ไม่ได้รับงบประมาณในการจัดสร้าง ต้องอาศัยภาคเอกชน และมีการติดตั้งไว้ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบางรายจะเข้ามาดำรงตำแหน่ง เป็นผู้ให้การสนับสนุนหน่วยงานราชการ ทำประโยชน์ให้กับราชการ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีสถานีที่สำหรับปฏิบัติงานในหน้าที่ ซึ่งทางราชการมิได้จัดสรรงบประมาณมาสำหรับการก่อสร้างป้อมตำรวจ การที่ภาคเอกชนเหล่านี้ได้ให้การสนับสนุนจึงเกิดผลดีต่อ การปฏิบัติราชการ และเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ การก่อสร้างป้อมตำรวจ และยกให้กับ สน.นั้นๆ ได้ก่อสร้างมาเป็นระยะเวลานานแล้ว บางแห่งสร้างมา 20 –30 ปี เมื่อมีการสร้างแล้วยกให้กับทางราชการ ก็ขอติดตั้งป้ายโฆษณากิจกรรมของตนเองในฐานะผู้ให้การสนับสนุน
ดังนั้นการหยิบยกเอาการติดตั้งป้ายกรณีนี้มาเป็นเหตุตั้งกรรมการสอบสวน และปรับย้ายข้าราชการตำรวจ ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะมิได้มีการเรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้สนับสนุนงานราชการ ประกอบกับป้ายดังกล่าวก็มีการติดตั้งมาเป็นเวลาช้านาน ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกตั้งกรรมการและปรับย้ายจะมาดำรงตำแหน่งเสียอีก ผู้บังคับบัญชาควรให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกตั้งกรรมการและปรับย้ายจากสาเหตุการติดตั้งป้ายโฆษณาในกลุ่มนี้
"ขณะนี้แม้ไม่อาจหยุดคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย ที่ผ่านความเห็นชอบของ ก.ตร. ไปแล้วได้ แต่เชื่อว่า ยังสามารถนำข้อมูลนี้ไปประกอบการชี้แจงต่อ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายกฎหมาย ที่ได้รับมอบหมายเยียวยาตำรวจที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ " แหล่งข่าว ระบุ
กำลังโหลดความคิดเห็น