ASTVผู้จัดการ - ผบ.ตร.ชี้การทำสัญญาของบริษัทเอกชนกับอดีต ผบช.น.เพื่อติดตั้งป้ายโฆษณาบนป้องจราจรทั่ว กทม.เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะอดีต ผบช.น.ไม่มีอำนาจในการทำสัญญา รอผลการตรวจสอบของกรมธนารักษ์ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ ภายใน 19 ธ.ค.นี้
วันนี้ (18 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงนายตำรวจ 76 นาย กรณีที่ให้บริษัทเอกชนเข้ามาติดตั้งป้ายโฆษณาแอลอีดีบนป้อมจราจรที่ตั้งอยู่ตามแยกต่างๆ ซึ่งเป็นการทำประโยชน์บนที่ราชพัสดุ โดยไม่ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ ว่าตนยังไม่เห็นรายละเอียดว่ามีการดำเนินการอย่างไรไปแล้วบ้าง แต่ก่อนหน้านี้ได้มีการกำชับและออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรให้มีการตรวจสอบป้ายโฆษณาที่ติดตั้งอยู่ตามป้อมจราจรในพื้นที่ต่างๆ ว่ารายใดทำถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ โดยให้เร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ตรงไหนที่ไม่ถูกต้องให้ดำเนินการรื้อทิ้ง ส่วนที่มีสัญญากับเอกชนก็ให้พิจารณาในตัวสัญญาว่ามีการทำอย่างถูกต้องหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ตนได้สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาและมีความเห็นว่าการทำสัญญาของบริษัทเอกชนกับอดีต ผบช.น.เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่า ผบช.น.ไม่มีอำนาจในการทำสัญญา แต่กระนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็คุ้มครองบริษัทเอกชนคู่สัญญา เพราะว่าเป็นการทำสัญญาโดยสำคัญผิด หรือเชื่อโดยสุจริตใจว่าการทำสัญญานั้นเป็นสัญญาที่ถูกต้อง เนื่องจากบริษัทลงนามในสัญญาไปแล้วก็ต้องมีการไปลงทุนต่อ เพราะฉะนั้นกฎหมายจึงคุ้มครองตรงนี้ ถือว่าสัญญานั้นมีผลบังคับจนกว่าจะครบกำหนดตามสัญญา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ที่แต่ละสถานีตำรวจไปทำกันเอง เช่น ไปอนุญาตให้ติดตั้งป้ายโฆษณาของอีกบริษัทหนึ่งที่ ผกก.มีการทำหนังสืออนุญาตเอง แต่ที่เลวร้ายก็คือมีการใช้ไฟฟ้าของหลวงด้วย อันนี้เป็นการทำไม่ถูกต้องตามระเบียบทางราชการ ต้องรื้อออก
ด้าน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานบริหาร กล่าวว่า ตนเองในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาการใช้ที่ดินและอาคารสถานที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อพิจารณาว่าที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งป้อมจราจรที่เกิดปัญหาอยู่ในขณะนี้ เป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ โดยได้ทำหนังสือสอบถามไปยังกรมธนารักษ์ ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ และหากเป็นที่ราชพัสดุ การจะใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะการติดตั้งป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ มีขั้นตอนการดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งคาดว่าทาง กรมธนารักษ์ จะมีหนังสือตอบกลับมาในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ ทั้งนี้ หากที่ตั้งป้อมจราจรเป็นที่ราชพัสดุ การดำเนินการต่างๆ โดยเฉพาะการติดตั้งป้ายโฆษณาของเอกชนจะต้องทำสัญญากับกรมธนารักษ์ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ ที่ตนเป็นประธานก่อน
“ตรงนี้เป็นการดำเนินการตามระเบียบปกติในการใช้ที่ราชพัสดุ หากหน่วยงานไหนเห็นว่าจะให้เอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ที่หน่วยงานราชการใดดูแลอยู่ อย่างการติดตั้งตู้เอทีเอ็ม การเปิดร้านสวัสดิการ ก็จะต้องไปทำสัญญากับกรมธนารักษ์ ซึ่งจะมีอัตราค่าเช่าตามเรตที่กำหนดไว้ โดยกรมธนารักษ์จะแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งให้เป็นสวัสดิการกับหน่วยงานนั้นๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เช่นเดียวกันจะต้องดำเนินการตามระเบียบดังกล่าว ส่วนที่เกิดปัญหาเพราะเราไม่ทราบว่าที่ดินตรงป้อมจราจรเป็นที่ราชพัสดุ เพราะเราเห็นว่าเราครอบครองดูแลมาโดยตลอด จึงมีการไปทำสัญญาโดยไม่มีอำนาจ ไม่ถูกต้องตามระเบียบและเกิดปัญหาตามมา” รอง ผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวว่า คณะกรรมการฯ ชุดของตนมีหน้าที่เพียงพิจารณาว่าที่ดินบริเวณป้อมจราจรที่มีปัญหาเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่เท่านั้น ส่วนเรื่องของสัญญากับเอกชน และการดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ขณะนี้รอเพียงหนังสือตอบกลับของกรมธนารักษ์ หากได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าที่ดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะได้วางแนวทางในการใช้ประโยชน์ที่ดินตรงส่วนนี้่ เพื่อให้ถุกต้องตามระเบียบ รวมทั้งกรณีที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.มีนโยบายที่จะปรับปรุงป้อมจราจรขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หากเป็นที่ราชพัสดุก็จะต้องขออนุญาตจากกรมธนารักษ์ด้วย โดยขณะนี้กองโยธาธิการกำลังอยู่ระหว่างการร่างแบบ ทั้งนี้ สำหรับป้อมจราจรที่ปรับปรุงจะมีรูปแบบเดียวกันทั้งสี ป้ายข้อความ ภาษาที่เป็นสากล สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นป้อมตำรวจ