ASTV ผู้จัดการรายวัน - ต้องบอกว่า ชายที่ชื่อ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” คนปัจจุบันที่กำลังโด่งดังในแวดวงข่าวสารข้าราชการ ในการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่กระทำผิด นั้นเป็นอีกเพียงแง่มุมหนึ่งของชาติผู้นี้ เพราะนอกจากการกุมบังเหียนสีกากีไทยแล้ว พล.ต.อ.สมยศ และเครือญาติ ยังถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ หรือ ขาใหญ่ของวงการตลาดหุ้นเมืองไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มพุ่มพันธ์ม่วง ถูกนำไปเกี่ยวโยงกับหลายบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.) ทั้งการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ การเข้าไปมีส่วนร่วมในการถือหุ้น หรือการเกี่ยวพันกับข่าวลือต่างๆนานๆ ในการเข้าซื้อหุ้นหรือกิจการบริษัทนั้น รวมไปถึงสายสัมพันธ์อันดีกับภาคเอกชนในหลายธุรกิจ เช่นกลุ่มสามารถคอร์ปอเรชั่น , กลุ่มคิงพาวเวอร์ เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อ พล.ต.อ.สมยศ ขยับขึ้นมานั่งกุมบังเหียนสีกากีในยุคต้องแก้ไขภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือจากประชาชนกลับมา ข่าวสารในด้านธุรกิจใดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพุ่มพันธ์ม่วงย่อมได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างหนีไม่พ้น โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวกลุ่มหรือคนในตระกูลของยอดตำรวจ หรือแม้แต่ตัวพล.ต.อ.สมยศ ออกมาว่าสนใจเข้าร่วมทุนกิจการใดตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะกลายเป็นอีกปัจจัยบวกที่สนับสนุนกิจการดังกล่าว รวมทั้งราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นตามไปด้วย
ในช่วงปี 2557 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับการลงทุนของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเครือญาติต่อตลาดหุ้นไทย มีบทบาทและสีสันต่อตลาดหุ้นไม่น้อยหน้าใคร เริ่มตั้งแต่ดีลที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นมหากาพย์อีกบทหนึ่งของตลาดหุ้นไทยอย่าง บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PICNI ที่ถือกำเนิดมาจากคนในตระกูลอดีตรัฐมนตรีสมัย นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร อย่างตระกูลาภวิสุทธิสิน ที่เคยเกิดการขัดแย้งและเดิมเกมชิงชัยชนะในแผนฟื้นฟูกิจการ จนมีหลายเหตุการณ์ที่ถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ด้วยว่าช่วงดังกล่าว มีข่าวลืออกมาว่า มีคนมีสี....อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีทั้งสีกากี และสีเขียว
โดยเฉพาะเหตุการณ์ คลังแก๊สบางจะเกร็ง จ.สมุทรสงคราม และคลังแก๊ส ที่จ.ลำปาง ที่มีการขัดขวางการเข้าไปบังคับคดีเพื่อส่งมอบคลังแก๊สในขณะนั้น โดยมีการอ้างชื่อนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยศพล.ต.ท.คนหนึ่ง มากดดัน และมีการขนบุคคลที่แต่งกายในลักษณะชุดทหารเข้ามาช่วยปิดกั้น จนนำไปสู่การขอยกเลิกประกันตัวชั่วคราวและการออกหมายจับผู้บริหารเวิลด์แก๊สในครั้งนั้น ซึ่งหนึ่งในบุคคลที่เจ้าพนักงานบังคับคดี
จ.สมุทรสงคราม และจ.ลำปาง รายงานศาลล้มละลายกลางขอให้มีคำสั่งออกหมายจับกุมในครั้งนั้น ก็มีรายชื่อของคนในตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วง อย่าง “นายพิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง”มาเกี่ยวโยงด้วย (ขณะที่อีก 2 ราย ได้แก่ นายสง่า รัตนชาติชูชัย และนางสาวกฤติกา นรรัตน์)
เหตุการณ์ที่น่าสนใจในขณะนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2553 เมื่อปิคนิคฯ ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ.สมุทรสงคราม จัดการให้บริษัทเข้าไปครอบครองคลังบางจะเกร็งโดยรายละเอียดของเหตุการณ์ เริ่มขึ้น เมื่อปิคนิคฯ ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปที่คลังบางจะเกร็ง และได้ขอกำลังตำรวจ สภอ.สมุทรสงครามไปสนับสนุนการส่งมอบคลัง ซึ่งช่วงแรกมีตำรวจชั้นประทวนไปด้วย 4 นาย ต่อมาตำรวจที่ไปด้วยได้รับโทรศัพท์ และแจ้งกับผู้รับมอบอำนาจของ บมจ.ปิคนิค โดยอ้างว่า มีผู้ใหญ่ที่มียศ พล.ต.ท. คนหนึ่ง โทรศัพท์มาว่า"อย่ามายุ่ง" ทำให้ตำรวจถอนกำลังกลับไปหมดแม้จะเริ่มดำเนินการตัดลูกกุญแจเพื่อเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินแล้ว ต่อมาเมื่อเวลาประมาณเกือบ 15.00 น. กรรมการเวิลด์แก๊สได้เข้ามาขัดขวางการส่งมอบ และพนักงานของเวิลด์แก๊สก็ปฏิเสธการออกจากพื้นที่และส่งมอบคลัง
เรื่องดังกล่าว ผู้รับมอบอำนาจของปิคนิคที่ไม่มีกำลังตำรวจ พร้อมด้วยเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงหยุดดำเนินการและทำได้เพียงจัดทำรายงานและแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ขณะเดียวกันในเวลาต่อมาได้มีกองกำลังทหารเข้ามาสนับสนุนอีกหนึ่งคันรถตู้เพื่อขัดขวางการส่งมอบคลังในครั้งนี้ด้วยเปิด ....ต่อมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงได้เกิดเหตุการณ์ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น เพื่อป้องกันกลุ่มอิทธิพลแบบเดิมมากดดัน
กลับมาที่ด้านการลงทุน ปัจจุบัน หากหุ้น PICNI ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อไปเป็น “WP”แล้ว สามารถขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงแล้วเสร็จ พล.ต.อ. สมยศ น่าจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพราะมีชื่อปรากฏเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์จองซื้อหุ้นระดับหัวแถว ดังนั้นหากดีลดังกล่าวสำเร็จ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดอื่นๆ ใด จะเป็นการเข้าเทกโอเวอร์กิจการที่มีผลต่ออนาคตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ จนมีคำถามเกิดขึ้นในวงการว่า นำเงินลงทุนก้อนใหญ่มาจากไหน กับการเข้าช่วยฟื้นกิจการบริษัทที่เคยมีปัญหาในระดับที่เรียกได้ว่า “หนัก”
ไม่เพียงแค่ไหน ตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วงยังขยายอาณาจักรการลงทุนผ่านการลงทุนในหุ้นอื่นๆที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น อย่างการส่งลูกสาวใช้สิทธิซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงใน บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MLINK หลังเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 150 ล้านหุ้น จากกลุ่ม “นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” ผู้ซึ่งเป็นน้องสาวและพี่สาว รวมทั้งเป็นภริยา ของนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กว่า 7.90% พร้อมขาใหญ่ในตลาดอย่าง “สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย” และ “มานิต มัสยวานิช” เข้าร่วมกระบวน
รวมทั้งการใส่เงินเข้ามาในบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ ในแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 3,500 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.342 บาทเท่ากัน ให้กับนักลงทุน 2 ราย รวมมูลค่า 1,197 ล้านบาท ประกอบด้วย นายนิรันดร์ เหตระกูล จำนวน 1,000 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 342 ล้านบาท พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จำนวน 2,500 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 855 ล้านบาท
ล่าสุด พล.ต.อ.สมยศ และคนในตระกูล “พุ่มพันธ์ม่วง” ยังมีชื่อปรากฏในรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงร่วมกับนักลงทุนรวม 11 รายใน บริษัท วธน แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ WAT จากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนล่าสุด โดยหากดีลสำเร็จ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง WAT จะกลายเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ บิ๊กสีกากีท่านนี้จะเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
โดยราคาเสนอขายหุ้น WAT อยู่ที่ 0.036 บาทต่อหุ้น กำหนดจากราคาไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาปิดถ่วงน้ำหนักของหุ้นบริษัท 7 วัน ที่หุ้นมีราคาปิดเฉลี่ยที่ 0.04 บาท และมีเงื่อนไขกำหนดการชำระเงินค่าหุ้นภายในวันที่ 30 พ.ย.57 เพื่อใช้รองรับโอกาสการลงทุนในอนาคตโดยเน้นการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมองหาโอกาสการลงทุนธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดอย่างคงที่
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ในแวดวงลงทุนขณะนี้ การดำเนินการเข้าถือหุ้นในบริษัทต่างๆของ ผบ.ตร. เป็นไปอย่างเปิดเผย ซึ่งทุกคนในตลาดรับรู้ถึงการขยายการขยายอาณาจักรหุ้นในมือมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการได้ครอบครองหุ้นWAT เพราะเท่ากับได้ถือหุ้นสื่อใหญ่อย่าง บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (NMG) จำนวน 250 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 7.57% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 1.60 บาท มูลค่ารวมไม่เกิน 400 ล้านบาท
นอกจากนี้ กลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วง ยังมีการเข้าถือหุ้นในบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) (RS) โดยมี นางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้น 0.55 % และ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) (SIM) ก็มีนางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้น 0.52% ด้วยเช่นกัน
อีกสิ่งที่น่าสนใจ สำหรับบิ๊กสีกากีรายนี้ คือสายสัมพันธ์ที่แนบแน่กับนักลงทุนรายใหญ่ที่มีชื่อเสียง หรือเป็นที่รู้จักหลายราย เช่น วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ,ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ,พิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง ,มนตร์ลดา พงษ์พานิช ,สมชาย เบญจรงคกุล เป็นต้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่พันธมิตรด้านการลงทุนเหล่านี้ อาจร่วมกันมองหาโอกาสในการลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีผ่านดีลใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอนาคตได้เช่นกัน
สำหรับสังคมไทย การลงทุนในตลาดหุ้นไทย มักถูกมองเป็นเรื่องไม่เหมาะสมสำหรับนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง แต่เรื่องดังกล่าวจะเหมาะสมหรือ หลายคนกำลังให้ความสำคัญต่อความความโปร่งใส่และการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา และส่วนเรื่องความเคลือบแคลงจากบุคคลภายนอกว่าจะใช้อำนาจหน้าที่เอื้อหาผลประโยชน์หรือไม่ เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องอธิบายสังคมต่อไป
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าต่อจากนี้ในตลาดหุ้นไทย จะมีนักลงทุนอีกไม่น้อย ที่จะคอยจับตาการเข้าลงทุนในหุ้นของกลุ่มตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวเพื่อเข้าลงทุนของหัวเรือใหญ่ของกลุ่มอย่างพล.ต.อ.สมยศ อย่างไม่ละสายตา และอาจได้เห็นบิ๊กสีกากีรายนี้ กระโดดเข้ามาเป็นนักลงทุนเต็มตัวหลังเกษียณ..ก็มีความเป็นไปได้
ดังนั้นเมื่อ พล.ต.อ.สมยศ ขยับขึ้นมานั่งกุมบังเหียนสีกากีในยุคต้องแก้ไขภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือจากประชาชนกลับมา ข่าวสารในด้านธุรกิจใดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพุ่มพันธ์ม่วงย่อมได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างหนีไม่พ้น โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวกลุ่มหรือคนในตระกูลของยอดตำรวจ หรือแม้แต่ตัวพล.ต.อ.สมยศ ออกมาว่าสนใจเข้าร่วมทุนกิจการใดตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะกลายเป็นอีกปัจจัยบวกที่สนับสนุนกิจการดังกล่าว รวมทั้งราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นตามไปด้วย
ในช่วงปี 2557 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับการลงทุนของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเครือญาติต่อตลาดหุ้นไทย มีบทบาทและสีสันต่อตลาดหุ้นไม่น้อยหน้าใคร เริ่มตั้งแต่ดีลที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นมหากาพย์อีกบทหนึ่งของตลาดหุ้นไทยอย่าง บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PICNI ที่ถือกำเนิดมาจากคนในตระกูลอดีตรัฐมนตรีสมัย นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร อย่างตระกูลาภวิสุทธิสิน ที่เคยเกิดการขัดแย้งและเดิมเกมชิงชัยชนะในแผนฟื้นฟูกิจการ จนมีหลายเหตุการณ์ที่ถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ด้วยว่าช่วงดังกล่าว มีข่าวลืออกมาว่า มีคนมีสี....อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีทั้งสีกากี และสีเขียว
โดยเฉพาะเหตุการณ์ คลังแก๊สบางจะเกร็ง จ.สมุทรสงคราม และคลังแก๊ส ที่จ.ลำปาง ที่มีการขัดขวางการเข้าไปบังคับคดีเพื่อส่งมอบคลังแก๊สในขณะนั้น โดยมีการอ้างชื่อนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยศพล.ต.ท.คนหนึ่ง มากดดัน และมีการขนบุคคลที่แต่งกายในลักษณะชุดทหารเข้ามาช่วยปิดกั้น จนนำไปสู่การขอยกเลิกประกันตัวชั่วคราวและการออกหมายจับผู้บริหารเวิลด์แก๊สในครั้งนั้น ซึ่งหนึ่งในบุคคลที่เจ้าพนักงานบังคับคดี
จ.สมุทรสงคราม และจ.ลำปาง รายงานศาลล้มละลายกลางขอให้มีคำสั่งออกหมายจับกุมในครั้งนั้น ก็มีรายชื่อของคนในตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วง อย่าง “นายพิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง”มาเกี่ยวโยงด้วย (ขณะที่อีก 2 ราย ได้แก่ นายสง่า รัตนชาติชูชัย และนางสาวกฤติกา นรรัตน์)
เหตุการณ์ที่น่าสนใจในขณะนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2553 เมื่อปิคนิคฯ ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ.สมุทรสงคราม จัดการให้บริษัทเข้าไปครอบครองคลังบางจะเกร็งโดยรายละเอียดของเหตุการณ์ เริ่มขึ้น เมื่อปิคนิคฯ ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปที่คลังบางจะเกร็ง และได้ขอกำลังตำรวจ สภอ.สมุทรสงครามไปสนับสนุนการส่งมอบคลัง ซึ่งช่วงแรกมีตำรวจชั้นประทวนไปด้วย 4 นาย ต่อมาตำรวจที่ไปด้วยได้รับโทรศัพท์ และแจ้งกับผู้รับมอบอำนาจของ บมจ.ปิคนิค โดยอ้างว่า มีผู้ใหญ่ที่มียศ พล.ต.ท. คนหนึ่ง โทรศัพท์มาว่า"อย่ามายุ่ง" ทำให้ตำรวจถอนกำลังกลับไปหมดแม้จะเริ่มดำเนินการตัดลูกกุญแจเพื่อเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินแล้ว ต่อมาเมื่อเวลาประมาณเกือบ 15.00 น. กรรมการเวิลด์แก๊สได้เข้ามาขัดขวางการส่งมอบ และพนักงานของเวิลด์แก๊สก็ปฏิเสธการออกจากพื้นที่และส่งมอบคลัง
เรื่องดังกล่าว ผู้รับมอบอำนาจของปิคนิคที่ไม่มีกำลังตำรวจ พร้อมด้วยเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงหยุดดำเนินการและทำได้เพียงจัดทำรายงานและแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ขณะเดียวกันในเวลาต่อมาได้มีกองกำลังทหารเข้ามาสนับสนุนอีกหนึ่งคันรถตู้เพื่อขัดขวางการส่งมอบคลังในครั้งนี้ด้วยเปิด ....ต่อมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงได้เกิดเหตุการณ์ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น เพื่อป้องกันกลุ่มอิทธิพลแบบเดิมมากดดัน
กลับมาที่ด้านการลงทุน ปัจจุบัน หากหุ้น PICNI ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อไปเป็น “WP”แล้ว สามารถขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงแล้วเสร็จ พล.ต.อ. สมยศ น่าจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพราะมีชื่อปรากฏเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์จองซื้อหุ้นระดับหัวแถว ดังนั้นหากดีลดังกล่าวสำเร็จ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดอื่นๆ ใด จะเป็นการเข้าเทกโอเวอร์กิจการที่มีผลต่ออนาคตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ จนมีคำถามเกิดขึ้นในวงการว่า นำเงินลงทุนก้อนใหญ่มาจากไหน กับการเข้าช่วยฟื้นกิจการบริษัทที่เคยมีปัญหาในระดับที่เรียกได้ว่า “หนัก”
ไม่เพียงแค่ไหน ตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วงยังขยายอาณาจักรการลงทุนผ่านการลงทุนในหุ้นอื่นๆที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น อย่างการส่งลูกสาวใช้สิทธิซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงใน บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MLINK หลังเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 150 ล้านหุ้น จากกลุ่ม “นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” ผู้ซึ่งเป็นน้องสาวและพี่สาว รวมทั้งเป็นภริยา ของนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กว่า 7.90% พร้อมขาใหญ่ในตลาดอย่าง “สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย” และ “มานิต มัสยวานิช” เข้าร่วมกระบวน
รวมทั้งการใส่เงินเข้ามาในบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ ในแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 3,500 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.342 บาทเท่ากัน ให้กับนักลงทุน 2 ราย รวมมูลค่า 1,197 ล้านบาท ประกอบด้วย นายนิรันดร์ เหตระกูล จำนวน 1,000 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 342 ล้านบาท พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จำนวน 2,500 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 855 ล้านบาท
ล่าสุด พล.ต.อ.สมยศ และคนในตระกูล “พุ่มพันธ์ม่วง” ยังมีชื่อปรากฏในรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงร่วมกับนักลงทุนรวม 11 รายใน บริษัท วธน แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ WAT จากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนล่าสุด โดยหากดีลสำเร็จ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง WAT จะกลายเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ บิ๊กสีกากีท่านนี้จะเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
โดยราคาเสนอขายหุ้น WAT อยู่ที่ 0.036 บาทต่อหุ้น กำหนดจากราคาไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาปิดถ่วงน้ำหนักของหุ้นบริษัท 7 วัน ที่หุ้นมีราคาปิดเฉลี่ยที่ 0.04 บาท และมีเงื่อนไขกำหนดการชำระเงินค่าหุ้นภายในวันที่ 30 พ.ย.57 เพื่อใช้รองรับโอกาสการลงทุนในอนาคตโดยเน้นการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมองหาโอกาสการลงทุนธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดอย่างคงที่
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ในแวดวงลงทุนขณะนี้ การดำเนินการเข้าถือหุ้นในบริษัทต่างๆของ ผบ.ตร. เป็นไปอย่างเปิดเผย ซึ่งทุกคนในตลาดรับรู้ถึงการขยายการขยายอาณาจักรหุ้นในมือมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการได้ครอบครองหุ้นWAT เพราะเท่ากับได้ถือหุ้นสื่อใหญ่อย่าง บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (NMG) จำนวน 250 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 7.57% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 1.60 บาท มูลค่ารวมไม่เกิน 400 ล้านบาท
นอกจากนี้ กลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วง ยังมีการเข้าถือหุ้นในบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) (RS) โดยมี นางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้น 0.55 % และ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) (SIM) ก็มีนางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้น 0.52% ด้วยเช่นกัน
อีกสิ่งที่น่าสนใจ สำหรับบิ๊กสีกากีรายนี้ คือสายสัมพันธ์ที่แนบแน่กับนักลงทุนรายใหญ่ที่มีชื่อเสียง หรือเป็นที่รู้จักหลายราย เช่น วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ,ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ,พิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง ,มนตร์ลดา พงษ์พานิช ,สมชาย เบญจรงคกุล เป็นต้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่พันธมิตรด้านการลงทุนเหล่านี้ อาจร่วมกันมองหาโอกาสในการลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีผ่านดีลใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอนาคตได้เช่นกัน
สำหรับสังคมไทย การลงทุนในตลาดหุ้นไทย มักถูกมองเป็นเรื่องไม่เหมาะสมสำหรับนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง แต่เรื่องดังกล่าวจะเหมาะสมหรือ หลายคนกำลังให้ความสำคัญต่อความความโปร่งใส่และการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา และส่วนเรื่องความเคลือบแคลงจากบุคคลภายนอกว่าจะใช้อำนาจหน้าที่เอื้อหาผลประโยชน์หรือไม่ เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องอธิบายสังคมต่อไป
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าต่อจากนี้ในตลาดหุ้นไทย จะมีนักลงทุนอีกไม่น้อย ที่จะคอยจับตาการเข้าลงทุนในหุ้นของกลุ่มตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวเพื่อเข้าลงทุนของหัวเรือใหญ่ของกลุ่มอย่างพล.ต.อ.สมยศ อย่างไม่ละสายตา และอาจได้เห็นบิ๊กสีกากีรายนี้ กระโดดเข้ามาเป็นนักลงทุนเต็มตัวหลังเกษียณ..ก็มีความเป็นไปได้