ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“คนผิดกฎหมายก็อย่าไปเสนอภาพคนผิดกฎหมายก็จบแล้ว แล้วเสนอทำไม ขอความร่วมมือสื่อว่าอะไรที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมก็ขอสื่อลดการนำเสนอ พอมีการนำเสนอก็จะมีคนนำมาเปรียบเทียบเรื่องนี้เรื่องนั้นว่าทำไมรัฐบาลไม่ทำ ถ้าท่านไม่เสนอข่าวก็เบาลงไปแล้ว ส่วนเรื่องของโซเซียลก็เป็นเรื่องของโซเซียล หนังสือพิมพ์ก็เป็นเรื่องของหนังสือพิมพ์ ในทางโซเซียลที่เขียนในทางไม่ดีก็มีการติดตามอยู่ ถ้าเขียนในทางสร้างสรรค์ก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไร ซึ่งอะไรรับได้ก็รับได้ อะไรที่เขียนเสียหายมันไม่ได้ เพราะอย่างน้อยเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคน
“ผมขอร้อง ทุกประเทศเขามีมาตรการหมดแล้ว มีแต่ประเทศไทยที่ยังคุมไม่ได้ เพราะทุกคนต่างคิดว่าเสรีภาพสื่อ เสรีภาพประชาชน แต่หากเสรีภาพไปละเมิดสิทธิ และความขัดแย้งของผู้อื่นก็ไม่สมควร อย่าให้ต้องใช้กฎหมายทุกอัน อย่าให้ต้องใช้อำนาจ อย่าให้ต้องใช้กำลังกันเลย วันนี้มาพูดจากัน หาทางออกให้ได้ดีกว่า เรื่องที่ทำให้เป็นปัญหาแล้วจะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่เดินหน้าประเทศไปได้ ไม่อย่างนั้นก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีก แล้วประเทศไทยก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ เราจะอยู่อย่างไร เพราะเศรษฐกิจทั้งโลกก็ชะลอตัว”
ปวดเศียรเวียนเกล้ากับ “ตรรกะ” ที่ชวนให้สมองอึงอลของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เกี่ยวกับเรื่องการนำเสนอข่าว “นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” เสียจริงๆ
พล.อ.ประยุทธ์เตือนสื่อว่าไม่ควรนำเสนอข่าวนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ด้วยเหตุผลก็คือ เป็นคนที่ทำผิดกฎหมาย เป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม และเมื่อมีการนำเสนอก็จะมีการเปรียบเทียบเรื่องนั้นเรื่องนี้ว่ารัฐบาลทำไมไม่ทำ
สังคมเข้าใจได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือนักโทษชายหนีคดี และต้องติดคุก
ทว่า ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่นำเสนอความเคลื่อนไหวของนักโทษชายหนีคดีทักษิณเพราะตราบใดที่บุรุษผู้นี้ยังคงเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นตัวละครทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในบ้านนี้เมืองนี้ ก็ไม่แปลกอะไรที่ เขาจะตกเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ
ถามว่า การไม่นำเสนอข่าวนักโทษชายหนีคดีทักษิณจะทำให้บ้านเมืองสงบ มีความปรองดองและไม่มีความแตกแยกเหมือนเช่นที่ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลต้องการจริงเช่นนั้นหรือ
ก็ไม่ใช่ เพราะตอนนี้ นอกจากระบอบทักษิณยังไม่ได้ถูกขุดรากถอนโคน แถมยังอยู่ในโหมดแกล้งตายแล้ว ระบอบทักษิณมีการเคลื่อนไหวอยู่เป็นระยะๆ อย่างมีนัยทางการเมืองในจังหวะที่มีความสำคัญอีกต่างหาก
หรือถ้า พล.อ.ประยุทธ์จะเตือนอย่างเอาจริงเอาจังเกี่ยวกับการนำเสนอภาพและข่าวของนักโทษชายหนีคดี พล.อ.ประยุทธ์ก็ควรจะไปตรวจสอบเบื้องหลังการนำเสนอข่าวที่เกิดขึ้นให้ละเอียด เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า การนำเสนอข่าวนักโทษชายหนีคดีทักษิณเที่ยวนี้ ดำเนินไปอย่างตั้งใจและเจตนาที่จะนำเสนอ
ที่สำคัญคือทำอย่างเป็นกระบวนการ
สังคมไม่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่รับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับการนำเสนอข่าวนักโทษชายหนีคดีทักษิณในช่วงที่ผ่านมา
หนักไปกว่านั้นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับหรือไม่ว่า มีส่วนที่ทำให้นักโทษชายหนีคดีทักษิณยึดครองพื้นที่สื่อดังที่ปรากฏในช่วงที่ผ่านมา
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่อนุญาตให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปต่างประเทศ และไปพบกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ สื่อจะนำเสนอภาพเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ฉาวโฉ่รายนี้หรือไม่
สังคมอยากรู้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ได้แจ้ง พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ว่า กำหนดการเดินทางไปพักผ่อนเที่ยวนี้จะไปพบกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ
ถ้าแจ้ง....พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ควรจะโทษสื่อที่นำเสนอข่าว
แต่ถ้าไม่แจ้ง เมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์กลับมา พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้า คสช.ก็ควรเรียกอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนสวยมาให้ปากคำและปรับทัศนคติเสียใหม่ มิใช่มาไล่บี้เอากับสื่อเยี่ยงนี้
พล.อ.ประยุทธ์จะทำหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม สังคมก็ไม่เข้าใจอีกเช่นกันว่า ทำไมทุกรัฐบาลที่ผ่านมาถึงไม่คิดที่จะนำตัวนักโทษชายหนีคดีรายนี้มาติดคุกติดตะรางเสียที ทั้งๆ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาอันเป็นที่สิ้นสุดแล้ว
เพียงแต่ ณ เวลานี้ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ทำไมถึงไม่สามารถนำตัวนักโทษชายหนีคดีรายนี้มารับโทษทัณฑ์ได้เสียที
แม้แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็เช่นกัน
คำถามก็คือ ทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ถึงไม่ไปลากคอ “คนที่ทำผิดกฎหมาย” ผู้นี้มารับโทษทัณฑ์ตามอาญาแผ่นดิน
แน่นอน นั่นไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
แต่ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าทำผิดกฎหมายก็ต้องแสดงความพยายามให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน
ทว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สังคมยังไม่เคยเห็นความพยายามเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
อย่าว่าแต่นำตัวนักโทษชายหนีคดีทักษิณมารับโทษเลย เพียงแค่การถอดยศ “พ.ต.ท.” ที่เรียกร้องมาอย่างต่อเนื่องก็ยังไม่เห็นวี่แววว่า จะดำเนินการให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาโพนทะนาว่าทุกวันนี้ “ใจเย็นลงเยอะแล้ว” ขอให้สื่อเข้าใจด้วย เพราะนั่นไม่ใช่สาระสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์จะใจเย็น หรือใจร้อน หรือค่อนข้างโมโหเร็ว ก็เป็นเรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์
“ถ้าไม่แก้เรื่องตีกันเรื่องเดิม เรื่องข้างหน้าก็เดินไปไม่ได้ เศรษฐกิจตกก็มาโทษผมอีก ท่านอยู่ซ้าย อยู่ขวา ก็ขอให้คุยกัน”
“คนไทยมีปัญหาเรื่องเดียว หวังดีทุกคน เก่งทุกคน คุยกันไม่ค่อยได้ ตรงนี้คือปัญหา”
สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องตอบคำถามก็คือ การเลิกตีกันนั้น ตั้งอยู่เป็น “ตรรกะ” เยี่ยงไร การเลิกตีกันหมายความว่า ให้แล้วๆ กันไป ใครทำความผิดไม่ว่าอะไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาก็แล้วๆ กันไป จากนั้นให้หันหน้ามาพูดคุยกันเช่นนั้นหรือ
ตกลงว่า การเลิกตีกันหมายรวมไปถึงการนิ่งเฉยเลยผ่านกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณด้วยหรือไม่
เพราะตราบใดก็ตามที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณยังไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ยังไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ยังเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีและเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่อย่างนี้ ประเทศชาติก็ไม่มีวันสงบ การเลิกตีกันก็จะไม่เกิดขึ้น
นี่ต่างหากคือสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องตระหนัก
พล.อ.ประยุทธ์ขอร้องให้สังคมเข้าใจ ซึ่งก็เชื่อว่า สังคมเข้าใจ
แต่สิ่งที่สังคมไม่เข้าใจก็คือ แล้วทำไมไม่จับนักโทษชายหนีคดีทักษิณมาดำเนินคดีเสียที
ที่สำคัญคือ ไม่ใช่แค่นักโทษชายหนีคดีทักษิณเท่านั้น หากแต่แกนนำเสื้อแดงคนอื่นๆ ที่หนีคดีไป ป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยเลยแม้แต่คนเดียว
เมื่อครั้ง พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปกัมพูชาเพื่อพบปะเชื่อมความสัมพันธ์กับสมเด็จฯ ฮุนเซน ได้เคยแจ้งความประสงค์ที่จะให้รัฐบาลฮุนเซนจัดการกับนักโทษหนีคดีที่เดินทางหลบหนีเข้ามาอยู่ที่กัมพูชาบ้างหรือไม่
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เคยทำหนังสือแจ้งมิตรประเทศทั้งหลายบ้างหรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือนักโทษชายหนีคดีที่รัฐบาลไทยต้องการตัว และปรารถนาให้ช่วยดำเนินการจับกุม
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทำอีท่าไหน รัฐบาลจีนถึงส่งอดีตเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย มาให้การต้อนรับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ
หรือเป็นเพราะรัฐบาลไทยไม่ได้ส่งสัญญาณอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้รัฐบาลจีนได้รับทราบ
หรือส่งสัญญาณแล้ว และรัฐบาลจีนก็เข้าใจถูกต้องแล้ว
กระนั้นก็ดี ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมีปัญหากับสื่ออย่างต่อเนื่อง และเที่ยวนี้ถึงขนาดลงลึกถึงระดับการใช้คำกันเลยทีเดียว โดยให้ เสธ.ไก่อู-พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาให้ข่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า ขอให้สื่อลดการใช้คำว่า โว ฟุ้ง ปัด ตีปี๊บ เวลานำเสนอข่าวของรัฐมนตรีที่นำเสนอผลงานของตนเอง เพราะเป็นคำด้านลบ ทั้งๆ ที่คำเหล่านี้เป็นคำที่สื่อใช้กันมาอย่างต่อเนื่อง
และถ้าจะว่าไปแล้วรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องหวาดกลัวอะไรถ้าหากรัฐมนตรีเหล่านั้นไม่โว ไม่ฟุ้ง ไม่ปัดหรือไม่ตีปี๊บ พร้อมสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์
บร๊ะเจ้า....มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้กันแน่