ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ช่วงนี้ท่านผู้นำของเรากระจองอแงชอบกล “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผุดมาตรการต่างๆ ออกมาแบบน่าละเหี่ยใจ โดยเฉพาะแนวทาง และจุดยืนในการทำงานชักจะออกอ่าว ออกทะเล
ไม่รู้เป็นเพราะฤทธิ์บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ถูกสื่อล้วง แคะ แกะ เกา จนหงุดหงิดงุ่นง่าน และเป็นประเด็นที่ชาวบ้านชาวช่องกำลังเบิ่งตาสนใจกับประเด็นที่ดินมูลค่า 600 ล้านบาท ที่บิดานำไปขายให้กับบริษัท ซึ่งทำธุรกิจอยู่บนเกาะบริติชเวอร์จิ้น-เคย์แมน ที่นักการเมือง และผู้มีอิทธิพลชาวไทยชอบขนเงินไปกักตุนเพราะเป็นดินแดน “ดิวตี้ฟรี”ปลอดภาษีหรือไม่ เพราะแค่นักข่าวแหย่ถาม ลมในหู“บิ๊กตู่”ยังผายพรวดๆ
แถมยังโดนขุดหาที่ดินขุมทรัพย์ย่านบางบอนมูลค่าเกือบพันล้านบาท ว่าอยู่แปลงใด เพราะราคาแพงหูฉี่ จนโดนประชดประชันว่า ภายใต้ผืนดินผืนนั้นมีบ่อน้ำมันอยู่หรือไม่ เรียกว่าตั้งแต่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยต่อสาธารณชนออกมา“บิ๊กตู่”โดนไปอ่วมกับเงื่อนปมนี้
และไม่ใช่แค่ของตัวเอง บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ“บิ๊กติ๊ก”พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก น้องรัก ก็อินุงตุงนังอยู่ ยิ่งชี้แจงยิ่งวกวน เป็นวัวพันหลัก พูดไม่เคลียร์ แถมเพิ่มความสงสัยมากขึ้นไปอีก !!!
นอกจากบุคคลในสายเลือดแล้ว พี่รองแห่งค่ายบูรพาพยัคฆ์ อย่าง “บิ๊กป๊อก”พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็กำลังถูกขุดคุ้ยว่า พัวพันเรื่องบริษัทที่ไปรับจัดงานคืนความสุขที่ จ.นนทบุรี
สภาวะปัจจุบันกลุ่มท็อปบูต ผู้กุมอำนาจประเทศกำลังโดนสังคมจ้องตรวจสอบอย่างหนักจนไม่เป็นอันทำอะไร แล้วก็ออกอาการหวั่นไหวให้เห็น โหงวเฮ้งบนใบหน้า“บิ๊กตู่”ราศีเริ่มไม่จับ หมองคล้ำลงเรื่อยๆ พูดจาเอื่อยเฉื่อยๆ ผิดปกติ เหมือนมีอะไรอยู่ในหัวกองเท่าภูเขา มาสองสามวันแล้ว หลายครั้งยังออกอาการหงุดหงิดเหวี่ยงใส่ผู้สื่อข่าวหากโดนจี้จุดเอามากๆ เริ่มรู้ซึ้งโดดมาเล่นการเมืองด้วยตัวเองมันไม่หมู เหมือนปกครองกองทัพ
เหลือบไปดูสถานการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่ม และเครือข่ายการเมืองต่างๆ ในประเทศ ก็เริ่มแสดงให้เห็นว่า ยาแรงอย่างกฎอัยการศึกเริ่มไม่ค่อยขลัง บรรดานักการเมืองเริ่มตีฝีปาก ออกมาคอมเมนท์แบบตรงๆ แรงๆ และบ่อยๆ ได้ยินได้เห็นสะสมเข้า ต่อมอดทนเลยเข้าประชิดจุดเดือด มีการทุบโต๊ะคำราม เปรยถึง มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว จะงัดมาใช้กำราบให้สิ้นซากทุกกลุ่ม ก๊วน
ว่ากันด้วยอารมณ์เดือดดาล ขาดการประเมินสถานการณ์ ว่ามันยังไม่สุกงอมเท่าไหร่
เมื่อลั่นคำออกมาแล้วก็เป็นเรื่องที่ “บิ๊กตู่”ต้องไปสางปัญหาเอาเองแล้วกัน มันจะเกิดผลดีผลเสียอย่างไร จะว่าไป ที่ผ่านมาไม่ต้องไปโทษใคร คสช. เองต่างหาก ที่หย่อนยาน ไม่คุมเข้มความเคลื่อนไหว จนฝ่ายการเมืองออกมาเล่นกันจนเปรอะไปหมด
พูดกันมากนักก็ออกประกาศสักฉบับก็จบ ขู่เรียกรายงานตัว เดี๋ยวก็หงอกันไปเอง
แต่นี่ไม่รู้หลักลอยทำอะไรอยู่ หรือว่าใช้พลังไปกับเชิงบริหารในครม. จนไม่สามารถมองภาพรวมได้ถ้วนทั่ว
ก็น่าเห็นใจมือใหม่หัดขับกับสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจยามนี้ เป็นใครก็ต้องปวดหัว แต่ทีมกุนซือที่ปรึกษาน่าจะช่วยแนะนำท่านหัวหน้าคสช. หน่อยว่า ให้ทำเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ สำคัญๆ ไม่ต้องมากมายก่ายกอง เอาล่อเอาเถิดไปหมดทุกเรื่องแบบที่ทำอยู่นี้ !!!
เพราะตั้งแต่ขึ้นมามีอำนาจสูงสุด จะเห็นอาการใส่ใจกับปัญหาจุ๋มจิ๋มกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมาตลอด ยังหลงทิศหลงทาง เข้าใจอะไรผิดๆ โดยเฉพาะกับคิวล่าสุดที่ให้ “ไก่อู”พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาปรามสื่อ ให้งดใช้คำนั้น คำนี้ เพราะฟังแล้วแสลงใจ พุดโธ่...
จู้จี้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วชักจะเลยเถิดกันไปใหญ่ มาติติงว่าห้ามใช้คำว่า ปัด, โว, ฟุ้ง, ฮึ่ม และ ตีปี๊บ เพราะฟังๆ ดูแล้วเหมือนรัฐบาลขี้โม้ ไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่ ทั้งที่คำข้างต้นล้วนเป็นคำพื้นฐานที่ใช้กันมานมนานกาลเล ไม่เคยมีรัฐบาลไหนจะมีปัญหา เพราะรู้ว่าคำพวกนี้เป็นศัพท์หนังสือพิมพ์
แล้วไม่ใช่คำที่จะมาหลอกเหน็บหลอกด่า แต่มันอยู่ในศาสตร์เรื่องการใช้คำของตำรานิเทศศาสตร์ ที่เน้นสั้นกระชับประชาชนอ่านแล้วเข้าใจง่าย
หรือรัฐบาลนี้เป็นโรคอ่อนไหวง่าย ขวัญอ่อน โดนนิดโดนหน่อยไม่ได้ จะดีไปหมดจนใครติติงไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า ไม่เปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นอย่างปากพูด
เทียบกันกับอดีตนายกรัฐมนตรี 2 คนก่อนหน้านี้ ต้องเรียกว่า “บิ๊กตู่”สบายยิ่งกว่าโดนอุ้ม เพราะโดนจิกโดนเหน็บน้อยกว่าไหนๆ สมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดนสารพัด ทั้งอีโง่, กระหรี่ ที่แนวต้านไปสรรหามา หรือครั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แทบจะลงพื้นที่ไม่ได้ โดนค่อนแคะหนักๆ ว่าดีแต่พูด, ฆาตกร 99 ศพ แต่ทุกคนกลับมีทัศนคติที่กว้างไกลกว่ามาคิดเรื่องหยุมหยิมอย่างนี้
รัฐบาลเองมีระยะเวลาบริหารประเทศเพียงสั้นๆ แต่เหตุใดจึงต้องมาเสียเวลากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ทำไมจึงไม่มุ่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชน บริหารประเทศโดยมองภาพใหญ่ อย่าวอกแวกกับอะไรง่ายๆ ใครติใครติงต้องเอาผลงานมาสู้ จะโวจะฟุ้งถ้าทำได้ประชาชนก็เห็นเอง ตลกร้ายมาห้ามกันแบบนี้ยังเหมือนกับการดูถูกประชาชนที่มีวิจารณญาณรู้ได้ว่า แต่ละคำหมายถึงอะไร รู้ว่าใครเป็นอย่างไร อีกอย่างหากพูดแล้วทำไม่ได้เหมือนที่ถูกเหน็บแนม ว่าโว ว่าฟุ้ง นั่นจะเป็นเครื่องการันตีว่าดีแต่โม้แต่ฟุ้งไปวันๆ
การออกมาขอความร่วมมือในลักษณะแบบนี้ยังไม่เป็นผลดีกับตัวรัฐบาลเองด้วย เพราะจะทำให้ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจพยายามเข้าไปแทรกแซง หรือสร้างข้อจำกัดให้กับสื่อมวลชนจนรู้สึกอึดอัด ไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพวิพากษ์วิจารณ์ตามกฎหมายได้ แล้วดูเหมือนรัฐบาลกำลังเข้าใจคำว่า สิทธิเสรีภาพของสื่อ ที่กำลังจะปฏิรูปกันผิด เพราะสิ่งที่สื่อกำลังต่อสู้กันคือ การปราศจากการครอบงำ
การแอ็กชั่นเรื่องนี้ ยังเป็นการสะท้อนถึงความคับแคบบางอย่าง และเป็นสัญญาณไม่ดี หากจะนำพาประเทศนี้ออกจากวังวนความขัดแย้ง เพราะแม้แต่เรื่องการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ข้อติติง ยังไม่พร้อมจะรับฟัง จะเอาแต่คำสรรเสริญเยินยออย่างเดียว จะเห็นข้อบกพร่องของตัวเองได้อย่างไร
รัฐบาลเองประกาศอยู่ปาวๆ ทุกวี่วันว่า พร้อมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น แต่แค่มดกัด กลับทำเหมือนโดนช้างเหยียบจนร้องโวยวาย และที่ตัดพ้อบ่อยๆ ว่า ไม่ค่อยมีคนชมก็อย่าเอาไปเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต เพราะผู้นำที่เข้ามาอาสาบริหารประเทศต้องถือคติ ทำดีแค่เสมอตัว แต่ถ้าทำชั่วคนจะรับไม่ได้ ดังนั้นคำชมที่อยากได้ ถ้าบังคับกัน ย่อมเป็นคำชมจอมปลอม
วันนี้รัฐบาลต้องนั่งคิดใหม่ ยกเครื่องทัศนคติกันให้ถูกทางว่าสิ่งที่ทำมันใช่เรื่องที่จะต้องทำในเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดหรือไม่ เรื่องเหน็บแนมกัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามประสาวิถีมนุษย์ ท่องเอาไว้ไม่มีคนสมบูรณ์เพอร์เฟ็กต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ คนรับคำติเตียนได้น่ะ ประเสริฐ
คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ทองแท้ต้องไม่กลัวร้อน หากรัฐบาลเป็นทองแท้จะไปกลัวอะไรกับเพียงเปลวไฟเล็กๆ ที่คอยส่องเตือนกัน
ยกเว้นเป็นทองปลอมที่ทำขึ้นมาตบตาชาวบ้าน !!!