xs
xsm
sm
md
lg

บิ๊กสีกากี... “สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” กับการรุกคืบขยายอาณาจักรหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ต้องบอกว่า ชายที่ชื่อ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนปัจจุบันที่กำลังโด่งดังในแวดวงข่าวสารข้าราชการ ในการดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้ที่กระทำผิด นั้นเป็นอีกเพียงแง่มุมหนึ่งของชาติตำรวจผู้นี้ เพราะนอกจากการกุมบังเหียนสีกากีไทยแล้ว พล.ต.อ.สมยศ และเครือญาติ ยังถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ หรือขาใหญ่ของวงการตลาดหุ้นเมืองไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วง ถูกนำไปเกี่ยวโยงกับหลายบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.) ทั้งการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ การเข้าไปมีส่วนร่วมในการถือหุ้น หรือการเกี่ยวพันกับข่าวลือต่างๆ นานาในการเข้าซื้อหุ้นหรือกิจการบริษัทนั้น รวมไปถึงสายสัมพันธ์อันดีกับภาคเอกชนในหลายธุรกิจ เช่น กลุ่มสามารถคอร์ปอเรชั่น, กลุ่มคิงเพาเวอร์ เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อ พล.ต.อ.สมยศ ขยับขึ้นมานั่งกุมบังเหียนสีกากีในยุคต้องแก้ไขภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือจากประชาชนกลับมา ข่าวสารในด้านธุรกิจใดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วงย่อมได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างหนีไม่พ้น โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวกลุ่ม หรือคนในตระกูลของยอดตำรวจ หรือแม้แต่ตัว พล.ต.อ.สมยศ ออกมาว่าสนใจเข้าร่วมทุนกิจการใดตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะกลายเป็นอีกปัจจัยบวกที่สนับสนุนกิจการดังกล่าว รวมทั้งราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นตามไปด้วย

ในช่วงปี 2557 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า การลงทุนของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเครือญาติต่อตลาดหุ้นไทย มีบทบาท และสีสันต่อตลาดหุ้นไม่น้อยหน้าใคร เริ่มตั้งแต่ดีลที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นมหากาพย์อีกบทหนึ่งของตลาดหุ้นไทย อย่าง บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PICNI ที่ถือกำเนิดมาจากคนในตระกูลอดีตรัฐมนตรีสมัยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร อย่างตระกูลาภวิสุทธิสิน ที่เคยเกิดการขัดแย้ง และเดิมเกมชิงชัยชนะในแผนฟื้นฟูกิจการ จนมีหลายเหตุการณ์ที่ถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง ละอาญา ด้วยว่าช่วงดังกล่าวมีข่าวลืออกมาว่า มีคนมีสี....อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีทั้งสีกากี และสีเขียว

โดยเฉพาะเหตุการณ์คลังแก๊สบางจะเกร็ง จ.สมุทรสงคราม และคลังแก๊ส ที่จ.ลำปาง ที่มีการขัดขวางการเข้าไปบังคับคดีเพื่อส่งมอบคลังแก๊สในขณะนั้น โดยมีการอ้างชื่อนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยศ พล.ต.ท.คนหนึ่ง มากดดัน และมีการขนบุคคลที่แต่งกายในลักษณะชุดทหารเข้ามาช่วยปิดกั้น จนนำไปสู่การขอยกเลิกประกันตัวชั่วคราว และการออกหมายจับผู้บริหารเวิลด์แก๊สในครั้งนั้น ซึ่งหนึ่งในบุคคลที่เจ้าพนักงานบังคับคดี จ.สมุทรสงคราม และจ.ลำปาง รายงานศาลล้มละลายกลางขอให้มีคำสั่งออกหมายจับกุมในครั้งนั้น ก็มีรายชื่อของคนในตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วง อย่าง “นายพิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง” มาเกี่ยวโยงด้วย (ขณะที่อีก 2 ราย ได้แก่ นายสง่า รัตนชาติชูชัย และ น.ส.กฤติกา นรรัตน์)

เหตุการณ์ที่น่าสนใจในขณะนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2553 เมื่อปิคนิคฯ ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดี จ.สมุทรสงคราม จัดการให้บริษัทเข้าไปครอบครองคลังบางจะเกร็ง โดยรายละเอียดของเหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อปิคนิคฯ ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปที่คลังบางจะเกร็ง และได้ขอกำลังตำรวจ สภ.สมุทรสงคราม ไปสนับสนุนการส่งมอบคลัง ซึ่งช่วงแรกมีตำรวจชั้นประทวนไปด้วย 4 นาย ต่อมา ตำรวจที่ไปด้วยได้รับโทรศัพท์ และแจ้งต่อผู้รับมอบอำนาจของ บมจ.ปิคนิค โดยอ้างว่า มีผู้ใหญ่ที่มียศ พล.ต.ท. คนหนึ่ง โทรศัพท์มาว่า “อย่ามายุ่ง” ทำให้ตำรวจถอนกำลังกลับไปหมดแม้จะเริ่มดำเนินการตัดลูกกุญแจเพื่อเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินแล้ว ต่อมาเมื่อเวลาประมาณเกือบ 15.00 น. กรรมการเวิลด์แก๊ส ได้เข้ามาขัดขวางการส่งมอบ และพนักงานของเวิลด์แก๊สก็ปฏิเสธการออกจากพื้นที่ และส่งมอบคลัง

เรื่องดังกล่าว ผู้รับมอบอำนาจของปิคนิคที่ไม่มีกำลังตำรวจ พร้อมด้วยเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงหยุดดำเนินการ และทำได้เพียงจัดทำรายงาน และแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ขณะเดียวกัน ในเวลาต่อมาได้มีกองกำลังทหารเข้ามาสนับสนุนอีกหนึ่งคันรถตู้เพื่อขัดขวางการส่งมอบคลังในครั้งนี้ด้วย....ต่อมา จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงได้เกิดเหตุการณ์ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น เพื่อป้องกันกลุ่มอิทธิพลแบบเดิมมากดดัน

กลับมาที่ด้านการลงทุน ปัจจุบัน หากหุ้น PICNI ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อไปเป็น “WP”แล้ว สามารถขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงแล้วเสร็จ พล.ต.อ.สมยศ น่าจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพราะมีชื่อปรากฏเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นระดับหัวแถว ดังนั้น หากดีลดังกล่าวสำเร็จ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดอื่นใด จะเป็นการเข้าเทกโอเวอร์กิจการที่มีผลต่ออนาคตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ จนมีคำถามเกิดขึ้นในวงการว่า นำเงินลงทุนก้อนใหญ่มาจากไหน กับการเข้าช่วยฟื้นกิจการบริษัทที่เคยมีปัญหาในระดับที่เรียกได้ว่า “หนัก”

ไม่เพียงแค่นั้น ตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วง ยังขยายอาณาจักรการลงทุนผ่านการลงทุนในหุ้นอื่นๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น อย่างการส่งลูกสาวใช้สิทธิซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงใน บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MLINK หลังเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 150 ล้านหุ้น จากกลุ่ม “นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” ผู้ซึ่งเป็นน้องสาว และพี่สาว รวมทั้งเป็นภริยา ของนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กว่า 7.90% พร้อมขาใหญ่ในตลาดอย่าง “สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย” และ “มานิต มัสยวานิช” เข้าร่วมขบวน

รวมทั้งการใส่เงินเข้ามาในบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ ในแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 3,500 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.342 บาทเท่ากัน ให้แก่นักลงทุน 2 ราย รวมมูลค่า 1,197 ล้านบาท ประกอบด้วย นายนิรันดร์ เหตระกูล จำนวน 1,000 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 342 ล้านบาท พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จำนวน 2,500 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 855 ล้านบาท

ล่าสุด พล.ต.อ.สมยศ และคนในตระกูล “พุ่มพันธุ์ม่วง” ยังมีชื่อปรากฏในรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงร่วมกับนักลงทุนรวม 11 รายใน บริษัท วธน แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ WAT จากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนล่าสุด โดยหากดีลสำเร็จ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง WAT จะกลายเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่บิ๊กสีกากีท่านนี้จะเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

โดยราคาเสนอขายหุ้น WAT อยู่ที่ 0.036 บาทต่อหุ้น กำหนดจากราคาไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาปิดถ่วงน้ำหนักของหุ้นบริษัท 7 วัน ที่หุ้นมีราคาปิดเฉลี่ยที่ 0.04 บาท และมีเงื่อนไขกำหนดการชำระเงินค่าหุ้นภายในวันที่ 30 พ.ย.57 เพื่อใช้รองรับโอกาสการลงทุนในอนาคตโดยเน้นการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงมองหาโอกาสการลงทุนธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดอย่างคงที่

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าในแวดวงลงทุนขณะนี้การดำเนินการเข้าถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ของ ผบ.ตร. เป็นไปอย่างเปิดเผย ซึ่งทุกคนในตลาดรับรู้ถึงการขยายการขยายอาณาจักรหุ้นในมือมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการได้ครอบครองหุ้น WAT เพราะเท่ากับได้ถือหุ้นสื่อใหญ่อย่าง บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (NMG) จำนวน 250 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 7.57% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 1.60 บาท มูลค่ารวมไม่เกิน 400 ล้านบาท

นอกจากนี้ กลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วง ยังมีการเข้าถือหุ้นในบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) (RS) โดยมี น.ส.ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้น 0.55 % และบริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) (SIM) ก็มี น.ส.ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้น 0.52% ด้วยเช่นกัน

อีกสิ่งที่น่าสนใจสำหรับบิ๊กสีกากีรายนี้ คือ สายสัมพันธ์ที่แนบแน่กับนักลงทุนรายใหญ่ที่มีชื่อเสียง หรือเป็นที่รู้จักหลายราย เช่น วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ชัชวาลย์ เจียรวนนท์, พิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง, มนตร์ลดา พงษ์พานิช, สมชาย เบญจรงคกุล เป็นต้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่พันธมิตรด้านการลงทุนเหล่านี้อาจร่วมกันมองหาโอกาสในการลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีผ่านดีลใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอนาคตได้เช่นกัน

สำหรับสังคมไทย การลงทุนในตลาดหุ้นไทยมักถูกมองเป็นเรื่องไม่เหมาะสมสำหรับนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง แต่เรื่องดังกล่าวจะเหมาะสม หรือหลายคนกำลังให้ความสำคัญต่อความความโปร่งใส่ และการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา และส่วนเรื่องความเคลือบแคลงจากบุคคลภายนอกว่าจะใช้อำนาจหน้าที่เอื้อหาผลประโยชน์หรือไม่ เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องอธิบายสังคมต่อไป

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าต่อจากนี้ในตลาดหุ้นไทยจะมีนักลงทุนอีกไม่น้อยที่จะคอยจับตาการเข้าลงทุนในหุ้นของกลุ่มตระกูลพุ่มพันธุ์ม่วง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวเพื่อเข้าลงทุนของหัวเรือใหญ่ของกลุ่มอย่าง พล.ต.อ.สมยศ อย่างไม่ละสายตา และอาจได้เห็นบิ๊กสีกากีรายนี้กระโดดเข้ามาเป็นนักลงทุนเต็มตัวหลังเกษียณ..ก็มีความเป็นไปได้
กำลังโหลดความคิดเห็น