ASTVผู้จัดการรายวัน-สนพ.เตรียมศึกษากลไกเดินหน้าปรับโครงสร้างราคาLPG และ NGV ต่อในปี 2558 หลังการปฏิรูปราคาน้ำมันคืบหน้าไปมากแล้ว สั่งปตท.ทบทวนต้นทุนราคา NGV ใหม่ชี้ตัวเลขเสนอ 16 บาทต่อกก.สูงไปเหตุราคา LNG ตลาดโลกหล่นวูบ ขณะที่LPG จ่อลดค่าการตลาดLPGภาคขนส่งลงมาเพื่อให้โครงสร้างราคาเหมาะสมและเป็นธรรมย้ำกองทุนน้ำมันฯยังจำเป็นต้องสะสมเงินเพื่อไว้ดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันแม้ขณะนี้จะลดต่ำแต่อนาคตไม่มีอะไรแน่
นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยว่า ปี 2558 สนพ.ได้รับมอบหมายจากกระทรวงพลังงานในการหากลไกการปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV อย่างไรก็ตามจากระดับราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)นำเข้าที่ปรับตัวลดลงมากจากเดือนพ.ย.57 เฉลี่ย 558 เหรียญสหรัฐต่อตันลงมาเฉลี่ย 500เหรียญฯต่อตันเดือนธ.ค.ทำให้กระทวงพลังงานมอบหมายให้บมจ.ปตท.ไปศึกษาต้นทุนราคา NGV ใหม่ที่เดิมกำหนดไว้ว่าราคาที่เหมาะสมที่ควรจะเป็นอยู่ที่ 16 บาทต่อกิโลกรัม(กก.)
“ราคา LNG ที่ลดลงรวมถึงระดับราคาน้ำมันที่ลดก็จะส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเองก็จะลดตามด้วยดังนั้นการคำนวณราคา NGV เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างให้สะท้อนต้นทุนที่ก่อนหน้านี้บมจ.ปตท.เสนอว่าราคา NGV ที่ปัจจุบันอยู่ 11.50 บาทต่อกก.ควรสะท้อนตามราคาที่แท้จริงคือควรเป็น 16 บาทต่อกก. ก็คงจะไม่ถึงปตท.ก็จะต้องกลับไปพิจารณาว่าเท่าใดแน่แล้วเสนอมาเพื่อดูอีกทีนอกจากนี้ยังมอบหมายให้ปตท.ไปพิจารณาปรับเพิ่มจำนวนปั๊ม NGV ให้เพิ่มขึ้นด้วยเพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างทั่วถึงเพื่อให้สอดรับการการปรับขึ้นราคา NGVให้สะท้อนกลไกราคาที่แท้จริง”นายชวลิตกล่าว
สำหรับการปรับโครงสร้างราคา LPG หลังจากที่ได้มีการทยอยปรับราคาจนทำให้ราคาของภาคครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรมเป็นราคาเดียวที่ 24.16 บาทต่อกก.แล้ว รวมถึงได้มีการปลดล็อคราคาหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่กำหนดไว้ตายตัวที่ 333 เหรียญสหรัฐต่อตันมาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งหลังจากนี้ก็จะต้องมาพิจารณาต้นทุนราคาหน้าโรงแยกก๊าซฯ ต้นทุนโรงกลั่นและการนำเข้า โดย 3 ส่วนนี้มาคำนวณและกำหนดราคาให้เป็นต้นทุนเฉลี่ยที่ออกมาเป็นธรรมและที่สำคัญต้องเป็นราคาที่ประชาชนรับได้ด้วยซึ่งคาดว่าทั้งหมดนี้จะมีการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน
โดยแนวทางการปรับโครงสร้างคือราคาควรจะเป็นราคาเดียวเพราะหากราคาใดสูงกว่าจะเกิดปัญหาการลักลอบการใช้ข้ามประเภท ดังนั้นกลไกที่สนพ.กำลังพิจารณาเบื้องต้นขณะนี้ก็คือLPGภาคขนส่งนั้นถือเป็นการใช้ที่ไม่มีประสิทธิภาพเพราะปล่อยมลภาวะและทำลายถนนแต่การจะทำให้ราคาต่างกันก็จะไปติดปัญหาการลักลอบอีกจึงมองไปที่การดูแลเรื่องค่าการตลาดเข้ามาเนื่องจากขณะนี้พบว่าค่าการตลาด LPG ขนส่งค่อนข้างสูงมาก ขณะที่ภาคครัวเรือนเองมีค่าใช้จ่ายเรื่องของถังการดูแลถังค่าบริหารจัดการภาพรวมที่สูงกว่า จุดนี้จึงจะต้องมาดู
“ เราจะเข้ามาใช้กลไกค่าการตลาดดูแลซึ่งจะบอกว่าเราจะบีบปั๊ม LPG ทางอ้อมก็คงจะไม่ถูกซะทีเดียวเราต้องมองว่าขณะนี้ LPG ขนส่งนั้นได้เปรียบกว่าอื่นๆ เพราะค่าการตลาดสูงนี่จึงเป็นเหตุให้ปั๊ม LPG เกิดขึ้นมากและเมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน LPG ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก นอกจากนี้เราจะต้องมาดูเรื่องของภาษีสรรพสามิต LPGด้วยเพราะในเมื่อน้ำมันก็จ่ายก็ควรจะต้องจ่ายอย่างไรให้เหมาะสม”นายชวลิตกล่าว
สำหรับการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันปัจจุบันถือว่าทำมาได้เกือบสมบูรณ์แล้วเหลือเพียงการพิจารณาอีกเล็กน้อยในเรื่องของอัตรานำเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯที่ยังมีความจำเป็นอยู่โดยส่วนหนึ่งจะต้องโยกไปให้กับภาษีสรรพสามิตดีเซลที่รัฐมีเป้าหมายจะกลับมาเก็บระดับ 4 บาทกว่าต่อลิตร ซึ่งคาดว่าเร็วๆ นี้ก็คงจะโยกเงินกองทุนฯไปได้ตามแผนที่วางไว้ที่เหลือก็จะต้องสะสมเงินไว้รองรับในระดับที่เหมาะสมเพื่อไว้ดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันและการบริหารพลังงานทดแทนซึ่ง แม้ว่าวันนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะลดลงเฉลี่ยมาอยู่ที่ 60 เหรียญฯต่อบาร์เรลก็ตามแต่อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน
นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยว่า ปี 2558 สนพ.ได้รับมอบหมายจากกระทรวงพลังงานในการหากลไกการปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV อย่างไรก็ตามจากระดับราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)นำเข้าที่ปรับตัวลดลงมากจากเดือนพ.ย.57 เฉลี่ย 558 เหรียญสหรัฐต่อตันลงมาเฉลี่ย 500เหรียญฯต่อตันเดือนธ.ค.ทำให้กระทวงพลังงานมอบหมายให้บมจ.ปตท.ไปศึกษาต้นทุนราคา NGV ใหม่ที่เดิมกำหนดไว้ว่าราคาที่เหมาะสมที่ควรจะเป็นอยู่ที่ 16 บาทต่อกิโลกรัม(กก.)
“ราคา LNG ที่ลดลงรวมถึงระดับราคาน้ำมันที่ลดก็จะส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเองก็จะลดตามด้วยดังนั้นการคำนวณราคา NGV เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างให้สะท้อนต้นทุนที่ก่อนหน้านี้บมจ.ปตท.เสนอว่าราคา NGV ที่ปัจจุบันอยู่ 11.50 บาทต่อกก.ควรสะท้อนตามราคาที่แท้จริงคือควรเป็น 16 บาทต่อกก. ก็คงจะไม่ถึงปตท.ก็จะต้องกลับไปพิจารณาว่าเท่าใดแน่แล้วเสนอมาเพื่อดูอีกทีนอกจากนี้ยังมอบหมายให้ปตท.ไปพิจารณาปรับเพิ่มจำนวนปั๊ม NGV ให้เพิ่มขึ้นด้วยเพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างทั่วถึงเพื่อให้สอดรับการการปรับขึ้นราคา NGVให้สะท้อนกลไกราคาที่แท้จริง”นายชวลิตกล่าว
สำหรับการปรับโครงสร้างราคา LPG หลังจากที่ได้มีการทยอยปรับราคาจนทำให้ราคาของภาคครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรมเป็นราคาเดียวที่ 24.16 บาทต่อกก.แล้ว รวมถึงได้มีการปลดล็อคราคาหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่กำหนดไว้ตายตัวที่ 333 เหรียญสหรัฐต่อตันมาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งหลังจากนี้ก็จะต้องมาพิจารณาต้นทุนราคาหน้าโรงแยกก๊าซฯ ต้นทุนโรงกลั่นและการนำเข้า โดย 3 ส่วนนี้มาคำนวณและกำหนดราคาให้เป็นต้นทุนเฉลี่ยที่ออกมาเป็นธรรมและที่สำคัญต้องเป็นราคาที่ประชาชนรับได้ด้วยซึ่งคาดว่าทั้งหมดนี้จะมีการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน
โดยแนวทางการปรับโครงสร้างคือราคาควรจะเป็นราคาเดียวเพราะหากราคาใดสูงกว่าจะเกิดปัญหาการลักลอบการใช้ข้ามประเภท ดังนั้นกลไกที่สนพ.กำลังพิจารณาเบื้องต้นขณะนี้ก็คือLPGภาคขนส่งนั้นถือเป็นการใช้ที่ไม่มีประสิทธิภาพเพราะปล่อยมลภาวะและทำลายถนนแต่การจะทำให้ราคาต่างกันก็จะไปติดปัญหาการลักลอบอีกจึงมองไปที่การดูแลเรื่องค่าการตลาดเข้ามาเนื่องจากขณะนี้พบว่าค่าการตลาด LPG ขนส่งค่อนข้างสูงมาก ขณะที่ภาคครัวเรือนเองมีค่าใช้จ่ายเรื่องของถังการดูแลถังค่าบริหารจัดการภาพรวมที่สูงกว่า จุดนี้จึงจะต้องมาดู
“ เราจะเข้ามาใช้กลไกค่าการตลาดดูแลซึ่งจะบอกว่าเราจะบีบปั๊ม LPG ทางอ้อมก็คงจะไม่ถูกซะทีเดียวเราต้องมองว่าขณะนี้ LPG ขนส่งนั้นได้เปรียบกว่าอื่นๆ เพราะค่าการตลาดสูงนี่จึงเป็นเหตุให้ปั๊ม LPG เกิดขึ้นมากและเมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน LPG ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก นอกจากนี้เราจะต้องมาดูเรื่องของภาษีสรรพสามิต LPGด้วยเพราะในเมื่อน้ำมันก็จ่ายก็ควรจะต้องจ่ายอย่างไรให้เหมาะสม”นายชวลิตกล่าว
สำหรับการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันปัจจุบันถือว่าทำมาได้เกือบสมบูรณ์แล้วเหลือเพียงการพิจารณาอีกเล็กน้อยในเรื่องของอัตรานำเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯที่ยังมีความจำเป็นอยู่โดยส่วนหนึ่งจะต้องโยกไปให้กับภาษีสรรพสามิตดีเซลที่รัฐมีเป้าหมายจะกลับมาเก็บระดับ 4 บาทกว่าต่อลิตร ซึ่งคาดว่าเร็วๆ นี้ก็คงจะโยกเงินกองทุนฯไปได้ตามแผนที่วางไว้ที่เหลือก็จะต้องสะสมเงินไว้รองรับในระดับที่เหมาะสมเพื่อไว้ดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันและการบริหารพลังงานทดแทนซึ่ง แม้ว่าวันนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะลดลงเฉลี่ยมาอยู่ที่ 60 เหรียญฯต่อบาร์เรลก็ตามแต่อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน