ก่อนสิ้นปี 2557 ยังมีปัญหาอุบัติเหตุสยองขวัญ มาเลเซียเพื่อนบ้านของเราประสบเคราะห์กรรมด้านธุรกิจการบินอีกครั้งเมื่อเครื่องบินแอร์บัส A320/200 หายไประหว่างบินจากเมืองสุราบายา อินโดนีเซียไปสิงคโปร์ มีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 162 ชีวิต เป็นชะตากรรมร้ายเกินธรรมดา
ปีนี้มาเลเซียอยู่ในสภาวะวิปโยค สูญเสียเครื่องบินของมาเลเซียแอร์ไลน์ไป 2 ลำ ลำแรกหายไปพร้อมผู้โดยสารทั้งลำในมหาสมุทรอินเดียอย่างไร้ร่องรอย ทุกวันนี้ยังค้นหาไม่พบ อีกลำถูกยิงตกในยูเครน ยังมีการกล่าวหากันอยู่ระหว่างรัฐบาลยูเครนกับฝ่ายกบฏแบ่งแยกดินแดนว่าอีกฝ่ายยิงตก
ช่วงก่อนสิ้นปีจึงมักมีข่าวร้ายส่งท้ายที่ทะเลเอเดรียติก เกิดเหตุไฟไหม้บนเรือเฟอร์รี่เดินทางระหว่างกรีซกับอิตาลี มีผู้โดยสารกว่า 400 คน มีผู้เสียชีวิตเพียง 1 ราย ที่เหลือมีบาดเจ็บถูกไฟลวกและเผชิญอากาศหนาวเย็นระดับน้ำทะเลเป็นน้ำแข็ง เพราะยุโรปปีนี้มีอากาศหนาวรุนแรง
หันมามองบ้านเรา ก่อนสิ้นปีสภาพโดยรวมทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แทบมองไม่เห็นความแจ่มใสของอนาคต รวมถึงอนาคตของท่านผู้นำว่าจะลงเอยอย่างไร จบแบบสวยหรือไม่ เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจ ทั้งๆ ที่ใช้กฎหมายและกฎเหล็กเผด็จการของกฎอัยการศึกเป็นตัวช่วยหลัก
คำวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าท่านผู้นำได้ยินหรืออ่านแล้วไม่สบอารมณ์ เป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา ประเด็นที่ว่าคำวิพากษ์เหล่านั้นมีเค้าความจริงหรือไม่ กลายเป็นเรื่องนอกประเด็น กรณีเช่นนี้ทำให้ท่านผู้นำกลายสภาพไปเป็นนักการเมืองโดยพกพานิสัยนายทหาร ตะคอกไอ้เณรลูกแถวมาใช้กับประชาชน
นักการเมืองกุมอำนาจ สวมหัวโขน เป็นคนลืมตัววัวลืมตีนจึงมักเสียคนแบบน่าทุเรศเพราะชอบฟังแต่คำเยินยอประเภท “ถูกครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” ในยุคของจอมพลป. มีคำร่ำลือว่าจอมเชลียร์ผู้หนึ่งเยินยอท่านผู้นำว่า “โอ! ท่านครับ ผมเห็นแสงเฮ้ากวงเรืองรองจากตัวท่านครับ”
ใครจะรู้ อีกไม่นานอาจมีคนอ้างว่าได้เห็นแสงเฮ้ากวงเปล่งออร่า จากท่านผู้นำปัจจุบันก็ได้ ฮ่า!
พูดถึงชะตากรรมประเทศ และเห็นมหกรรมยักแย่ยักยันแต่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บอกได้คำเดียวว่าสภาวะการร้อนวิชาของนักแต่งรัฐธรรมนูญชวนให้สงสัยว่ามีเจตนาเงื่อนงำแฝงเร้น เป็นความพยายามเพื่อไม่ให้ร่างฉบับที่แต่งกันอยู่ขณะนี้ไม่ผ่านสภาปฏิรูปและสภานิติบัญญัติหรือไม่
ประวัติศาสตร์ของสภาวะการเมืองไทยและการกระสันอำนาจของคนทำให้การมองโลกในแง่ดีเป็นความหน่อมแน้มทางสติปัญญา หลักการความเชื่อและความบ้องตื้นในมุมมองการเมืองโดยแท้ เพราะการเมืองไทยไม่มีหลักการ ไร้คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม และยางอายตั้งแต่ปี 2475 แล้ว
ไม่อย่างนั้นการเมืองไทยไม่อยู่ในสภาพน่าทุเรศอัปยศเช่นนี้ การรัฐประหารซ้ำซากเป็นเพียงอีกฉากหนึ่งของความอัปยศเช่นกัน ทำกันมาเป็นธรรมเนียม 18-19 ครั้ง ก็ไม่ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น เป็นการซ้ำเติมให้เลวร้ายลง เริ่มต้นมีข้ออ้างสวยหรูสารพัด สุดท้ายนักรัฐประหารร่ำรวยทุกคน
เราได้เห็นการนำเสนอแนวคิดต่างๆ ในการแต่งรัฐธรรมนูญ มีความหลากหลาย แนวทางการเลือกตั้ง ที่มาของ ส.ส. ส.ว. นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี มีประเด็นน่าสนใจ สมควรสนับสนุนคือการให้นายกฯ เสนอชื่อ ครม.ให้กรรมาธิการหรือ ส.ว. ซักฟอกประวัติ แจ้งทรัพย์สินเพื่ออนุมัติ
เป็นเหมือนการรับรอง หรือ Confirmation Hearing โดยวุฒิสภาของสหรัฐฯ เป็นมาตรการสกัดกั้นมิให้บุคคลประวัติมัวหมอง ไม่น่าเชื่อถือ มีพฤติกรรมเป็นไอ้หน้าขี้โกงกังฉินเข้าสู่ตำแหน่ง และร่างใหม่ยังมีข้อห้ามพวกทุจริต ห้ามเข้าสู่การเมือง เป็นผู้บริหารบริษัทมหาชนตลอดชีวิต
แบบนี้เป็นมาตรการดีแต่จะผ่านหรือไม่ถ้านำมาใช้ ไอ้พวกมหาวายร้ายกังฉินจะหายหน้าไปจากวงการเมือง จะส่งตัวแทน ทายาทลงมาแต่จะไม่ง่ายโดยเอาพวกไร้ผลงานมาแทนเหมือนแต่ก่อน
มีประเด็นอื่นๆ เช่นที่มาของ ส.ว.มาจากการแต่งตั้ง มีอำนาจแต่งตั้ง ถอดถอน ออกกฎหมายได้เอง การเลือกตั้ง ส.ส.แบบสัดส่วนผสม หรือ Mix-Member Proportional เยอรมันโมเดล การเปิดช่องให้มีนายกฯ มาจากคนนอกภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์พิเศษ นี่แหละจะทำให้เกิดปัญหา
แม้จะยังไม่เป็นบทสรุป ก็เริ่มเห็นร่างและเค้าลางของ “พิมพ์สีเขียว” เฉพาะกลุ่มปรากฏ จากนี้ไปจะมีหลากหลายข้อเสนอนำมาให้ลองวิชาถกเถียงกันมากกว่าเดิม ยิ่งเห็นหน้าตาและพฤติกรรมแต่หนหลังของพวกตัวเอ้ๆ ในการแต่งรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้น่าสงสัยว่าเป็นพวก “นักรับงาน”
พวกนี้มาปฏิบัติหน้าที่เฉพาะกิจ เพื่อไม่ให้ร่างรัฐธรรนูญผ่าน ต้องหาเรื่องร่างกันใหม่! นั่นเป็นช่องทางเดียวที่จะทำให้รัฐบาลปัจจุบันต่ออายุอยู่ต่อไปอีก ยาวนานถึง 3-4 ปี เพราะไหนๆ ก็เสี่ยงรัฐประหารต้นทุนต่ำทั้งที ก็ต้องเอาให้คุ้ม ส่วนจะเอาอะไรได้นั้น ต้องรอชมบทสุดท้ายว่ามากแค่ไหน
ก่อนหน้านี้ ผมเคยบอกแล้วว่า จะเลือกตั้งภายใน 1 ปีนั้นเป็นคำลวงโลก กลุ่มผู้กุมอำนาจอยากอยู่ยาวถึง 4 ปี เราเริ่มเห็นแววแล้วว่าการเลือกตั้งจะต้องยื้อไปเรื่อยๆ โดยมีข้ออ้างต่างๆ ทำให้เนียน ผลสุดท้ายอาจมีเหตุพลิกผันจนได้ มาบัดนี้ “อะไรที่น่าสงสัย ก็ไม่ต้องสงสัย ใช่แน่ๆเลย” ละ
ใครก็ตามที่ได้เข้าสู่วงจรอำนาจจะเริ่มแสดงอาการเสพติดอำนาจทึกทักเอาว่า ตัวเองนั้นเป็นที่ต้องการของประชาชน เมื่อเสพติดขั้นงอมแงมจะเริ่มเชื่อว่าตัวเองเป็นบุคคลที่ขาดไม่ได้ ถ้าตัวเองไม่ได้เป็นผู้นำชาติล่มจมแน่ บางคนลงทุนหนักพยายามเป็นเผด็จการทรราชผลสุดท้ายไปไม่รอดสักราย
ถ้าตัวเองไม่กระสันอำนาจก็จะมีขบวนการลูกขุนพลอยพยักจอมเชลียร์ ทำให้เกิดความคิดเช่นนั้น ยิ่งพวกบ้าอำนาจหลงตัวเอง มักนึกว่าตัวเองอยู่ระดับใกล้เทวดาเดินดิน จะมองว่าผู้วิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นศัตรู ผู้ประสงค์ร้ายหรือหนักข้อก็ว่าเป็นพวกแสวงหาอำนาจ ลืมไปว่าตัวเองก็ประเภทเดียวกัน
ดังนั้น สาธุชนคนดีต้องทำใจเมื่อมองมหกรรมแต่งรัฐธรรมนูญ ผู้มีส่วนร่วมส่วนหนึ่งมีเจตนาดีอยากให้บ้านเมืองมีหลัก มีเส้นทางสู่อนาคตการเมืองดีกว่าสภาวะน้ำเน่า แต่มีพวกนักรับงานกำลังขับเคลื่อนเจตนาแฝงเร้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกกระสันอำนาจอยากเป็นใหญ่บนเส้นทางลัด
เจตนาแฝงเร้นจะเริ่มปรากฏชัดเมื่อมีสถานการณ์อื่นๆ ประกอบ เช่น คดีความต่างๆ เกี่ยวโยงกับพวกกังฉิน การกระชับอำนาจ การหวงอำนาจ แนวคิดตรรกะไร้เหตุผล พฤติกรรมโดยรวมทั้งหมดจะอยู่ในกรอบคำพูดของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ที่ว่า “ไม่ฉลาด ไร้เหตุผล” นั่นแล!
ปีนี้มาเลเซียอยู่ในสภาวะวิปโยค สูญเสียเครื่องบินของมาเลเซียแอร์ไลน์ไป 2 ลำ ลำแรกหายไปพร้อมผู้โดยสารทั้งลำในมหาสมุทรอินเดียอย่างไร้ร่องรอย ทุกวันนี้ยังค้นหาไม่พบ อีกลำถูกยิงตกในยูเครน ยังมีการกล่าวหากันอยู่ระหว่างรัฐบาลยูเครนกับฝ่ายกบฏแบ่งแยกดินแดนว่าอีกฝ่ายยิงตก
ช่วงก่อนสิ้นปีจึงมักมีข่าวร้ายส่งท้ายที่ทะเลเอเดรียติก เกิดเหตุไฟไหม้บนเรือเฟอร์รี่เดินทางระหว่างกรีซกับอิตาลี มีผู้โดยสารกว่า 400 คน มีผู้เสียชีวิตเพียง 1 ราย ที่เหลือมีบาดเจ็บถูกไฟลวกและเผชิญอากาศหนาวเย็นระดับน้ำทะเลเป็นน้ำแข็ง เพราะยุโรปปีนี้มีอากาศหนาวรุนแรง
หันมามองบ้านเรา ก่อนสิ้นปีสภาพโดยรวมทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แทบมองไม่เห็นความแจ่มใสของอนาคต รวมถึงอนาคตของท่านผู้นำว่าจะลงเอยอย่างไร จบแบบสวยหรือไม่ เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจ ทั้งๆ ที่ใช้กฎหมายและกฎเหล็กเผด็จการของกฎอัยการศึกเป็นตัวช่วยหลัก
คำวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าท่านผู้นำได้ยินหรืออ่านแล้วไม่สบอารมณ์ เป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา ประเด็นที่ว่าคำวิพากษ์เหล่านั้นมีเค้าความจริงหรือไม่ กลายเป็นเรื่องนอกประเด็น กรณีเช่นนี้ทำให้ท่านผู้นำกลายสภาพไปเป็นนักการเมืองโดยพกพานิสัยนายทหาร ตะคอกไอ้เณรลูกแถวมาใช้กับประชาชน
นักการเมืองกุมอำนาจ สวมหัวโขน เป็นคนลืมตัววัวลืมตีนจึงมักเสียคนแบบน่าทุเรศเพราะชอบฟังแต่คำเยินยอประเภท “ถูกครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” ในยุคของจอมพลป. มีคำร่ำลือว่าจอมเชลียร์ผู้หนึ่งเยินยอท่านผู้นำว่า “โอ! ท่านครับ ผมเห็นแสงเฮ้ากวงเรืองรองจากตัวท่านครับ”
ใครจะรู้ อีกไม่นานอาจมีคนอ้างว่าได้เห็นแสงเฮ้ากวงเปล่งออร่า จากท่านผู้นำปัจจุบันก็ได้ ฮ่า!
พูดถึงชะตากรรมประเทศ และเห็นมหกรรมยักแย่ยักยันแต่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บอกได้คำเดียวว่าสภาวะการร้อนวิชาของนักแต่งรัฐธรรมนูญชวนให้สงสัยว่ามีเจตนาเงื่อนงำแฝงเร้น เป็นความพยายามเพื่อไม่ให้ร่างฉบับที่แต่งกันอยู่ขณะนี้ไม่ผ่านสภาปฏิรูปและสภานิติบัญญัติหรือไม่
ประวัติศาสตร์ของสภาวะการเมืองไทยและการกระสันอำนาจของคนทำให้การมองโลกในแง่ดีเป็นความหน่อมแน้มทางสติปัญญา หลักการความเชื่อและความบ้องตื้นในมุมมองการเมืองโดยแท้ เพราะการเมืองไทยไม่มีหลักการ ไร้คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม และยางอายตั้งแต่ปี 2475 แล้ว
ไม่อย่างนั้นการเมืองไทยไม่อยู่ในสภาพน่าทุเรศอัปยศเช่นนี้ การรัฐประหารซ้ำซากเป็นเพียงอีกฉากหนึ่งของความอัปยศเช่นกัน ทำกันมาเป็นธรรมเนียม 18-19 ครั้ง ก็ไม่ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น เป็นการซ้ำเติมให้เลวร้ายลง เริ่มต้นมีข้ออ้างสวยหรูสารพัด สุดท้ายนักรัฐประหารร่ำรวยทุกคน
เราได้เห็นการนำเสนอแนวคิดต่างๆ ในการแต่งรัฐธรรมนูญ มีความหลากหลาย แนวทางการเลือกตั้ง ที่มาของ ส.ส. ส.ว. นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี มีประเด็นน่าสนใจ สมควรสนับสนุนคือการให้นายกฯ เสนอชื่อ ครม.ให้กรรมาธิการหรือ ส.ว. ซักฟอกประวัติ แจ้งทรัพย์สินเพื่ออนุมัติ
เป็นเหมือนการรับรอง หรือ Confirmation Hearing โดยวุฒิสภาของสหรัฐฯ เป็นมาตรการสกัดกั้นมิให้บุคคลประวัติมัวหมอง ไม่น่าเชื่อถือ มีพฤติกรรมเป็นไอ้หน้าขี้โกงกังฉินเข้าสู่ตำแหน่ง และร่างใหม่ยังมีข้อห้ามพวกทุจริต ห้ามเข้าสู่การเมือง เป็นผู้บริหารบริษัทมหาชนตลอดชีวิต
แบบนี้เป็นมาตรการดีแต่จะผ่านหรือไม่ถ้านำมาใช้ ไอ้พวกมหาวายร้ายกังฉินจะหายหน้าไปจากวงการเมือง จะส่งตัวแทน ทายาทลงมาแต่จะไม่ง่ายโดยเอาพวกไร้ผลงานมาแทนเหมือนแต่ก่อน
มีประเด็นอื่นๆ เช่นที่มาของ ส.ว.มาจากการแต่งตั้ง มีอำนาจแต่งตั้ง ถอดถอน ออกกฎหมายได้เอง การเลือกตั้ง ส.ส.แบบสัดส่วนผสม หรือ Mix-Member Proportional เยอรมันโมเดล การเปิดช่องให้มีนายกฯ มาจากคนนอกภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์พิเศษ นี่แหละจะทำให้เกิดปัญหา
แม้จะยังไม่เป็นบทสรุป ก็เริ่มเห็นร่างและเค้าลางของ “พิมพ์สีเขียว” เฉพาะกลุ่มปรากฏ จากนี้ไปจะมีหลากหลายข้อเสนอนำมาให้ลองวิชาถกเถียงกันมากกว่าเดิม ยิ่งเห็นหน้าตาและพฤติกรรมแต่หนหลังของพวกตัวเอ้ๆ ในการแต่งรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้น่าสงสัยว่าเป็นพวก “นักรับงาน”
พวกนี้มาปฏิบัติหน้าที่เฉพาะกิจ เพื่อไม่ให้ร่างรัฐธรรนูญผ่าน ต้องหาเรื่องร่างกันใหม่! นั่นเป็นช่องทางเดียวที่จะทำให้รัฐบาลปัจจุบันต่ออายุอยู่ต่อไปอีก ยาวนานถึง 3-4 ปี เพราะไหนๆ ก็เสี่ยงรัฐประหารต้นทุนต่ำทั้งที ก็ต้องเอาให้คุ้ม ส่วนจะเอาอะไรได้นั้น ต้องรอชมบทสุดท้ายว่ามากแค่ไหน
ก่อนหน้านี้ ผมเคยบอกแล้วว่า จะเลือกตั้งภายใน 1 ปีนั้นเป็นคำลวงโลก กลุ่มผู้กุมอำนาจอยากอยู่ยาวถึง 4 ปี เราเริ่มเห็นแววแล้วว่าการเลือกตั้งจะต้องยื้อไปเรื่อยๆ โดยมีข้ออ้างต่างๆ ทำให้เนียน ผลสุดท้ายอาจมีเหตุพลิกผันจนได้ มาบัดนี้ “อะไรที่น่าสงสัย ก็ไม่ต้องสงสัย ใช่แน่ๆเลย” ละ
ใครก็ตามที่ได้เข้าสู่วงจรอำนาจจะเริ่มแสดงอาการเสพติดอำนาจทึกทักเอาว่า ตัวเองนั้นเป็นที่ต้องการของประชาชน เมื่อเสพติดขั้นงอมแงมจะเริ่มเชื่อว่าตัวเองเป็นบุคคลที่ขาดไม่ได้ ถ้าตัวเองไม่ได้เป็นผู้นำชาติล่มจมแน่ บางคนลงทุนหนักพยายามเป็นเผด็จการทรราชผลสุดท้ายไปไม่รอดสักราย
ถ้าตัวเองไม่กระสันอำนาจก็จะมีขบวนการลูกขุนพลอยพยักจอมเชลียร์ ทำให้เกิดความคิดเช่นนั้น ยิ่งพวกบ้าอำนาจหลงตัวเอง มักนึกว่าตัวเองอยู่ระดับใกล้เทวดาเดินดิน จะมองว่าผู้วิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นศัตรู ผู้ประสงค์ร้ายหรือหนักข้อก็ว่าเป็นพวกแสวงหาอำนาจ ลืมไปว่าตัวเองก็ประเภทเดียวกัน
ดังนั้น สาธุชนคนดีต้องทำใจเมื่อมองมหกรรมแต่งรัฐธรรมนูญ ผู้มีส่วนร่วมส่วนหนึ่งมีเจตนาดีอยากให้บ้านเมืองมีหลัก มีเส้นทางสู่อนาคตการเมืองดีกว่าสภาวะน้ำเน่า แต่มีพวกนักรับงานกำลังขับเคลื่อนเจตนาแฝงเร้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกกระสันอำนาจอยากเป็นใหญ่บนเส้นทางลัด
เจตนาแฝงเร้นจะเริ่มปรากฏชัดเมื่อมีสถานการณ์อื่นๆ ประกอบ เช่น คดีความต่างๆ เกี่ยวโยงกับพวกกังฉิน การกระชับอำนาจ การหวงอำนาจ แนวคิดตรรกะไร้เหตุผล พฤติกรรมโดยรวมทั้งหมดจะอยู่ในกรอบคำพูดของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ที่ว่า “ไม่ฉลาด ไร้เหตุผล” นั่นแล!