รายงานโดย...อับดุลเลาะ เบ็ญญากาจ
จากการที่ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ภายในเรือนจำกลางปัตตานีนั้น ทำให้พบว่า สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำนั้นทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง เจ้าหน้าที่เรือนจำปฏิบัติดีต่อผู้ต้องหาทุกคน ทำให้ผู้ต้องขังไม่ค่อยเครียด เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังสามารถปฏิบัติตามหลักศาสนา มีสถานที่ละหมาดสำหรับผู้ต้องขังเป็นมุสลิม
1 ในประเด็นสำคัญที่ผู้สื่อข่าวทุกสำนักต้องการทราบจากเรียวปากผู้ต้องหาความมั่นคงคือ การพูดคุยสันติสุขระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทย กับผู้ที่มีความคิดต่าง หรือกลุ่มขบวนการปลดปล่อยรัฐปัตตานี ซึ่งกำลังจะมีขึ้นระลอกใหม่ หลังจากเคยมีการพูดคุยสันติภาพมารอบหนึ่งแล้วในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพิ่งถูกรัฐประหารโค่นล้มไปโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น ปรากฏว่า ผู้ต้องขังทุกคนเห็นด้วยที่รัฐบาลใช้เป็นแนวทางนี้แก้ไขปัญหา อีกทั้งยังเห็นว่าน่าจะเป็นแนวทางที่จะสามารถสร้างความสันติสุขเกิดขึ้นในพื้นที่ได้จริง โดยไม่เห็นด้วยต่อการใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา
อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องขังได้ฝากให้รัฐบาลไทยแสดงความจริงจัง และจริงใจต่อการพูดคุยที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดสันติสุขในดินแดนปลายด้ามขวานทองของไทย เนื่องจากตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มผู้ที่คิดต่างคิดว่ารัฐไทยยังขาดความจริงใจต่อการพูดคุย เพราะไม่ใช่เพิ่งพูดคุยเป็นครั้งแรก แต่มีการพูดคุยมาแล้วเกือบทุกรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ซึ่งแทบจะไม่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
จึงเกิดคำถามว่า แล้วจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้การพูดคุยสันติสุขที่กำลังจะมีขึ้น เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันขึ้นได้เสียก่อน เพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นแนวทางว่า รัฐบาลไทยมีความจริงใจต่อการพูดคุยใช้เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้
อันจะเห็นได้จากการพูดคุยสันติสุขรอบที่ผ่านมาล่าสุด ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นข่าวที่สังคมรับรู้นั้น ฝ่ายรัฐไทยมี พล.อ.อิศรา เกิดผล เป็นหัวหน้าทีม เดินทางไปพูดคุยกับกลุ่มผู้ที่คิดต่างในประเทศที่สาม โดยมีตัวแทนจากกลุ่มบีอาร์เอ็นฯ กลุ่มมูจาฮิดีน และกลุ่มพูโล ซึ่งการพูดคุยในครั้งนั้นทางกลุ่มผู้เห็นต่างได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลไทยส่งสัญญาณความจริงใจ หรือความไว้เนื้อเชื่อใจต่อการพูดคุยก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการเดินหน้าพูดคุยต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงความจริงใจด้วยการปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีความมั่นคงชายแดนใต้ที่มีไม่น้อยกว่า 300 คน โดยไม่มีเงื่อนไข รวมไปถึง นายสะมะแอ สะอะ หรือหะยีสะมาแอท่าน้ำ อดีตสมาชิกพูโลเก่า และนายดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือหะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ อดีตแกนนำพูโลใหม่ และพวก ซึ่งปัจจุบันได้ถูกจำคุกที่เรือนจำมาแล้ว 17 ปี หลังจากที่ถูกศาลพิพากษาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน
หลังจากการพูดคุยในครั้งนั้น หน่วยงานด้านความมั่นคงในชายแดนใต้ได้ขยับตัวครั้งสำคัญ มีการโยกย้ายกำลังพลที่นิยมความรุนแรงออกจากพื้นที่ ลดการปิดล้อมเพื่อลดการสร้างเงื่อนไขและการสูญเสียจากเหตุปะทะที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในระหว่างการปิดล้อม เบื้องต้น เพื่อให้เป็นรูปธรรมของการไม่ใช้ความรุนแรง ทางศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ได้มีการตัดลดงบประมาณเพื่อการปิดล้อมตรวจค้น ลดการเบิกอาวุธสงคราม และย้ายยานพาหนะกระจายไปตามโรงพักต่างๆ ในพื้นที่
ปัจจุบัน มีการเปิดเวทีพูดคุยสันติสุขกับผู้ที่มีความคิดต่างที่นำโดย พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณการะเกตุ ผบ.ศชต. ซึ่งมีการเดินสายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการนำร่องด้วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในพื้นที่ว่า จะใช้หลักสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ร่วมกัน โดยจะไม่ใช่อำนาจรัฐมากเกินไป จนทำให้เกิดภาพของการรังแกประชาชน
ด้าน นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือหะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ อายุ 57 ปี อดีตแกนนำกลุ่มพูโลใหม่ ได้เผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อครั้งเป็นประธานเปิดงานเยี่ยมญาติ ณ เรือนจำกลางปัตตานี เพื่อเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีด้วยความเป็นธรรมต่อผู้ต้องหา หลังจากในช่วงที่ผ่านมา มีผู้ต้องหาหลายรายหลังจากพ้นโทษ และได้ออกจากเรือนจำปัตตานี แต่กลับมีเจ้าหน้าที่ไปดักรับตัวแล้วแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ ส่งผลให้ถูกนำตัวไปฝากขังต่อ ทำให้ผู้ต้องหาต้องขาดอิสรภาพหลังจากพ้นโทษที่เรือนจำ
หะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ ให้ความคิดเห็นด้วยว่า การที่รัฐบาลไทยเดินหน้าพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างนั้น เรื่องนี้ตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการพูดคุยเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้แผ่นดินชายแดนใต้เกิดความสงบขึ้นมาได้ อีกทั้งเขายังเชื่อด้วยว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะมีศักยภาพ และมีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐบาลที่แล้วๆ มา หรือเชื่อได้มากที่สุดต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ จึงหวังว่ากระบวนการพูดคุยสันติสุขต่อจากนี้จะบรรลุแน่นอน และประสบผลสำเร็จในช่วงของรัฐบาลนี้ โดยจะสามารถนำสันติสุขกลับมาสู่แผ่นดินปลายด้ามขวานได้อย่างแน่นอน