ปัตตานี - “นายสะมะแอ สะอะ” อดีตสมาชิกขบวนการ “พูโล” ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงถูกจำคุก 17 ปี ในเรือนจำ เผยหากรัฐบาลใช้ความจริงใจปัญหาไฟใต้ดับได้ไม่ยาก ชี้การเมืองไร้เสถียรภาพทำนโยบายแก้ปัญหาหยุดชะงัก แนะเจรจาสันติภาพทุกฝ่ายเป็นหนทางยุติความรุนแรงอย่างยั่งยืน
วันนี้ (26 พ.ย.) นายสะมะแอ สะอะ หรือหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ อายุ 61 ปี อยู่ ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี อดีตสมาชิกกองกำลังติดอาวุธ “ขบวนการพูโล” ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงตลอดชีวิต อยู่เรือนจำมาแล้ว 17 ปี ปัจจุบันอยู่เรือนจำกลาง จ.ยะลา ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวในโอกาสที่ทาง ศอ.บต.จัดโครงการ “ศอ.บต.ร่วมสร้างความสุข สานใจรักครอบครัว ผู้ต้องขังชายแดนใต้” ถึงการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า
ถ้าหากรัฐบาลชุดนี้มีความจริงใจในการที่จะแก้ไขปัญหาความไม่สงบจริงนั้นจะประสบความสำเร็จแน่นอน แต่จะต้องใช้เวลา ส่วนจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายขบวนการ แต่ปัญหาของประเทศไทยคือ มักจะมีการเปลี่ยนรัฐบาล เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลนโยบายก็เปลี่ยนไป ซึ่งเห็นได้ชัดกรณีปีที่ผ่านมา ปัจจุบันการแก้ปัญหาหยุดชะงักไป
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดสันติภาพ ก็ขอสนับสนุนให้มีการพูดคุย หรือเจรจาต่อไปแต่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย ซึ่งในการพูดคุยต้องมีความจริงใจกัน และรักษาสัญญาในการพูดคุย เมื่อสำเร็จแล้วค่อยมาเปิดเผยต่อสาธารณชน
นายสะมะแอ กล่าวว่า ที่สำคัญคือ รัฐบาลต้องรวบรวมกลุ่มขบวนการที่มีความคิดเห็นต่างจากรัฐให้เป็นหนึ่งเดียวให้ได้ และมั่นใจว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถทำได้เพราะมีอำนาจเบ็ดเสร็จถือเป็นโอกาสที่ดี และเรากำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 นี้ ถ้าเรายังอยู่แบบนี้เราจะพัฒนาตัวเองไม่ได้ เพราะว่าประชาชนมีความทุกข์ยากลำบาก ผมเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ทำได้
“ที่ผ่านมาการเจรจาไม่สำเร็จถือเป็นบทเรียน วันนี้รัฐบาลรู้แล้วว่ารัฐบาลที่แล้วดินทางผิด เพราะไปพูดคุย หรือเจราจาแค่กลุ่มเดียว ซึ่งความจริงในพื้นที่มีอีกหลายกลุ่มที่เป็นตัวแทนของประชาชนชาวปัตตานี รัฐบาลต้องให้ตัวแทนประชาชนปัตตานีที่มีหลายกลุ่มมารวมตัวเป็นกลุ่มเดียวแล้วตั้งตัวแทนของกลุ่มเพื่อเป็นตัวแทนในการพูดคุย การแก้ไขปัญหาการพูดคุยก็จะเดินหน้าไปได้”
นายสะมะแอ ยังกล่าวถึงกลุ่มขบวนการต่างๆ ว่า ขอให้ความร่วมมือ และใช้เวทีการพูดคุยเจรจาเพื่อแก้ปัญหาอย่าใช้ความรุนแรงต่อกันเพราะไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 11 ปีที่ผ่านมา มีการสูญเสียมามากแล้ว
