xs
xsm
sm
md
lg

คุก3ปีพ.ต.อ. ติดสินบน คดียุบทรท.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลสั่งจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา “พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ” อดีต ผกก.สภ.ต.โพธิ์แก้ว เสนอสินบนตุลาการรัฐธรรมนูญคดียุบพรรคไทยรักไทย ปี 49 อ้างติดหนี้บุญคุณ “หญิงอ้อ” ศาลชี้คดีมีประจักษ์พยานชัดเจน

วานนี้ (24 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3559/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ อดีต ผกก.สภ.ต.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน จ.นครปฐม เป็นจำเลยในความผิดฐานผู้ใดขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการที่มิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 และผู้ใดขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานตำแหน่งตุลาการ อัยการ ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการที่มิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 167

ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2556 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 16-22 ต.ค.2549 จำเลยได้ไปพบ ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ห้องทำงานที่ศาลฎีกา แล้วรับว่าจะให้เงินจำนวน 15 ล้านบาทกับ ม.ล.ไกรฤกษ์ เพื่อให้ช่วยเหลือในการพิจารณาคดียุบพรรคการเมือง เหตุเกิดที่แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร (กทม.) จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี อ้างเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ ม.ล.ไกรฤกษ์ การไปพบก็เพื่อส่งหนังสือเชิญร่วมงานเลี้ยงรุ่น และการกล่าวถึงสินบน ก็เพียงพูดคุยหยอกล้อในฐานะเพื่อนเท่านั้น

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้ว โจทก์มี ม.ล.ไกรฤกษ์เป็นประจักษ์พยาน เบิกความว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2549 จำเลย ได้ไปพบที่ห้องทำงานศาลฎีกา พร้อมพูดถึงการเสนอเงินตอบแทน พิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทยที่พยานได้รับแต่งตั้งเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ และมอบนามบัตรจำเลยให้ แต่พยานปฏิเสธไปโดยสิ้นเชิง โดยจำเลยยังได้พยายามไปพบพยานอีกครั้งที่บ้านพัก ขณะที่ยังมีรองเลขานุการศาลฎีกา ซึ่งเป็นเลขานุการของพยานด้วยเบิกความสนับสนุนว่า ม.ล.ไกรฤกษ์ได้บอกกล่าวเรื่องที่จำเลยมาพบ และยังได้บอกให้พยานช่วยจดบันทึกเหตุการณ์ พร้อมทำบันทึกส่งประธานศาลฎีกาขณะนั้นด้วย

โดยภายหลัง ยังปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า เมื่อจำเลยมาพบ ม.ล.ไกรฤกษ์ที่ห้องทำงานศาลฎีกาแล้ว ม.ล.ไกรฤกษ์ ยังได้เล่าเรื่องให้ผู้พิพากษาศาลฎีกา , ตุลาการที่เป็นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) , ตุลาการรัฐธรรมนูญบางส่วน และรมว.ยุติธรรมรับทราบ กระทั่งมีการร้องทุกข์ให้มีการติดตามดำเนินคดี ซึ่งตามคำเบิกความของ ม.ล.ไกรฤกษ์ ประจักษ์พยาน และพยานบอกเล่า สอดคล้องกันว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2549 จำเลยได้ขอเข้าพบ ม.ล.ไกรฤกษ์ ที่ห้องทำงานศาลฎีกา หลังจากได้รับการแต่งตั้งตุลาการรัฐธรรมนูญ พร้อมพูดขอให้ช่วยเหลือการพิจารณาคดียุบพรรค เพราะจำเลยเป็นหนี้บุญคุณคุณหญิงอ้อ ซึ่งจะมีเงินให้ 15 ล้านบาท โดยจำเลยจะขอส่วนแบ่ง 5% แต่เมื่อ ม.ล.ไกรฤกษ์ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ในวันที่ 22 ต.ค.2549 จำเลยยังได้ไปพบ ม.ล.ไกรฤกษ์ที่บ้านพัก และพยายามพูดถึงการช่วยเหลือการพิจารณาคดียุบพรรคอีก โดยเสนอเพิ่มเงินอีกเป็น 30 ล้านบาท โดยพูดว่า ถ้าผมเป็นหม่อม ผมเอา ขณะที่คำพูดจำเลยว่า เป็นหนี้บุญคุณคุณหญิงอ้อ ทั่วไปก็รับทราบอยู่แล้วว่าคุณหญิงอ้อ คือ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย

การที่จำเลยพยายามไปพบ ม.ล.ไกรฤกษ์ และพูดคุยเรื่องการเสนอจะให้เงินถึง 2 ครั้งนั้น การกระทำย่อมเป็นเหมือนกรรมที่เป็นเครื่องชี้เจตนาว่าจำเลยอ้างพูดหยอกล้อในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น แต่ถ้า ม.ล.ไกรกฤษ์ปฏิเสธและแสดงความไม่พอใจในการพูดคุยแล้ว จำเลยก็ควรจะหยุด ไม่ใช่การพยายามไปพบและพูดคุยเรื่องเดิมอีกเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งจำเลยก็เป็นอดีตนายตำรวจระดับผู้กำกับการ ย่อมจะต้องรู้จักกาลเทศะว่าสิ่งใดควรพูดไม่ควรพูด สิ่งใดควรทำไม่ควรทำ

นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า แม้จำเลยอ้างไปพบพูดคุยหยอกล้อในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น ม.ล.ไกรฤกษ์ แต่นับตั้งแต่ที่ ม.ล.ไกรฤกษ์ได้รับแต่งตั้งตำแหน่งผู้บริหารของศาล ทั้งตำแหน่งรองประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 6 จำเลยก็ไม่เคยโทรศัพท์มาแสดงความยินดีหรือมาพบกับ ม.ล.ไกรฤกษ์ คงพบเจอกันเฉพาะในงานเลี้ยงรุ่นนิติศาสตร์เท่านั้น และถือเป็นครั้งเดียวที่จำเลยมาพบ ม.ล.ไกรฤกษ์ เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทยแล้ว ส่วนที่จำเลย อ้างว่าได้พูดหยอกล้อเรื่องสินบน เพราะมีการเผยแพร่ทางข่าวมาก่อนแล้วนั้น ปรากฏตามข้อเท็จจริงพบมีการเผยแพร่การสัมภาษณ์เกี่ยวกับข่าววิ่งเต้นคดีผ่านสื่อมวลชนในช่วงเดือนมิ.ย.2550 ภายหลังที่มีการตัดสินคดียุบพรรคแล้วในวันที่ 30 พ.ค.2550 ดังนั้น ในช่วงเวลาที่จำเลยไปพบ ม.ล.ไกรกฤษ์ จึงยังไม่มีทั้งข่าวสื่อมวลชนและข่าวลือ การกล่าวอ้างของจำเลยจึงขัดต่อข้อเท็จจริง

จากพยานหลักฐานที่นำสืบมารับฟังได้ว่า จำเลยได้เข้าพบ ม.ล.ไกรกฤษ์จริง และมีการพูดเสนอเงินช่วยเหลือพิจารณาคดียุบพรรค โดยพยานโจทก์ก็ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ซึ่งแม้จะมีการเสนอเงินให้แต่ ม.ล.ไกรกฤษ์ ก็ถือว่าความผิดของจำเลยสำเร็จแล้ว ขณะที่การกระทำของจำเลย ถือเป็นการเห็นแก่ตัว ทำลายความเชื่อถือและศรัทธาของระบบศาลและตุลาการ ซึ่งถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน จึงพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 167 ให้จำคุก 3 ปี

ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว พ.ต.อ.ชาญชัย จำเลยซึ่งสวมแจ็กเกตสีกรมท่าที่เดินทางมาฟังคำพิพากษาเพียงลำพัง มีสีหน้าเรียบเฉย ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นประกันตัว
กำลังโหลดความคิดเห็น