รายงานการเมือง
หลังอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่คาดว่าจะยื่นฟ้องได้ในช่วงเดือนมีนาคม ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ได้ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการว่าตอนนี้ ยังไม่มีคำสั่งห้าม ยิ่งลักษณ์ เดินทางออกนอกประเทศ หลังจากที่หวั่นเกรงกันว่ายิ่งลักษณ์อาจเดินทางออกต่างประเทศในช่วงนี้ตามรอยพี่ชาย
ยิ่งลักษณ์คือบุคคลในบัญชีรายชื่อลำดับแรกๆ ที่ คสช. มีคำสั่งเรียกไปรายงานตัวหลังรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค. 57 และในเอกสารที่ยิ่งลักษณ์ กรอกหลังรายงานตัวก็คือ หากจะเดินทางไปต่างประเทศ จะต้องแจ้งและขออนุญาตต่อ คสช. ทุกครั้ง ซึ่งพบว่าหลังรัฐประหาร ยิ่งลักษณ์ ใช้สิทธิดังกล่าวประมาณ 1 - 2 ครั้ง เพื่อบินไปหาทักษิณ ชินวัตร ที่ต่างประเทศ
ดังนั้น การที่ คสช. บอกยังไม่ได้ห้ามยิ่งลักษณ์ออกนอกประเทศ ในความเป็นจริงแล้ว ก็คือเพราะยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้ขอใช้สิทธิในช่วงนี้ จึงยังไม่รู้ว่า คสช. จะอนุญาตหรือไม่ เพราะหากดูจากข้อตกลงและเงื่อนไขที่ คสช. มีต่อยิ่งลักษณ์ก็เพียงการจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศแต่หากคสช.มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่า ยิ่งลักษณ์ คือ บุคคลต้องห้าม หรือบุคคลที่ต้องถูกจับตาเป็นพิเศษในช่วงก่อนที่จะตกเป็นจำเลยในชั้นศาลฏีกาฯ จึงมีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศในทุกกรณี ถ้า คสช. มีคำสั่งแบบนี้ก็จะทำให้ทุกฝ่ายเบาใจได้ว่า โอกาสที่ยิ่งลักษณ์จะหนีไปต่างประเทศ อย่างน้อยก็น่าจะมีน้อยลง
ถ้านิ่งลักษณ์คิดเผ่นไปจริงๆ คงทำได้สบายเพราะต้องยอมรับเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะพวกทหาร ตำรวจ พวกฝ่ายปกครอง ยังมีอยู่มากมายหลายจังหวัดทั่วประเทศ การช่วยเหลือให้ยิ่งลักษณ์เดินทางออกจากประเทศไทยแบบไม่ได้ขออนุญาต คสช. ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง
ขนาดพวกแกนนำพรรคเพื่อไทย - แกนนำ นปช. - พวกล้มเจ้าทั้งหลายอย่าง จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ตั้ง อาชีวะ ยังหนีออกนอกประเทศไปได้หลังรัฐประหาร แล้ว อดีตนายกฯอย่างยิ่งลักษณ์ ทำไมจะหนีไปไม่ได้ ถ้าคิดจะทำจริง !
แต่หากให้วิเคราะห์โอกาสที่ยิ่งลักษณ์ จะหนีคดี ดูแล้วคงไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้หรือไม่เกิดภายในปีนี้ แต่น่าจะเกิดหลังการต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกาเสร็จสิ้นลง และศาลได้นัดอ่านคำพิพากษา ที่ก็น่าจะอยู่ในช่วงประมาณต้นปีหน้า เว้นแต่การสืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์คืออัยการกับฝ่ายยิ่งลักษณ์ มีพยานนำสืบไม่มากนัก และการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว การนัดอ่านคำพิพากษาก็น่าจะเสร็จเร็วขึ้น แต่ก็ไม่น่าจะเกิดภายในช่วงปลายปีนี้
เนื่องจากหากดูลำดับขั้นตอน เช่น การฟ้องคดีที่จะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม จากนั้นพอยื่นฟ้องแล้ว ก็ต้องให้ประธานศาลฎีกา เรียกประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมดภายใน 14 วัน เพื่อให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เลือกผู้พิพากษาศาลฎีกามา 9 คน เป็นองค์คณะรับผิดชอบคดี จากนั้น องค์คณะก็จะมาประชุมกันอีกเพื่อพิจารณาว่าจะเปิดห้องพิจารณาคดีเพื่อนัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องคดีไว้พิจารณาพิพากษาหรือไม่ โดยศาลก็จะพิจารณาจากรายละเอียดสำนวนฟ้องว่าอยู่ในอำนาจพิพากษาของศาลฎีกา หรือไม่
ที่ชัวร์แน่นอนคือ คดีนี้ศาลฎีการับฟ้องอยู่แล้ว
จากนั้นพอศาลประทับรับฟ้อง การสู้คดีก็จะดำเนินไปเรื่อย ฝ่ายโจทก์และจำเลยก็ต้องยื่นบัญชีรายชื่อพยานมาให้ศาลพิจารณา เชื่อว่าในส่วนของยิ่งลักษณ์ ทีมทนายความคงยื่นบัญชีรายชื่อพยานให้ศาลเรียกมาเบิกความให้มากที่สุด เพื่อให้การพิจารณาดำเนินไปแบบช้าๆ และฝ่ายตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้ตามที่ต้องการ เช่น ขอยื่นไป 70 รายชื่อ ก็ใช่ว่าศาลจะเห็นชอบทั้งหมด เพราะองค์คณะก็ต้องดูความเหมาะสมว่าพยานมีความเกี่ยวข้องกับคดีมากน้อยแค่ไหน ก็อาจจะตัดออกไปบ้าง เหมือนเช่นทุกๆ คดี
ซึ่งเมื่อคดีเข้าสู่สารบบ ยิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลยแล้ว ดังนั้น หากยิ่งลักษณ์จะขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ ก็ต้องมาขอต่อศาลฎีกา เป็นหลัก จนกว่าคดีจะสิ้นสุดมีคำพิพากษาออกมา ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า น่าจะใช้เวลาไม่น่าเกินหนึ่งปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาคดีด้วย อาจจะเร็วขึ้นหรือช้าไปกว่าหนึ่งปีก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ จนเมื่อการสู้คดีเสร็จสิ้น องค์คณะของศาลฎีกาก็จะนัดอ่านคำพิพากษา
ทั้งนี้ ตามระเบียบของศาลฎีกา จำเลยอาจไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ในการนัดอ่านคำพิพากษานัดแรกได้แต่ก็ต้องแจ้งเหตุผลต่อศาลฎีกาให้ทราบด้วยเช่นหากบอกว่าป่วยหนัก ก็ต้องมีใบรับรองแพทย์มายืนยัน แต่หากศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่าจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี ก็จะออกหมายจับทันที และเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป แล้วก็กำหนดวันอ่านคำพิพากษานัดที่สอง ซึ่งการอ่านคำพิพากษาครั้งที่สอง แม้จำเลยไม่มาปรากฏตัว ศาลก็จะอ่านคำพิพากษาทันที
ช่วงที่ต้องจับตามองก็คือ เมื่อมีการนัดอ่านคำพิพากษา ครั้นพอถึงวันนัดหมาย ยิ่งลักษณ์ เธอจะมาตามนัดหรือจะหายเข้ากลีบเมฆ เพื่อไปตั้งหลักก่อน แล้วก็รอฟังผลคำพิพากษาในการอ่านคำพิพากษานัดที่สอง หากศาลยกฟ้อง หรือลงโทษในสถานเบาเช่นโทษปรับหรือให้รอลงอาญา ก็อาจจะได้เห็น ยิ่งลักษณ์ เดินทางมารายงานตัวต่อศาลฎีกา หลังจากนั้น
โดยวิธีการแบบนี้ ก็มีบางคนเคยใช้มาแล้ว เช่น คุณหญิง พจมาน ชินวัตร อดีตภริยา ทักษิณ ชินวัตร พี่สะใภ้ ยิ่งลักษณ์ เคยหนีไปต่างประเทศพร้อมกับทักษิณ ชินวัตร โดยไม่ยอมไปฟังการอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ เพื่อตั้งหลัก แล้วพอศาลฎีกายกฟ้องคุณหญิง พจมาน แต่ตัดสินจำคุกทักษิณ คุณหญิง พจมาน ก็เดินทางกลับไทย
ยิ่งลักษณ์จะทำแบบ ทักษิณ - พจมาน หรือไม่ แม้ยังเหลือเวลาอีกนานแต่ก็ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
แต่นับแต่นี้โอกาสที่จะเดินทางออกนอกประเทศของยิ่งลักษณ์ โอกาสหมดไปแล้ว คสช. ไม่มีทางอนุญาตแน่นอน เพราะมันเสี่ยงสูงมาก หากให้ไปแล้วไม่กลับมา คสช. เละแน่ อีกทั้งหลายฝ่ายประเมินว่า โอกาสที่ ยิ่งลักษณ์ จะได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศในตอนที่ตกเป็นจำเลยในศาลฎีกา ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะทุกฝ่ายเห็นตัวอย่างกรณี ทักษิณ มาแล้ว
ยิ่งลักษณ์ ก็คงขอสู้คดีในชั้นศาลฎีกา ให้เสร็จสิ้นหมดก่อนจนถึงวันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาแล้วค่อยคิดหาทางอีกทีว่าจะเอาอย่างไร เพราะสำหรับยิ่งลักษณ์แล้ว มันเสี่ยงจริงๆ หากต้องไปปรากฏตัวที่ศาลในวันนัดอ่านคำพิพากษา