xs
xsm
sm
md
lg

อนุกมธ.ชงตั้งศาลวินัยงบประมาณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อวานนี้ (11 ธ.ค.) นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ได้พิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินงานของ คณะอนุกรรมาธิการคณะที่ 8 ภาค 3 นิติธรรม ศาล และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หมวด 2 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานอนุกรรมาธิการฯ โดยการนำเสนอของคณะอนุกรรมาธิการ ได้กำหนดกรอบในการจัดทำรัฐธรรมนูญไว้ 4 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1. บุคคลที่จะถูกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตามรัฐธรรมนูญนี้จะครอบคลุมบุคคลทั้งในส่วนภาครัฐและเอกชน ทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการ ผู้พิพากษา พนักงานอัยการ ผู้ดำรงตำแหน่งในระดับสูง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ เป็นต้น
ส่วนที่ 2. ประเด็นหารือในการตรวจสอบอำนาจรัฐ โดยมุ่งเน้นในเรื่องการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐให้เป็นไปตามวินัยทางการเงินการคลังของรัฐ
ส่วนที่ 3. กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ได้มีการเสนอให้มี ศาลวินัยงบประมาณการเงินการคลังขึ้นมาใหม่ โดยมีกลไกในการคุ้มครองผู้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ รวมถึงกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเมื่อพบการกระทำผิด ให้สามารถยื่นฟ้องต่อศาลวินัยงบประมาณการเงินการคลังได้ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้ อำนาจกลไกในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐนั้นๆ
ส่วนที่ 4. กลไกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ที่นอกเหนือจากองค์กรตรวจสอบภาครัฐ หรือองค์องค์กรอิสระ และ ส.ส. -ส.ว. โดยมีการเสนอให้มีกลไกตรวจสอบ โดยภาคประชาชนหรือองค์กรภาคประชาสังคม หรือ สภาตรวจสอบภาคประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีอำนาจตรวจสอบภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม กำหนดให้มีสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 50 คน แต่ไม่เกิน 100 คน โดยองค์ประกอบ 1 ใน 3 ต้องมาจากตัวแทนองค์กรภาคประชาชน หรือองค์กรภาคประชาสังคมในจังหวัดนั้นๆ และจำนวน 2 ใน 3 ให้มาจากประชาชน และมีคุณสมบัติตามข้อกำหนด เช่น ห้ามเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือผู้บริหารในองค์กรส่วนท้องถิ่น และให้มีวาระไม่เกิน 1 ปี เป็นต้น
ทั้งนี้ ยังมีการเสนอให้มีสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติในส่วนกลาง เพื่อติดตามตรวจสอบในเรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือผูบริหารระดับสูง ประกอบด้วย สมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ ภาคประชาชน หรือภาคประชาสังคม จำนวน 45 คน มีวาระไม่เกิน 2 ปี นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้มีสภาคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระ ที่มาจากประชาชนหรือองค์กรภาคประชาชนจำนวน 50 คน เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และคุ้มครองผู้บริโภค และมีมติเพื่อให้ฝ่ายธุรการ ต้องนำไปดำเนินคดีฟ้องศาลที่เกี่ยวข้องต่อไป
อย่างไรก็ตามในที่ประชุม ได้มีการหารือกันในเรื่องของวาระผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการในองค์กรอิสระ แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากเห็นว่า องค์กรอิสระบางองค์กร ต้องคงวาระในการทำงานเพียงวาระเดียว เพื่อความเป็นอิสระในการทำงาน โดยไม่ต้องคำนึงถึงการทำงานในวาระต่อไป ดังนั้นจึงต้องไปหารือพื้นฐานในการทำงานของแต่ละองค์กรก่อน ซึ่งเรื่องนี้จะต้องนำไปประกอบความคิดเห็นในที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในวันที่ 15-17 ธ.ค.นี้

**สนช.ถกประเด็นปฏิรูปการเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันนี้ ( 12 ธ.ค.) มีวาระเร่งด่วน ในการพิจารณา รายงานการรวบรวมความเห็น เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 34 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่คณะกรรมาธิการสามัญรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา จัดทำรัฐธรรมนูญของสนช. พิจารณาเสร็จแล้ว โดยรายงานดังกล่าวได้รวบรวมความเห็นจากคณะกรรมาธิการสามัญ 16 คณะ และคณะกรรมาธิการวิสามัญ 1 คณะ โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 การเสนอความเห็นเพื่อประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ของกรรมาธิการทั้ง 17 คณะ ส่วนที่ 2 การเสนอความเห็นเพื่อประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ของสมาชิกสนช. และ ส่วนที่ 3 ความเห็นของทั้งกรรมาธิการ และสมาชิกสนช. โดยจำแนกตามกรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ประเด็นที่น่าสนใจด้านการเมือง ได้เสนอเรื่องที่มาของคณะรัฐมนตรี โดยให้พรรคการเมือง หรือไม่ใช่พรรคการเมือง เสนอบัญชีรายชื่อคณะบุคคล ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี โดยมีจำนวนไม่เกิน 2 เท่า ของจำนวนคณะรัฐมนตรี และให้คณะบุคคลดังกล่าวมีหมายเลขในลงสมัครหมายเลขเดียว และใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกได้หมายเลขเดียว หากคณะใดได้คะแนนเกินกว่าร้อยละ 35 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ถือว่าได้รับเลือกตั้งเข้าไปบริหารประเทศ แต่ถ้ามีหลายคณะได้คะแนนเกินร้อยละ 35 ให้ถือเอาคณะที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ชนะเลือกตั้ง หากไม่มีคณะใดได้คะแนนตามที่กำหนด ให้นำคณะที่ได้คะแนนสูงสุด และลำดับรองลงมา มาให้ประชาชนเลือกอีกครั้ง หากคณะใดได้คะแนนสูงสุด ก็ให้ถือว่าได้รับเลือกตั้ง
ส่วนการตั้งคณะรัฐมนตรี หรือ ปรับคณะรัฐมนตรี ให้พิจารณาจากบุคคลที่อยู่ในบัญชีรายชื่อ โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า ควรมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงสมัครในบัญชีคณะรัฐมนตรี ให้มีความเหมาะสม และศักยภาพเพียงพอ ในการดำรงตำแหน่ง และกำหนดนโยบายหาเสียงที่ชัดเจน ปฏิบัติได้จริง ระบุแหล่งที่มาของงบประมาณเพื่อให้ประชาชนใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ส่วนการเลือกตั้งครม.โดยตรง อาจทำให้เกิดปัญหาการถ่วงดุลกับฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น การพิจารณางบประมาณ การแต่งตั้งถอดถอน ควรกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
ขณะที่ระบบรัฐสภาให้ประกอบด้วย ส.ส และส.ว. ที่ต้องมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี โดยส.ส.ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี ใช้เขตจังหวัด เป็นเขตเลือกตั้ง จำนวนส.ส.ให้เหมาะสมกับจำนวนประชากร ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกได้เพียงหมายเลขเดียว และผู้สมัครจะสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ก็ได้
ส่วน ส.ว. มีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี ให้มาจากการแต่งตั้ง มีวาระ 6 ปี ดำรงตำแหน่งได้วาระเดียว ทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย และเห็นชอบบุคคลในการดำรงตำแหน่ง ส่วนอำนาจถอดถอน ให้เป็นอำนาจของรัฐสภา ส่วนพรรคการเมือง กำหนดให้รัฐ ต้องสนับสนุนการเงินแก่พรรคการเมืองอย่างพอเพียง แต่มีกฎหมายห้ามพรรคการเมือง จ่ายพิเศษแก่ ส.ส. รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นด้วย
ขณะที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญ เสนอให้เพิ่มจำนวน กกต. เป็น 7-9 คน และประชาชนมีส่วนร่วมในการสรรหา แต่ให้ กกต.มีอำนาจเพียงจัดและควบคุมการเลือกตั้ง การสั่งเลือกตั้งใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ให้เป็นอำนาจศาลยุติธรรม และหากมีการยุบสภา ให้มีการแยก พ.ร.ฎ.ยุบสภา ออกจาก พ.ร.ฎ .กำหนดวันเลือกตั้ง โดยการกำหนดวันเลือกตั้งต้องมีการหารือกับกกต.ก่อน และให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งฟ้องคดีเลือกตั้งต่อศาลได้โดยตรง
ส่วนป.ป.ช. เสนอให้มีอำนาจไต่สวนทุจริตได้ทุกกรณี โดยต้องเป็นคดีอาญา คดีร่ำรวยผิดปกติ การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินเท่านั้น ส่วนการดำเนินการทางวินัย ให้เป็นกระบวนการของฝ่ายบริหาร และให้ยุบคณะกรรมการป.ป.ช.จังหวัด แต่ยังคงสำนักงานป.ป.ช.จังหวัดไว้ การนำคดีขึ้นสู่ศาล ทำได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านอัยการ เสนอให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญโดยให้โอนภารกิจทั้งหมดไปสังกัดแผนกหนึ่งของศาลยุติธรรม และกำหนดให้วาระการดำรงตำแหน่ง ของกรรมการในองค์กรอิสระ เหลือเพียง 4 ปี ทุกองค์กร
สำหรับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ไม่จำเป็นต้องมีต่อไป เนื่องจากไม่คุ้มค่าในเชิงงบประมาณ ขณะเดียวกันให้แก้ไขพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ โดยให้ยุบ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม แล้วให้มีแค่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพียงคณะเดียว
นอกจากนี้ด้านพลังงาน ได้มีข้อเสนอให้มีกฎหมายป้องกันการผูกขาดในด้านธุรกิจพลังงานทั้งระบบ และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม และกำหนดมาตรการส่งเสริมให้เกิดธุรกิจด้านพลังงานแก่นักลงทุนชาวไทย หรือองค์กรธุรกิจสัญชาติไทย ได้สามารถแข่งขันกับกลุ่มทุน หรือธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ โดยรัฐควรหลีกเลี่ยงการประกอบกิจการแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่มีความจำเป็นในการรักษาความมั่นคงของรัฐและผลประโยชน์ส่วนรวม อีกทั้งต้องรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติ ในการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียมของประเทศ พร้อมส่งเสริมการลงทุนค้นหาแหล่งปิโตรเลียมที่มีศักยภาพในต่างประเทศ ส่งเสริมการเก็บสำรองเชื้อเพลิงของรัฐให้เพียงพอเพื่อป้องกันการผันผวนของราคา ควรปรับปรุงโครงสร้างพลังงานทั้งระบบของประเทศ โดยเน้นการปล่อยไปตามกลไกตลาด ลดการแทรกแซงจากรัฐ โดยเฉพาะในรูปแบบการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆ ควบคุมและกำกับนโยบายบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม ในรายงานดังกล่าว ยังได้มีการรวบรวมความคิดเห็นของหน่วยงานปฏิบัติ ที่เสนอความเห็นเข้ามาซึ่งที่น่าสนใจ คือความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งระบุว่า เห็นด้วยที่จะให้การพิจารณาสั่งเลือกตั้งใหม่ หรือ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่น เป็นอำนาจของศาลยุติธรรม โดยให้มีการปรับระบบการพิจารณาคดีดังกล่าวเป็นระบบไต่สวน และให้เริ่มต้นพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์ ส่วนการยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ให้กระทำได้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกับคดีทั่วไป ซึ่งใช้ระบบอนุญาตโดยศาลฎีกา ขณะที่ในคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็เห็นว่า เพื่อให้มีระบบการทบทวนคำพิพากษา จึงอาจปรับปรุงระบบการพิจารณา โดยให้เริ่มคดีที่ศาลอุทธรณ์ และใช้ระบบไต่สวนพิจารณาคดี รวมทั้งให้สามารถยื่นอุทธรณ์ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ซึ่งก็จะสอดคล้องกับระบบสากล ขณะเดียวกันก็เห็นว่าควรคงคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมไว้ในรัฐธรรมนูญ
กำลังโหลดความคิดเห็น