มติเห็นชอบการปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติของคณะกรรมาธิการปฏิรูป กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งจะนำเสนอเข้าสู่วาระการพิจารณาของ สนช.กลางเดือนธันวาคมนี้ นับเป็นข่าวที่ทุกคนรอคอยมานาน
สาระสำคัญการปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอให้ยกเลิกคณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือ ก.ตร. ยกเลิกสำนักงานตำวจแห่งชาติ และให้มีสภากิจการตำรวจแห่งชาติขึ้นมาแทน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของตำรวจ รวมทั้งเสนอให้กระจายอำนาจบริหาร จากปัจจุบันที่รวมศูนย์ไว้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โครงสร้างตำรวจจะเปลี่ยนไป เป็นตำรวจส่วนกลาง ตำรวจส่วนภูมิภาค ตำรวจส่วนท้องถิ่น โดยประชาชนมีส่วนร่วมบริหารจัดการ แต่งตั้งโยกย้ายหรือถอดถอนตำรวจ และตำรวจบางหน่วยงาน จะต้องย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่นที่ขึ้นตรง เช่นตำรวจป่าไม้ขึ้นกับกรมป่าไม้ ตำรวจทองเที่ยวขึ้นตรงกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
ความเคลื่อนไหวการปรับโครงสร้างตำรวจเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะเจาะ เพราะตำรวจกำลังตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ โดยเฉพาะกรณีพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ซึ่งมีตำรวจร่วมขบวนการรับส่วย รีดไถ ตั้งบ่อนพนัน ตั้งเป็นแก๊งตำรวจที่มีเครือข่ายกว้างขว้าง
ในภาวะปกติ ถ้ามีความเคลื่อนไหวผ่าตัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีนายตำรวจและอดีตนายตำรวจ เดินเรียงหน้าออกมาต่อต้านกันด้วยท่าทีแข็งก้าว
แต่ปัจจุบันตำรวจไม่อยู่ในฐานะที่จะมีปากมีเสียงกับใคร เพราะภายในองค์กรฟอนเฟะขนาดหนัก กำลังถูกสังคมรุมประณาม และมีกระแสให้ยุบสำนักงานตำวจแห่งชาติเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากเหม็นเน่าเกินกว่าจะเยียวยาแล้ว
มีความพยายามผ่าตัดใหญ่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาหลายสิบปีแล้ว หลายรัฐบาลประกาศจัดการแน่องค์กรแห่งนี้ สร้างความคาดหวังไว้กับประชาชนที่เอาใจช่วยเต็มที่ แต่ถึงเวลาจริง กลับไม่มีรัฐบาลใดกล้าเผชิญหน้ากับคนในเครื่องแบบสีกากี ปล่อยจนปัญหาเรื้อรังและทับถมมายาวนาน
สำหรับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในฐานะดีที่สุดในการลง “มีด”ผ่าตัดใหญ่ตำรวจ โดยมีสภาปฏิรูปเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพ
และการปฏิรูปตำรวจ น่าจะถือเป็นอีกหนึ่งรายการคืนความสุขให้ประชาชน เพราะตำรวจทำให้ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมาน
ตำรวจอยู่ที่ไหน ประชาชนแทบจะต้องบรรลัยไปที่นั่น เพราะตำรวจเป็นต้นธารของความชั่วร้ายต่างๆ ตำรวจเป็นต้นแบบของการคอร์รัปชัน เป็นต้นฉบับของข้าราชการที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และเป็นต้นตอของความอยุติธรรมในสังคม
เครือข่ายใส่เครื่องแบบสีกากีหากินแก๊งพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเลวร้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น และหากขยายผลสอบสวนพฤติกรรมความผิดที่เชื่อมโยงกันอย่างจริงจัง บางทีอาจไม่เหลือตำรวจแม้แต่คนเดียว เพราะทุกคน ไม่ถูกไล่ออกก็ต้องติดคุก เพราะก่อพฤติกรรมผิดไว้มากมาย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติรอดมาตลอด จะถูกผ่าตัดใหญ่มาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็เจอแต่รัฐบาลใจไม่ถึง เจอแต่รัฐบาลดีแต่พูด
แต่ภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กุมอำนาจ ภายใต้กระแสสังคมที่กดดันรุกไล่ ขณะที่ตำรวจทั้งสำนักงานฯ กำลังรวนเร งานนี้ตำรวจคงรอดยาก
กลุ่มคนที่จองกฐินตำรวจก็ขึ้นบัญชีไว้ยาวเหยียด
จะปล่อยให้ตำรวจลอยนวลต่อไปไม่ไหวแล้ว และถ้ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ไม่จัดการ ก็ไม่รู้ว่า จะรอรัฐบาลชุดไหนเข้ามาจัดการตำรวจได้
รูปแบบการเปลี่ยนโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นอย่างไร จะแก้ไขพฤติกรรมตำรวจได้หรือไม่ เป็นรายละเอียดที่จะพอมีเวลาคิด แต่วาระเร่งด่วนอยู่ที่การผลักดันแผนการปฏิรูป และต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของ สปช.เร็วที่สุด และเดินหน้าปรับปลี่ยนด่วนที่สุด
คสช.จะมีอายุกี่ปีก็ตาม แต่ก่อนสิ้นยุค คสช. โครสร้างตำรวจจะต้องถูกผ่าตัด อำนาจตำรวจต้องถูกกระจาย สัมปทานธุรกิจสีเทาที่ตำรวจทำมาหากินต้องถูกทำลายล้าง จะต้องสร้างตำรวจที่ดีให้ได้ การใช้เครื่องแบบสีกากีรีดไถ รับส่วย ทำตัวเป็นโจรในเครื่องแบบต้องหมดไป
ประชาชนเอือมระอากับพฤติกรรมตำรวจมานานเกินพอแล้ว รอเวลาการปฏิรูปจนแทบจะสิ้นหวังอยู่แล้ว การผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจ จึงเป็นข่าวดีที่ทำให้ประชาชนมีความสุข
ถึงเวลาที่ประชาชนทั้งประเทศจะได้เฮกันสักที รอวันที่ตำรวจจะต้องถูกชำระบัญชีมาตลอด และหวังว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์คงไม่ทำให้เสียอารมณ์ เหมือนรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หรือเสียความรู้สึกเหมือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องปรานีตำรวจอีกต่อไป ไม่มีเหตุความจำเป็นใดที่จะต้องรอปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าลุยกันได้เลย ประชาชนทั้งประเทศทั้งเชียร์ทั้งเอาใจช่วย
ผลงานชิ้นแรกของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ที่เข้าตาชาวบ้านจริงๆ คงจะเป็นการผ่าตัดใหญ่โครงสร้างตำรวจนี่แหละ เพราะ 7 เดือนกำลังจะผ่านไป ยังไม่มีผลงานใดๆที่เข้าตา
ปฏิรูปตำรวจจะเป็นผลงานที่ฟื้นศรัทธา คสช. จึงพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ปล่อยให้คนในเครื่องแบบสีกากีสร้างความฟอนเฟะในสังคมอีกไม่ได้แล้ว
สาระสำคัญการปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอให้ยกเลิกคณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือ ก.ตร. ยกเลิกสำนักงานตำวจแห่งชาติ และให้มีสภากิจการตำรวจแห่งชาติขึ้นมาแทน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของตำรวจ รวมทั้งเสนอให้กระจายอำนาจบริหาร จากปัจจุบันที่รวมศูนย์ไว้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โครงสร้างตำรวจจะเปลี่ยนไป เป็นตำรวจส่วนกลาง ตำรวจส่วนภูมิภาค ตำรวจส่วนท้องถิ่น โดยประชาชนมีส่วนร่วมบริหารจัดการ แต่งตั้งโยกย้ายหรือถอดถอนตำรวจ และตำรวจบางหน่วยงาน จะต้องย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่นที่ขึ้นตรง เช่นตำรวจป่าไม้ขึ้นกับกรมป่าไม้ ตำรวจทองเที่ยวขึ้นตรงกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
ความเคลื่อนไหวการปรับโครงสร้างตำรวจเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะเจาะ เพราะตำรวจกำลังตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ โดยเฉพาะกรณีพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ซึ่งมีตำรวจร่วมขบวนการรับส่วย รีดไถ ตั้งบ่อนพนัน ตั้งเป็นแก๊งตำรวจที่มีเครือข่ายกว้างขว้าง
ในภาวะปกติ ถ้ามีความเคลื่อนไหวผ่าตัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีนายตำรวจและอดีตนายตำรวจ เดินเรียงหน้าออกมาต่อต้านกันด้วยท่าทีแข็งก้าว
แต่ปัจจุบันตำรวจไม่อยู่ในฐานะที่จะมีปากมีเสียงกับใคร เพราะภายในองค์กรฟอนเฟะขนาดหนัก กำลังถูกสังคมรุมประณาม และมีกระแสให้ยุบสำนักงานตำวจแห่งชาติเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากเหม็นเน่าเกินกว่าจะเยียวยาแล้ว
มีความพยายามผ่าตัดใหญ่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาหลายสิบปีแล้ว หลายรัฐบาลประกาศจัดการแน่องค์กรแห่งนี้ สร้างความคาดหวังไว้กับประชาชนที่เอาใจช่วยเต็มที่ แต่ถึงเวลาจริง กลับไม่มีรัฐบาลใดกล้าเผชิญหน้ากับคนในเครื่องแบบสีกากี ปล่อยจนปัญหาเรื้อรังและทับถมมายาวนาน
สำหรับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในฐานะดีที่สุดในการลง “มีด”ผ่าตัดใหญ่ตำรวจ โดยมีสภาปฏิรูปเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพ
และการปฏิรูปตำรวจ น่าจะถือเป็นอีกหนึ่งรายการคืนความสุขให้ประชาชน เพราะตำรวจทำให้ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมาน
ตำรวจอยู่ที่ไหน ประชาชนแทบจะต้องบรรลัยไปที่นั่น เพราะตำรวจเป็นต้นธารของความชั่วร้ายต่างๆ ตำรวจเป็นต้นแบบของการคอร์รัปชัน เป็นต้นฉบับของข้าราชการที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และเป็นต้นตอของความอยุติธรรมในสังคม
เครือข่ายใส่เครื่องแบบสีกากีหากินแก๊งพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเลวร้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น และหากขยายผลสอบสวนพฤติกรรมความผิดที่เชื่อมโยงกันอย่างจริงจัง บางทีอาจไม่เหลือตำรวจแม้แต่คนเดียว เพราะทุกคน ไม่ถูกไล่ออกก็ต้องติดคุก เพราะก่อพฤติกรรมผิดไว้มากมาย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติรอดมาตลอด จะถูกผ่าตัดใหญ่มาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็เจอแต่รัฐบาลใจไม่ถึง เจอแต่รัฐบาลดีแต่พูด
แต่ภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กุมอำนาจ ภายใต้กระแสสังคมที่กดดันรุกไล่ ขณะที่ตำรวจทั้งสำนักงานฯ กำลังรวนเร งานนี้ตำรวจคงรอดยาก
กลุ่มคนที่จองกฐินตำรวจก็ขึ้นบัญชีไว้ยาวเหยียด
จะปล่อยให้ตำรวจลอยนวลต่อไปไม่ไหวแล้ว และถ้ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ไม่จัดการ ก็ไม่รู้ว่า จะรอรัฐบาลชุดไหนเข้ามาจัดการตำรวจได้
รูปแบบการเปลี่ยนโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นอย่างไร จะแก้ไขพฤติกรรมตำรวจได้หรือไม่ เป็นรายละเอียดที่จะพอมีเวลาคิด แต่วาระเร่งด่วนอยู่ที่การผลักดันแผนการปฏิรูป และต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของ สปช.เร็วที่สุด และเดินหน้าปรับปลี่ยนด่วนที่สุด
คสช.จะมีอายุกี่ปีก็ตาม แต่ก่อนสิ้นยุค คสช. โครสร้างตำรวจจะต้องถูกผ่าตัด อำนาจตำรวจต้องถูกกระจาย สัมปทานธุรกิจสีเทาที่ตำรวจทำมาหากินต้องถูกทำลายล้าง จะต้องสร้างตำรวจที่ดีให้ได้ การใช้เครื่องแบบสีกากีรีดไถ รับส่วย ทำตัวเป็นโจรในเครื่องแบบต้องหมดไป
ประชาชนเอือมระอากับพฤติกรรมตำรวจมานานเกินพอแล้ว รอเวลาการปฏิรูปจนแทบจะสิ้นหวังอยู่แล้ว การผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจ จึงเป็นข่าวดีที่ทำให้ประชาชนมีความสุข
ถึงเวลาที่ประชาชนทั้งประเทศจะได้เฮกันสักที รอวันที่ตำรวจจะต้องถูกชำระบัญชีมาตลอด และหวังว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์คงไม่ทำให้เสียอารมณ์ เหมือนรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หรือเสียความรู้สึกเหมือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องปรานีตำรวจอีกต่อไป ไม่มีเหตุความจำเป็นใดที่จะต้องรอปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าลุยกันได้เลย ประชาชนทั้งประเทศทั้งเชียร์ทั้งเอาใจช่วย
ผลงานชิ้นแรกของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ที่เข้าตาชาวบ้านจริงๆ คงจะเป็นการผ่าตัดใหญ่โครงสร้างตำรวจนี่แหละ เพราะ 7 เดือนกำลังจะผ่านไป ยังไม่มีผลงานใดๆที่เข้าตา
ปฏิรูปตำรวจจะเป็นผลงานที่ฟื้นศรัทธา คสช. จึงพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ปล่อยให้คนในเครื่องแบบสีกากีสร้างความฟอนเฟะในสังคมอีกไม่ได้แล้ว