xs
xsm
sm
md
lg

ตราบใดยังเขียนบันทึกประจำวันให้ชาวบ้านอ่านออกไม่ได้..อย่าหวังจะมีปฏิรูปตำรวจ! / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
 
เรื่องการทลายห้าง “แก๊งเดอะกิ๊ก-พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ในทางหนึ่งเป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงความเหม็นเน่าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้ประชาชนมองเห็นการหาผลประโยชน์ของนายตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีการใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นธรรม มีการซื้อ-ขายตำแหน่ง มีการเรียกเก็บผลประโยชน์จากผู้ทำผิดกฎหมาย ทั้งบ่อน ซ่อง หวย ม้า น้ำมันเถื่อน และธุรกิจสีเทาต่างๆ และมีการตั้งแก๊งขู่เข็ญกรรโชกทรัพย์
 
บนความเน่าเหม็นของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และพรรคพวก ก็มีคุณูปการอยู่ด้วยหลายประการ เช่น นำไปสู่การเปิดเผยบัญชีส่วยน้ำมันเถื่อนในภาคใต้ของ “เสี่ยโจ้-นายสหชัย เจียรเสริมสิน” ทำให้เห็นถึงเส้นทางจ่ายส่วยของวงการค้าน้ำมันเถื่อนที่พัวพันไปถึงตำรวจทุกหน่วย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจน้ำ ตำรวจบก ตำรวจทางหลวง ศุลกากร ดีเอสไอ และหน่วยงานอื่นๆ อีกมากมาย
 
คงเหมือนกับที่เจ้าของปั๊มน้ำมันเถื่อนแห่งหนึ่ง จ.สงขลา เปิดเผยว่า ต้องจ่ายส่วยให้แก่คนในเครื่องแบบเดือนละ 22 ชุดด้วยกัน
 
รวมทั้งทำคนทั้งประเทศได้รู้เห็น และทราบว่า ศุลกากรปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นศุลกากรแห่งแรกของประเทศนี้ หรือาจจะเป็นแห่งแรกของโลก ซึ่งอนุญาตให้ผู้คนทำผิดกฎหมายด้วยการขนน้ำมันเถื่อนผ่านจุดตรวจได้วันละ 3 ชั่วโมง โดยไม่มีการตรวจค้น หรือจับกุม ใครมีปัญญาขนได้กี่เที่ยวก็ขนกันไป ส่วนใครจะซุกซ่อนยาเสพติด และขนใบกระท่อมด้วยก็ไม่ว่ากัน เพราะได้มีการอนุญาตให้ทำผิดกฎหมายแล้ว
 
สุดท้ายที่ถือว่าคดีทลายห้างของขบวนการ “เดอะกิ๊ก” เป็นประโยชน์กต่อประเทศชาติคือ เปิดโอกาสให้ประชาชนด่าได้ วิพากษ์วิจารณ์ตำรวจได้อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะได้เปิดโอกาสให้ผู้นำตำรวจอย่าง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ได้ทำการกวาดบ้าน ชำระสิ่งโสโครกในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งนั่นคือดาบแรก
 
ส่วนดาบที่สอง จะได้เปิดโอกาสให้ “คสช.” “สนช.” และ “สปช.” ที่มีจากการแต่งตั้งและจากการสรรหาเหล่านี้ได้เห็นข้อเท็จจริง เห็นขยะใต้พรมกองใหญ่ที่เหม็นเน่า เพื่อที่จะได้ดำเนินการผ่าตัดองค์กรตำรวจ ให้เป็นองค์กรที่เป็นประโยชน์ในการทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่แท้จริง
 
รวมทั้งได้มีโอกาสรู้เห็นว่า บ้านเมืองของเราไม้ได้มีแต่ตำรวจเท่านั้นที่อยู่ในวงจรของผลประโยชน์ แต่ยังมีหน่วยงานอื่นๆ อีกมากที่เข้าไปเกี่ยวข้องต่อการรับส่วยจากขบวนการทำธุรกิจนอกกฎหมาย เช่น ศุลกากร ที่มีผลประโยชน์อย่างมหาศาลกับขบวนการน้ำมันเถื่อน และขบวนการค้าเนื้อเถื่อนจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งเม็ดเงินอาจจะมากกว่าส่วยที่ “เสี่ยโจ้” จ่ายให้แก่ตำรวจน้ำ ตำรวจบก หรือหน่วยงานอื่นๆ ด้วยซ้ำ
 
รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.จะได้เห็นภาพของขบวนการเก็บผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นที่ภาคใต้ได้ชัดเจนว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และถูกปล่อยให้หมักหมม และเรื้อรังมาอย่างยาวนาน โดยที่ ผบ.ตร. อธิบดีศุลกากร และผู้บริหารหน่วยงานอื่นๆ ที่ต่างรับรู้ และอาจจะรับส่วยจากลูกน้องที่จัดสรรให้ก็เป็นได้ จึงไม่ได้มีการจัดการต่อความไม่ถูกต้องเสียที
 
โดยเฉพาะเรื่องของน้ำมันเถื่อน และของเถื่อนอื่นๆ ในพื้นที่ จ.สงขลา และ จ.สตูล ที่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งการรับส่วย และการเป็นผู้ค้า ซึ่งในการค้าน้ำมันเถื่อนมีตำรวจเป็นผู้ค้าเป็นจำนวนมาก ทั้งค้าส่ง และเปิดปั๊มเถื่อน
 
เช่นที่ อ.หาดใหญ่ และที่ อ.บางกล่ำ จ.สงขลา ตั้งแต่มีข่าวฉาวโฉ่ขึ้น พล.ต.ท.มนตรี โปรตระนันท์ ผบช.ภ.9 ยังไม่ได้ดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีเอี่ยวกับผลประโยชน์เหล่านี้แต่อย่างใด
 
เช่นเดียวกับ นายประยุทธ มณีโชติ ผอ.ศุลกากรภูมิภาคที่ 4 ที่ไม่เห็นมีท่าทีอย่างไรต่อบัญชีส่วยน้ำมันเถื่อนของ “เสี่ยโจ้” ซึ่งมีชื่อของเจ้าหน้าที่ศุลกากรปรากฏอยู่ด้วย รวมทั้งยังไม่ได้ดำเนินการอย่างใดต่อการที่ศุลกากรเปิดประตูเพื่อให้พ่อค้าน้ำมันเถื่อนเข้าไปขนน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านได้วันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งมีผู้คนไถ่ถามกันมามากมายว่า มีกฎหมายมาตราไหนที่ให้ศุลกากรอนุญาตให้คนทำผิดกฎหมายได้โดยนั่งมองตาปริบๆ
 
และที่ต้องตอบสังคมให้ชัดเจนคือ การอนุญาตให้มีการขนน้ำมันข้ามประเทศวันละ 3 ชั่วโมงนั้น ใครได้รับประโยชน์จากส่วยบ้าง ชั่วโมงละเท่าไหร่ อย่าอ้างว่านั่นเป็นวิถีชีวิต เพราะชาวบ้านที่ข้ามไปซื้อสินค้าหนีภาษีหลายรายที่เป็นคนเมืองชายแดน เจ้าหน้าที่ยังทำการตรวจค้น และจับกุมอยู่บ่อยๆ
 
มีคนถามว่า การกินใบกระท่อมของคนใต้ถือเป็นวิถีชีวิตหรือไม่ เพราะเห็นเคี้ยวหยับๆ กันมาตั้งแต่รุ่นปู่ทวดถึงรุ่นพ่อเฒ่า ถ้าคนขายใบกระท่อมขออนุญาตเข้าไปขนใบกระท่อมวันละ 3 ชั่วโมงเหมือนกับน้ำมันเถื่อน ศุลกากร และตำรวจจะอนุญาตหรือไม่
 
วันนี้ขยะใต้พรมในพื้นที่ภาคใต้ยังถูกซุกเอาไว้เป็นจำนวนมาก และยังไม่เห็นผู้ที่เป็น ผบช.ภ.9 ผู้ที่เป็นศุลกากรภูมิภาคที่ 4 และอีกมากมายผู้บริหารหน่วยงานในพื้นที่ยังไม่ได้สำเหนียกในการที่จะทำการปัดกวาดบ้านช่องของตนเอง ทั้งที่โอกาสมาถึงแล้ว ทำไมจะต้องรอให้มีคำสั่งจากหน่วยเหนือ หรือจาก คสช. เสียก่อนจึงจะดำเนินการเล่า
 
หรือคิดเพียงที่จะนั่งเฉยๆ เพื่อรอให้เรื่องฉาวโฉ่ของ “แก๊งเดอะกิ๊ก” จางหายไปก่อน และค่อยจัดสรรส่วยสาอากรกันใหม่ เพื่อที่จะได้เข้าสู่วงจรอุบาทว์เดิมๆ คือ “ลูกน้องเลี้ยงนาย” ซึ่งกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์กรหลายองค์กรไปแล้ว
 
แถมขณะนี้ก็มีข่าวแพลมออกมาแล้วว่า ให้เตรียมเปิดบ่อนในพื้นที่ได้อีกครั้ง เพราะมีการเคลียร์ของนักการเมืองท้องถิ่นจาก จ.ชุมพร กับแก๊งสีเขียวในพื้นที่ไว้แล้ว อีกทั้งยังมีข่าวการประมูลเก้าอี้ “ผกก.” ในพื้นที่ทำเลทองกันอย่างคึกคักในฤดูโยกย้ายที่จะมาถึงในปลายเดือน ธ.ค.นี้
 
จึงหวังว่าการทลายห้าง “แก๊งเดอะกิ๊ก” ในครั้งนี้จะไม่เกิดการเสียของ เพราะนี่ถือโอกาสสุดท้ายของสังคมไทยที่จะได้เห็นการผ่าดัดองค์กรตำรวจ รวมถึงระบบราชการอื่นๆ ที่มีปัญหา มีการใช้หน้าที่เป็นช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์
 
รวมทั้งจะได้พิสูจน์คำพูดของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ที่ว่า “ใหญ่แค่ไหนก็จับ” ว่าจะเป็นเพียงลมปากเท่านั้นหรือไม่
 
สุดท้ายไอ้ไข่จักรยานยนต์รับจ้างที่ปากซอยเทศาพัฒนา ของนครหาดใหญ่ บอกว่า เอาแค่ให้ตำรวจปฏิรูปเรื่องการเขียนบันทึกประจำวันให้คนอื่นๆ อ่านออกก่อนเถอะ แล้วเรื่องที่ใหญ่กว่าค่อยปฏิรูปก็ได้
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น