**ต้องสะกิดเตือนกันบ่อยๆ หลังปรากฏการณ์ไอเดียกระฉูดกลายเป็นสายล่อฟ้าล่อเป้า“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่เป็นเนืองๆ
เรียกว่า ไม่ว่าแม่น้ำ 5 สายจะเขวี้ยงแนวคิดอะไรออกมาหยั่งกระแสสังคม หากโดนตีกลับคนที่รับก้อนอิฐคือ ผู้นำอยู่ร่ำไป ทั้งที่บางทีไม่ได้เออออห่อหมกด้วย แต่ด้วยเพราะเป็นคนในองคาพยพ เลยต้องรับผิดชอบแต่โดยดี
ทำให้ล่าสุดออกมากระตุกให้แม่น้ำ 5 สาย อย่าซ้ำเติมสถานการณ์ด้วยการสร้างปัญหาใหม่ๆขึ้นมา สวมบทผู้ปกครองถือไม้เรียวปรามบุตรหลานให้เพลาๆ กันบ้าง ถือว่าไม่ใช่ครั้งแรกเพราะก่อนหน้านี้ “บิ๊กตู่”ก็ดูจะปวดตับกับองคาพยพทั้งมวลมาหลายหน จนต้องเรียกประชุมกันเป็นระยะ
บางแนวคิดสร้างสรรค์ แต่บางแนวคิดก็ดูจ้องทำลายกันเกินเหตุ สุดโต่งจนดูเหมือนกำลังจะเขียนกฎหมายขึ้นมาเพื่อจองล้างจองผลาญฝ่ายตรงข้ามเสียให้จงได้ ตลกร้ายบางไอเดียละเมอเพ้อพกไปไกล ไม่ได้สอดคล้องกับสภาพประเทศของไทยเลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่แค่ฝ่ายตรงข้ามที่ปักหลักค้านแบบสุดซอยอยู่แล้ว แม้แต่คนกันเองก็ยังออกอาการหมั่นไส้กับทฤษฎีหลายอย่างของ "อนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ" แต่ละชุด ถ้ายังฟุ้งฝอยกันอย่างนี้ ปลายทางอย่าว่าแต่ทำประชามติไม่ผ่านเลย จะเขียนรัฐธรรมนูญให้เสร็จยังยาก
วันนี้ต้องถามตัวเองจะเขียนรัฐธรรมนูญแบบวิน–วิน ให้ทุกฝ่ายมาเริ่มต้นกันใหม่ หรือจะเขียนแบบได้ทีขี่แพะไล่ ได้จังหวะต้องเอาคืนกันให้หายแค้น ทบทวนใหม่ตกลงใช่ยุคปฏิรูป หรือยุคปฏิบัติการล้างเผ่าพันธุ์ฝ่ายตรงข้ามให้สูญสิ้นจากระบบการเมืองไทย
**โดยเฉพาะแนวคิดเลือกนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีโดยตรง ที่กำลังโดนรุมสกรัมกันอยู่ขณะนี้ เปลือกนอกฟังดูดี เพราะประชาชนมีโอกาสได้เลือกโดยตรง สมกับเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ ส.ส.ในสภาไปยกมือโหวตกันเอง เหมือนจับยัด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีชั่วโมงบินทางการเมืองเพียง 49 วัน มาเป็นนายกรัฐมนตรีจนพูดผิดพูดถูก สถาปนาจังหวัดหาดใหญ่กันอีก
แต่สภาพความเป็นจริงนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จะแจวเรือลำใหญ่ให้พ้นคลื่นลมในทะเลได้อย่างไร หากส.ส.ที่อยู่ในสภา ซึ่งมีจำนวนหลายร้อยคน และหลายพรรคเกิดไม่ชอบขี้หน้าขึ้นมา รวมหัวกันไม่ให้ความร่วมมือ บางเรื่องที่รัฐบาลต้องขออนุมัติจากสภา อาจจะเจอแช่แข็งและดองเค็ม สุดท้ายไม่เป็นอันต้มยำทำแกงอะไร
ยิ่งน่ากลัวว่าวันหนึ่งบริหารไปบริหารมา ซึ่งต้องมีแน่ จู่ๆ รัฐบาลนึกครึ้มจะออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินการคลังขึ้นมา แล้วมีประโยชน์เหลือหลายกับประชาชน แต่เหล่าส.ส.เหล่าซือแป๋ทั้งหลายในสภาเกิดอาการหมันไส้ แท็กทีมกันไม่ให้ผ่าน จับน็อกกลางอากาศ นายกรัฐมนตรี ต้องถึงขั้นลาออกเป็นการเซ่นความรับผิดชอบกันทีเดียว
รวมไปถึงวันดีคืนดีเหล่าส.ส.สุมหัวกันโค่นล้มนายกรัฐมนตรีขึ้นมา ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้น ทั้งที่บางกรณีอาจไม่ได้มีน้ำหนักเพียงพอ พร้อมใจกันยกมือโหวตเขี่ยกระเด็นออกจากเก้าอี้เอาง่ายๆ ทำให้ต้องเลือกตั้งใหม่กันซ้ำซาก ประเทศติดหล่ม ไม่ได้ไปไหน กลายเป็นยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกักกันอยู่อย่างนี้ ซึ่งโอกาสแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ง่ายเอามากๆ หากส.ส.หรือส.ว.ส่วนใหญ่เป็นพรรคฝ่ายค้าน การประสานงานระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรัฐสภาจะยากขึ้น
**ดังนั้น นายกรัฐมนตรีโดยตรงจึงเสมือนมาตัวเปล่าๆ หัวเดียวกระเทียมลีบ
หรือตลกร้ายกว่า ต่อไปส.ส.เหล่านี้จะทำตัวเป็นซุปเปอร์วีไอพี นั่งรับทรัพย์ต่อรองกับนายกรัฐมนตรีได้ อยากให้กฎหมายฉบับไหนผ่าน ต้องส่งสัญญาณขอไฟเขียวมาก่อน อัพราคาปั่นค่าตัวกันได้ เฉกเช่นเดียวกับกรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งที่ผ่านมาการเมืองหลายยุค มีการล็อบบี้อัดกระสุนดินดำด้วยตัวเลขหลายหลักกับส.ส.หรือ ส.ว. อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าสมัยพรรคสีฟ้า หรือสีแดง เป็นแกนนำรัฐบาล หากต่อไปเป็นนายกรัฐมนตรีโดยตรง รับรองต้องควักกระเป๋าจ่ายกันบานตะไท เกิดขบวนการกวาดต้อนด้วยการซื้อเพียบ ส.ส. ก็ร่ำรวยอู้ฟู่ หาเงินแหลก เอาไว้ไปซื้อเสียงกลับเข้ามากอบโกยใหม่
**วงจรอุบาทว์จะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิมเสียอีก!!!
การเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงยังดูคล้ายคลึงกับการเลือกประธานาธิบดี ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่งกับสภาพสังคมประเทศไทย ปัจจัยรวมทุกอย่างไม่สอดคล้องกันอย่างแรง
ไอเดียเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงจึงดูมีช่องโหว่เยอะเกินไป และมุ่งสกัดไปที่ตัวบุคคล และกลุ่มก๊วนต่างๆ เป็นการเฉพาะมากกว่าตอบโจทย์ประเทศ
ทำนองเดียวกับระบบการเลือกตั้งแบบเยอรมัน ที่อนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญบางส่วนดันก้นกันสุดติ่งกระดิ่งแมว ที่แม้มองในภาพรวมระบบดังกล่าวจะเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคปลาซิวปลาสร้อยได้ลืมตาอ้าปากในระบอบประชาธิปไตย ขณะที่พรรคใหญ่ จะถูกจำกัดพื้นที่ขึ้น
แต่จะแก้ปัญหาระบอบทักษิณครองเมืองได้จริงหรือไม่ เพราะดันไปตั้งโจทย์ด้วยการเอา น.ช.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยเป็นตุ๊กตาเสียแล้ว ไม่ได้แก้ที่รากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง จริงอยู่ระบบการเลือกตั้งดังกล่าวหากนำมาใช้ในประเทศไทย จะสามารถลดทอนกำลังและการผูกขาดจาก 2 พรรคใหญ่ อย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ และประชาชนมีตัวเลือกมากขึ้นได้
แต่จะจำกัดได้แค่ในนามเท่านั้น ส่วนระบอบมันจะยังคงยืนตระหง่านอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แถมยังหวานคอแร้งคนอย่าง น.ช.ทักษิณอีกด้วย เพราะต่อให้พรรคใหญ่จะถูกจำกัดพื้นที่มากกว่าเก่า ไม่ถล่มทลายเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังสามารถแยกกันตีได้ ด้วยการกระจัดกระจายไปตั้งพรรคเล็กๆ ขึ้นมาเป็นนอมินี เอาแค่ภาคเหนือลองไปตั้งพรรคขึ้นมาอีกสักพรรค ส่วนภาคอีสานตั้ง 2–3 พรรค เพื่อกินสัมปทานจำนวนส.ส.ก็ยังได้ จะไปยากเย็นอะไรกับแค่การจดทะเบียนตั้งพรรค
**สุดท้ายก็ไปฝนตกขี้หมูไหลกันอยู่ในสภาเหมือนเดิม !!!
เหมือนกับพรรคร่วมรัฐบาลในยุคที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา พรรคพลังชล ที่แม้ชื่อจะคนละยี่ห้อ แต่เวลาสุมหัวทำอะไร แท็กทีมกันแน่นอยู่ตลอด นักการเมืองประเทศไทยเป็นประเภทเหลี่ยมคูแพรวพราว ไม่ยี่หระ และจนตรอกกับของแบบนี้
ดังนั้น ถ้ายังคิดอยู่ในกรอบเดิมๆ ด้วยการไล่บล็อกตัวบุคคล และกลุ่มบุคคลมากกว่าระบบโดยรวม นี่จะเป็นอีกครั้งที่การรัฐประหาร และการฉีกรัฐธรรมนูญไร้ความหมาย ตลอดจนจะเป็นอีกครั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะไม่ได้รับการยอมรับจากคนในชาติอย่างแท้จริง
**ที่สำคัญ จะเป็นอีกครั้งที่ไม่สามารถกำจัดระบอบทักษิณให้ออกจากประเทศไทย และเป็นอีกครั้ง ที่ชนะคนอย่างทักษิณไม่ได้ !!!
เรียกว่า ไม่ว่าแม่น้ำ 5 สายจะเขวี้ยงแนวคิดอะไรออกมาหยั่งกระแสสังคม หากโดนตีกลับคนที่รับก้อนอิฐคือ ผู้นำอยู่ร่ำไป ทั้งที่บางทีไม่ได้เออออห่อหมกด้วย แต่ด้วยเพราะเป็นคนในองคาพยพ เลยต้องรับผิดชอบแต่โดยดี
ทำให้ล่าสุดออกมากระตุกให้แม่น้ำ 5 สาย อย่าซ้ำเติมสถานการณ์ด้วยการสร้างปัญหาใหม่ๆขึ้นมา สวมบทผู้ปกครองถือไม้เรียวปรามบุตรหลานให้เพลาๆ กันบ้าง ถือว่าไม่ใช่ครั้งแรกเพราะก่อนหน้านี้ “บิ๊กตู่”ก็ดูจะปวดตับกับองคาพยพทั้งมวลมาหลายหน จนต้องเรียกประชุมกันเป็นระยะ
บางแนวคิดสร้างสรรค์ แต่บางแนวคิดก็ดูจ้องทำลายกันเกินเหตุ สุดโต่งจนดูเหมือนกำลังจะเขียนกฎหมายขึ้นมาเพื่อจองล้างจองผลาญฝ่ายตรงข้ามเสียให้จงได้ ตลกร้ายบางไอเดียละเมอเพ้อพกไปไกล ไม่ได้สอดคล้องกับสภาพประเทศของไทยเลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่แค่ฝ่ายตรงข้ามที่ปักหลักค้านแบบสุดซอยอยู่แล้ว แม้แต่คนกันเองก็ยังออกอาการหมั่นไส้กับทฤษฎีหลายอย่างของ "อนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ" แต่ละชุด ถ้ายังฟุ้งฝอยกันอย่างนี้ ปลายทางอย่าว่าแต่ทำประชามติไม่ผ่านเลย จะเขียนรัฐธรรมนูญให้เสร็จยังยาก
วันนี้ต้องถามตัวเองจะเขียนรัฐธรรมนูญแบบวิน–วิน ให้ทุกฝ่ายมาเริ่มต้นกันใหม่ หรือจะเขียนแบบได้ทีขี่แพะไล่ ได้จังหวะต้องเอาคืนกันให้หายแค้น ทบทวนใหม่ตกลงใช่ยุคปฏิรูป หรือยุคปฏิบัติการล้างเผ่าพันธุ์ฝ่ายตรงข้ามให้สูญสิ้นจากระบบการเมืองไทย
**โดยเฉพาะแนวคิดเลือกนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีโดยตรง ที่กำลังโดนรุมสกรัมกันอยู่ขณะนี้ เปลือกนอกฟังดูดี เพราะประชาชนมีโอกาสได้เลือกโดยตรง สมกับเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ ส.ส.ในสภาไปยกมือโหวตกันเอง เหมือนจับยัด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีชั่วโมงบินทางการเมืองเพียง 49 วัน มาเป็นนายกรัฐมนตรีจนพูดผิดพูดถูก สถาปนาจังหวัดหาดใหญ่กันอีก
แต่สภาพความเป็นจริงนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จะแจวเรือลำใหญ่ให้พ้นคลื่นลมในทะเลได้อย่างไร หากส.ส.ที่อยู่ในสภา ซึ่งมีจำนวนหลายร้อยคน และหลายพรรคเกิดไม่ชอบขี้หน้าขึ้นมา รวมหัวกันไม่ให้ความร่วมมือ บางเรื่องที่รัฐบาลต้องขออนุมัติจากสภา อาจจะเจอแช่แข็งและดองเค็ม สุดท้ายไม่เป็นอันต้มยำทำแกงอะไร
ยิ่งน่ากลัวว่าวันหนึ่งบริหารไปบริหารมา ซึ่งต้องมีแน่ จู่ๆ รัฐบาลนึกครึ้มจะออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินการคลังขึ้นมา แล้วมีประโยชน์เหลือหลายกับประชาชน แต่เหล่าส.ส.เหล่าซือแป๋ทั้งหลายในสภาเกิดอาการหมันไส้ แท็กทีมกันไม่ให้ผ่าน จับน็อกกลางอากาศ นายกรัฐมนตรี ต้องถึงขั้นลาออกเป็นการเซ่นความรับผิดชอบกันทีเดียว
รวมไปถึงวันดีคืนดีเหล่าส.ส.สุมหัวกันโค่นล้มนายกรัฐมนตรีขึ้นมา ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้น ทั้งที่บางกรณีอาจไม่ได้มีน้ำหนักเพียงพอ พร้อมใจกันยกมือโหวตเขี่ยกระเด็นออกจากเก้าอี้เอาง่ายๆ ทำให้ต้องเลือกตั้งใหม่กันซ้ำซาก ประเทศติดหล่ม ไม่ได้ไปไหน กลายเป็นยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกักกันอยู่อย่างนี้ ซึ่งโอกาสแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ง่ายเอามากๆ หากส.ส.หรือส.ว.ส่วนใหญ่เป็นพรรคฝ่ายค้าน การประสานงานระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรัฐสภาจะยากขึ้น
**ดังนั้น นายกรัฐมนตรีโดยตรงจึงเสมือนมาตัวเปล่าๆ หัวเดียวกระเทียมลีบ
หรือตลกร้ายกว่า ต่อไปส.ส.เหล่านี้จะทำตัวเป็นซุปเปอร์วีไอพี นั่งรับทรัพย์ต่อรองกับนายกรัฐมนตรีได้ อยากให้กฎหมายฉบับไหนผ่าน ต้องส่งสัญญาณขอไฟเขียวมาก่อน อัพราคาปั่นค่าตัวกันได้ เฉกเช่นเดียวกับกรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งที่ผ่านมาการเมืองหลายยุค มีการล็อบบี้อัดกระสุนดินดำด้วยตัวเลขหลายหลักกับส.ส.หรือ ส.ว. อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าสมัยพรรคสีฟ้า หรือสีแดง เป็นแกนนำรัฐบาล หากต่อไปเป็นนายกรัฐมนตรีโดยตรง รับรองต้องควักกระเป๋าจ่ายกันบานตะไท เกิดขบวนการกวาดต้อนด้วยการซื้อเพียบ ส.ส. ก็ร่ำรวยอู้ฟู่ หาเงินแหลก เอาไว้ไปซื้อเสียงกลับเข้ามากอบโกยใหม่
**วงจรอุบาทว์จะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิมเสียอีก!!!
การเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงยังดูคล้ายคลึงกับการเลือกประธานาธิบดี ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่งกับสภาพสังคมประเทศไทย ปัจจัยรวมทุกอย่างไม่สอดคล้องกันอย่างแรง
ไอเดียเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงจึงดูมีช่องโหว่เยอะเกินไป และมุ่งสกัดไปที่ตัวบุคคล และกลุ่มก๊วนต่างๆ เป็นการเฉพาะมากกว่าตอบโจทย์ประเทศ
ทำนองเดียวกับระบบการเลือกตั้งแบบเยอรมัน ที่อนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญบางส่วนดันก้นกันสุดติ่งกระดิ่งแมว ที่แม้มองในภาพรวมระบบดังกล่าวจะเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคปลาซิวปลาสร้อยได้ลืมตาอ้าปากในระบอบประชาธิปไตย ขณะที่พรรคใหญ่ จะถูกจำกัดพื้นที่ขึ้น
แต่จะแก้ปัญหาระบอบทักษิณครองเมืองได้จริงหรือไม่ เพราะดันไปตั้งโจทย์ด้วยการเอา น.ช.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยเป็นตุ๊กตาเสียแล้ว ไม่ได้แก้ที่รากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง จริงอยู่ระบบการเลือกตั้งดังกล่าวหากนำมาใช้ในประเทศไทย จะสามารถลดทอนกำลังและการผูกขาดจาก 2 พรรคใหญ่ อย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ และประชาชนมีตัวเลือกมากขึ้นได้
แต่จะจำกัดได้แค่ในนามเท่านั้น ส่วนระบอบมันจะยังคงยืนตระหง่านอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แถมยังหวานคอแร้งคนอย่าง น.ช.ทักษิณอีกด้วย เพราะต่อให้พรรคใหญ่จะถูกจำกัดพื้นที่มากกว่าเก่า ไม่ถล่มทลายเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังสามารถแยกกันตีได้ ด้วยการกระจัดกระจายไปตั้งพรรคเล็กๆ ขึ้นมาเป็นนอมินี เอาแค่ภาคเหนือลองไปตั้งพรรคขึ้นมาอีกสักพรรค ส่วนภาคอีสานตั้ง 2–3 พรรค เพื่อกินสัมปทานจำนวนส.ส.ก็ยังได้ จะไปยากเย็นอะไรกับแค่การจดทะเบียนตั้งพรรค
**สุดท้ายก็ไปฝนตกขี้หมูไหลกันอยู่ในสภาเหมือนเดิม !!!
เหมือนกับพรรคร่วมรัฐบาลในยุคที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา พรรคพลังชล ที่แม้ชื่อจะคนละยี่ห้อ แต่เวลาสุมหัวทำอะไร แท็กทีมกันแน่นอยู่ตลอด นักการเมืองประเทศไทยเป็นประเภทเหลี่ยมคูแพรวพราว ไม่ยี่หระ และจนตรอกกับของแบบนี้
ดังนั้น ถ้ายังคิดอยู่ในกรอบเดิมๆ ด้วยการไล่บล็อกตัวบุคคล และกลุ่มบุคคลมากกว่าระบบโดยรวม นี่จะเป็นอีกครั้งที่การรัฐประหาร และการฉีกรัฐธรรมนูญไร้ความหมาย ตลอดจนจะเป็นอีกครั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะไม่ได้รับการยอมรับจากคนในชาติอย่างแท้จริง
**ที่สำคัญ จะเป็นอีกครั้งที่ไม่สามารถกำจัดระบอบทักษิณให้ออกจากประเทศไทย และเป็นอีกครั้ง ที่ชนะคนอย่างทักษิณไม่ได้ !!!