ศาลสั่งจำคุก 155 ปี “ฉัฐวัสส์ มุตตามระ” อดีตนักการเมืองกลุ่ม 16 สนับสนุน “เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์” ยักยอกทรัพย์แบงก์บีบีซีกว่าพันล้าน พร้อมปรับเงิน 31 ล้าน และให้ชดใช้เงินคืนกว่า 732 ล้านบาท ส่วนจำเลยอื่นหลักฐานไม่เพียงพอให้ยกฟ้อง
วานนี้ (1 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ด.6206/2543 ที่อัยการกองคดีเศรษฐกิจ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด หรือบีบีซี (เสียชีวิต), นายเอกชัย อธิคมนันทะ อายุ 65 ปี อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี, นายวันชัย ธรรมธิติวัฒน์ อายุ 55 ปี อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารเงินและวิเทศทนกิจ และอดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี, นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ อายุ 67 ปี อดีตกรรมการบริษัท สยาม แมสคอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทขอกู้สินเชื่อกับบีบีซี, นายมาโนช เชาวรัตน์ อายุ 56 ปี อดีตกรรมการบริษัท สยามแมสฯ, นายฉัฐวัสส์ หรือวีรพล มุตตามระ อายุ 58 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามแมสฯ และอดีตนักการเมืองกลุ่ม 16, บริษัท อเมริกันแสตนดาร์ด แอ๊พเพรซัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับจ้างประเมินราคาทรัพย์สิน และนายไพโรจน์ ซึ่งศิลป์ อายุ 64 ปี อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทอเมริกันแสตนดาร์ด (ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร) เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ซึ่งได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไปโดยทุจริต หรือร่วมกันยักยอกทรัพย์, ผู้ใดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินได้กระทำผิดต่อหน้าที่ของตนโดยทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายกับทรัพย์สินนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 และความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 4, 304, 308, 321, 313, 315 และ 334
มูลค่าเสียหาย 1,014 ล้านบาท
โจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 26 ม.ค. - 1 มิ.ย.2537 เวลากลางวัน พวกจำเลยได้บังอาจร่วมกันวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำในการทำหนังสือของบีบีซีถึงบริษัทสยามแมสฯเสนอรับเป็นที่ปรึกษาในการซื้อหุ้นที่จะครอบงำกิจการด้านประกันภัย ต่อมาจำเลยที่ 4-8 ร่วมกันขอสินเชื่อจากบีบีซี 570 ล้านบาท เพื่อนำเงินดังกล่าวไปซื้อหุ้นครอบงำกิจการบริษัทประกันภัย โดยพวกจำเลยได้เสนอหุ้นจำนวน 6 ล้านหุ้นพร้อมที่ดิน อ.แม่จัน จ.เชียงราย จำนวน 51 แปลง อ้างราคาประเมินที่ดิน 405,900,000 บาท เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มี.ค.-30 พ.ย. 2538 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี ยังได้ทำการอนุมัติสินเชื่อเบิกเกินบัญชีให้กับจำเลยที่ 4-6 จำนวน 655,649,408.07 บาท โดยไม่นำเสนอคณะกรรมการสินเชื่อของบีบีซีพิจารณากลั่นกรองก่อน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขณะที่รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 1,014,894,086.49 บาท ซึ่งบีบีซีได้รับเงินบางส่วนคืนแล้ว คงเหลืออีกจำนวน 732,982,485.15 บาท จึงขอให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวคืนแก่บีบีซีด้วย
โดยในวันนี้จำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8 เดินทางมาศาลพร้อมกับทนายความ ขณะที่จำเลยที่ 3 ได้ส่งทนายความขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปก่อน เนื่องจากมีอาการป่วย จึงไม่สามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาได้ ขณะที่จำเลยที่ 6 ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ส่วนนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2555 ด้วยโรคมะเร็งในปอด จึงจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
“เกริกเกียรติ” ผิดเต็มประตู
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงินที่สำคัญทางเศรษฐกิจ เพราะทำให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนและเติบโตได้ เมื่อทรัพย์สินที่นำมาฝากคือเงินฝากของประชาชนจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการดูแลและออกสินเชื่อ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชน โดยนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี ได้อนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทสยามแมสฯซึ่งมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมหลายประหารจำนวนหลายครั้ง โดยไม่ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองจึงเป็นการกระทำโดยทุจริต พยานหลักฐานจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดโดยทุจริตตามฟ้อง
ขณะที่ นายเอกชัย จำเลยที่ 2 และนายนายวันชัย จำเลยที่ 3 มีพยานหลักฐานว่า ไม่มีอำนาจในการอนุมัติสินเชื่อ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และ 3 ได้
“ฉัฐวัสส์” ร่วมมือโกงบีบีซี
สำหรับ นายชูชาติ จำเลยที่ 4 และนายมาโนช จำเลยที่ 5 ซึ่งได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอดและนำสืบต่อสู้ทำนองว่า นายฉัฐวัสส์ จำเลยที่ 6 ได้ขอร้องจำเลยที่ 4-5 มาเป็นกรรมการบริษัทสยามแมสฯแทนชั่วคราว โดยการติดต่อขอสินเชื่อจำเลยที่ 6 จะเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่งพยานโจทก์ก็เบิกความว่าไม่เคยเห็นจำเลยที่ 4-5 มาติดต่อธุระที่บีบีซี จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4-5 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ต่อมาจำเลยที่ 4-5 ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการ พยานโจทก์จึงยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 4-5 มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย และแม้จำเลยที่ 6 จะไม่ได้เป็นผู้อนุมัติสินเชื่อก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยและคำเบิกความของพยานโจทก์สนับสนุนว่า จำเลยที่ 6 เป็นผู้ขอสินเชื่อและได้มีการโอนเงินของโจทก์ร่วมเข้าบัญชีของจำเลยที่ 6 จำนวนหลายครั้ง ซึ่งไม่สามารถหักล้างว่าเงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร พยานหลักฐานจึงรับฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 6 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดทำให้โจทก์ร่วมเกิดความเสียหายกว่า 732 ล้านบาท
สรุปโดนเดี่ยว-ยกฟ้องที่เหลือ
ส่วนจำเลยที่ 7-8 พนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินคดี เนื่องจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ประเมินราคาที่ดินโดยสูงกว่าความเป็นจริงเท่านั้น แต่ไม่มีเงินโอนเข้ามาในบัญชีของจำเลยทั้งสอง จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีส่วนในการสนับสนุนการกระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และ 6
พิพากษาว่า จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 352 ประกอบ ม.83, 353 -354 ประกอบ 86 และพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 4, 307, 308, 311ประกอบ 315 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงบทหนักสุด จำคุกกระทงละ 5 ปี ปรับกระทงละ 1 ล้านบาท รวมเป็นความผิด 31 กระทง รวมจำคุก 155 ปี ปรับ 31 ล้านบาท แต่โทษให้จำคุกได้สูงสุดไม่เกิน 20 ปีตามกฎหมาย และให้ชดใช้เงินคืนให้กับโจทก์ร่วมจำนวน 732,982,485.17 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3, 4, 5, 7 และ 8 แต่ให้ขังจำเลยที่ 4-5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์
วานนี้ (1 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ด.6206/2543 ที่อัยการกองคดีเศรษฐกิจ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด หรือบีบีซี (เสียชีวิต), นายเอกชัย อธิคมนันทะ อายุ 65 ปี อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี, นายวันชัย ธรรมธิติวัฒน์ อายุ 55 ปี อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารเงินและวิเทศทนกิจ และอดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี, นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ อายุ 67 ปี อดีตกรรมการบริษัท สยาม แมสคอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทขอกู้สินเชื่อกับบีบีซี, นายมาโนช เชาวรัตน์ อายุ 56 ปี อดีตกรรมการบริษัท สยามแมสฯ, นายฉัฐวัสส์ หรือวีรพล มุตตามระ อายุ 58 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามแมสฯ และอดีตนักการเมืองกลุ่ม 16, บริษัท อเมริกันแสตนดาร์ด แอ๊พเพรซัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับจ้างประเมินราคาทรัพย์สิน และนายไพโรจน์ ซึ่งศิลป์ อายุ 64 ปี อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทอเมริกันแสตนดาร์ด (ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร) เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ซึ่งได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไปโดยทุจริต หรือร่วมกันยักยอกทรัพย์, ผู้ใดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินได้กระทำผิดต่อหน้าที่ของตนโดยทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายกับทรัพย์สินนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 และความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 4, 304, 308, 321, 313, 315 และ 334
มูลค่าเสียหาย 1,014 ล้านบาท
โจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 26 ม.ค. - 1 มิ.ย.2537 เวลากลางวัน พวกจำเลยได้บังอาจร่วมกันวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำในการทำหนังสือของบีบีซีถึงบริษัทสยามแมสฯเสนอรับเป็นที่ปรึกษาในการซื้อหุ้นที่จะครอบงำกิจการด้านประกันภัย ต่อมาจำเลยที่ 4-8 ร่วมกันขอสินเชื่อจากบีบีซี 570 ล้านบาท เพื่อนำเงินดังกล่าวไปซื้อหุ้นครอบงำกิจการบริษัทประกันภัย โดยพวกจำเลยได้เสนอหุ้นจำนวน 6 ล้านหุ้นพร้อมที่ดิน อ.แม่จัน จ.เชียงราย จำนวน 51 แปลง อ้างราคาประเมินที่ดิน 405,900,000 บาท เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มี.ค.-30 พ.ย. 2538 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี ยังได้ทำการอนุมัติสินเชื่อเบิกเกินบัญชีให้กับจำเลยที่ 4-6 จำนวน 655,649,408.07 บาท โดยไม่นำเสนอคณะกรรมการสินเชื่อของบีบีซีพิจารณากลั่นกรองก่อน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขณะที่รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 1,014,894,086.49 บาท ซึ่งบีบีซีได้รับเงินบางส่วนคืนแล้ว คงเหลืออีกจำนวน 732,982,485.15 บาท จึงขอให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวคืนแก่บีบีซีด้วย
โดยในวันนี้จำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8 เดินทางมาศาลพร้อมกับทนายความ ขณะที่จำเลยที่ 3 ได้ส่งทนายความขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปก่อน เนื่องจากมีอาการป่วย จึงไม่สามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาได้ ขณะที่จำเลยที่ 6 ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ส่วนนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2555 ด้วยโรคมะเร็งในปอด จึงจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
“เกริกเกียรติ” ผิดเต็มประตู
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงินที่สำคัญทางเศรษฐกิจ เพราะทำให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนและเติบโตได้ เมื่อทรัพย์สินที่นำมาฝากคือเงินฝากของประชาชนจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการดูแลและออกสินเชื่อ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชน โดยนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี ได้อนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทสยามแมสฯซึ่งมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมหลายประหารจำนวนหลายครั้ง โดยไม่ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองจึงเป็นการกระทำโดยทุจริต พยานหลักฐานจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดโดยทุจริตตามฟ้อง
ขณะที่ นายเอกชัย จำเลยที่ 2 และนายนายวันชัย จำเลยที่ 3 มีพยานหลักฐานว่า ไม่มีอำนาจในการอนุมัติสินเชื่อ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และ 3 ได้
“ฉัฐวัสส์” ร่วมมือโกงบีบีซี
สำหรับ นายชูชาติ จำเลยที่ 4 และนายมาโนช จำเลยที่ 5 ซึ่งได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอดและนำสืบต่อสู้ทำนองว่า นายฉัฐวัสส์ จำเลยที่ 6 ได้ขอร้องจำเลยที่ 4-5 มาเป็นกรรมการบริษัทสยามแมสฯแทนชั่วคราว โดยการติดต่อขอสินเชื่อจำเลยที่ 6 จะเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่งพยานโจทก์ก็เบิกความว่าไม่เคยเห็นจำเลยที่ 4-5 มาติดต่อธุระที่บีบีซี จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4-5 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ต่อมาจำเลยที่ 4-5 ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการ พยานโจทก์จึงยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 4-5 มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย และแม้จำเลยที่ 6 จะไม่ได้เป็นผู้อนุมัติสินเชื่อก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยและคำเบิกความของพยานโจทก์สนับสนุนว่า จำเลยที่ 6 เป็นผู้ขอสินเชื่อและได้มีการโอนเงินของโจทก์ร่วมเข้าบัญชีของจำเลยที่ 6 จำนวนหลายครั้ง ซึ่งไม่สามารถหักล้างว่าเงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร พยานหลักฐานจึงรับฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 6 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดทำให้โจทก์ร่วมเกิดความเสียหายกว่า 732 ล้านบาท
สรุปโดนเดี่ยว-ยกฟ้องที่เหลือ
ส่วนจำเลยที่ 7-8 พนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินคดี เนื่องจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ประเมินราคาที่ดินโดยสูงกว่าความเป็นจริงเท่านั้น แต่ไม่มีเงินโอนเข้ามาในบัญชีของจำเลยทั้งสอง จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีส่วนในการสนับสนุนการกระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และ 6
พิพากษาว่า จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 352 ประกอบ ม.83, 353 -354 ประกอบ 86 และพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 4, 307, 308, 311ประกอบ 315 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงบทหนักสุด จำคุกกระทงละ 5 ปี ปรับกระทงละ 1 ล้านบาท รวมเป็นความผิด 31 กระทง รวมจำคุก 155 ปี ปรับ 31 ล้านบาท แต่โทษให้จำคุกได้สูงสุดไม่เกิน 20 ปีตามกฎหมาย และให้ชดใช้เงินคืนให้กับโจทก์ร่วมจำนวน 732,982,485.17 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3, 4, 5, 7 และ 8 แต่ให้ขังจำเลยที่ 4-5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์