xs
xsm
sm
md
lg

ปิดอีก 2 คดีประวัติศาสตร์ “โกงแบงก์บีบีซี” ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 20 ปี ปรับ-ให้ชดใช้คืนร่วมพันกว่าล้าน! อดีตผู้บริหารร่วม “เกริกเกียรติ”(มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ม.ร.ว.อรอนงค์ เทพาคำ อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ แบงก์บีบีซี (เดินด้านหน้า)  และม.ร.ว.หญิงสุภาณี สารสิน หรือดิศกุล อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด แบงก์บีบีซี
MGR Online - อดีตผู้บริหารโดนหนัก ศาลศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 20 ปี “ม.ร.ว.อรอนงค์-เยาวลักษณ์” ปรับ 1,157 ล้านบาท พร้อมให้ชดใช้เงินคืนแก่บีบีซี 589 ล้าน อีกคดี จำคุก 6 ปี 8 เดือน ปรับ 6.6 แสน หม่อมราชวงศ์กับพวกอดีตผู้บริหารบีบีซี 3 ราย ขายหุ้นบีบีซีเพื่อเก็งกำไร กับ “ราเกซ สักเสนา” พร้อมให้ร่วมกันชดใช้เงินกว่า 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐคืนบีบีซี



ที่ห้องพิจารณาคดี 902 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำที่ ด.6173/2542 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร และธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารบีบีซี, ม.ร.ว.อรอนงค์ เทพาคำ อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ และ น.ส.เยาวลักษณ์ นิตย์ธีรานนท์ อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์, เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการสินทรัพย์กระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353, 354และกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยจำเลยทั้งสามร่วมกับนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษา กก.ผจก.ใหญ่บีบีซี ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องยักยอกทรัพย์บีบีซี มูลค่า 1,228,896,438 บาท จากการลงนามทำสัญญาแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ธนบัตรระหว่างบีบีซี กับบริษัท ดิเวลลอปเมนท์ ไฟแนนซ์ แอนด์ อินเวสเมนท์ จำกัด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2538

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 ว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 33, 37-39และ 311 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม โดยลงโทษบทหนักสุดฐานเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทุจริตต่อหน้าที่ ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 กระทง ๆ ละ 10 ปีรวมจำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 20 ปี และให้ปรับ 1,157,244,186.28 บาท พร้อมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่บีบีซี จำนวน 589,622,043.04 บาท ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามยื่นฎีกา โดยระหว่างพิจารณาคดีจำเลยที่ 1 เสียชีวิต

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า การทำสัญญาแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ระหว่างโจทก์ร่วมโดยจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 กับนายอลัน กลอร์ ผู้แทนบริษัทเพเนลอป ไฟแน้นซ์ แอนด์อิรเวสท์เมนท์ อิงค์ มีข้อพิรุธหลายประการ และได้ความว่าจำเลยที่1-2 และนายราเกซ ซึ่งเป็นผู้บริหารโจทก์ร่วมขอให้นายอลัน ตั้งบริษัทนี้ขึ้นมีวัตถุประสงค์รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากโจทก์ร่วม มีจำเลยที่ 2 และนายราเกซ เป็นผู้ถือหุ้นและรับประโยชน์ อีกทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่า บ.เพเนลอป ฯ ขายพันธบัตรที่โจทก์ร่วมถือครองแล้วจำเลยที่ 2 กับมีคำสั่งให้นายอลัน โอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีบริษัททัวร์บิลอน ซึ่งมีนายราเกซ เป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงิน และเมื่อบ.เพเนลอปฯ ขายพันธบัตรของโจทก์ร่วมแล้วไม่ได้นำเงินไปซื้อพันธบัตรอื่นมาส่งมอบคืน กลับปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีคำสั่งให้นายอลัน โอนเงินจากบัญชี บ.เพเนลอป ฯ จำนวน 35,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ เข้าบัญชีบริษัททัวร์บิลอน ต่อมานายราเกซ สั่งให้ธนาคารโอนเงินดังกล่าวซึ่งคิดเป็นเงินไทย 839,725,000 บาท เข้าบัญชีของนายราเกซ และนายราเกซได้แบ่งเงินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 จำนวน 800 ล้านบาท ขณะที่จำเลยที่ 2 เบิกความเพียงว่าได้เกี่ยวข้องกับเงินดังกล่าว ทั้งที่เงินจำนวนนี้ถูกนำเข้าและโอนอยู่ในธนาคารที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้บริหารด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมีการสร้างรายการเพื่อกลบเกลื่อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์โดยโอนเงินดอกเบี้ยพันธบัตรเข้าบัญชีโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง สำหรับเงินกำไรที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนของโจทก์ร่วมอีก 9,077,231.84 ดอลล่าร์สหรัฐ บ.เพเนลอป ฯ ก็โอนเข้าบัญชีบริษัททัวร์บิลอนเช่นกัน

ต่อมาจำเลยที่ 2-3 มีคำสั่งโอนหน่วยลงทุนเม็กซิกันเปโซฟันด์เข้าบัญชีโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือเงินปันผลกับบ.อินเตอร์เนชั่นแนล เครดิต โบรคเกอร์เรจ โฮลดิ้ง อิงค์ ซึ่งบริษัทต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่โจทก์ร่วม 8 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่เงินจำนวนนี้จ่ายจากบัญชีบ.ทัวร์บิลอน เป็นการสร้างรายการทางบัญชีว่ามีการชำระค่าตอบแทนสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือเงินปันผลเท่านั้น ดังนั้น การทำสัญญาแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ระหว่างโจทก์ร่วม และบ.เพเนลอป ฯ เป็นการยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วม โดยจำเลยที่ 1 - 2 และนายราเกซ ตั้งบริษัทดังกล่าวขึ้น เพื่อได้ไปซึ่งสินทรัพย์หน่วยลงทุนที่ได้รับการจัดอันดับสูงของโจทก์ร่วมแล้วนำธนบัตรที่ได้รับการจัดอันดับต่ำมาคืนและไม่ครบจำนวนตามที่ตกลงกันเป็นความเสียหายตามที่โจทก์ร่วมได้รับ

พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2-3 ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบของโจทก์ร่วมที่เป็นธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้ร่วมเป็นตัวของยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2-3 เป็นผู้บริหารระดับสูงมีอำนาจลงนามทำธุรกรรมแทนโจทก์ร่วม โดยเฉพาะธุรกรรมของคดีนี้มีมูลค่าสูง จำเลยที่ 2-3 ต้องใช้ความรู้และความรอบคอบตามมาตรฐานของผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อทรัพย์สินของโจทก์ร่วม ผู้ฝากเงิน ลุกค้า ประชาชน และเศรษฐกิจของชาติเป็นส่วนรวม ความเสียกายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ร่วมส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางไปถึงเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งข้อเท็จจริงในคดีปรากฏด้วยว่า จำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์มาจากการกระทำครั้งนี้ พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาหนักแน่น มั่นคงว่าจำเลยที่ 2-3 กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามกัน พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 2-3 นำสืบไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2-3 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนในส่วนของจำเลยที่ 2-3 สำหรับคดีอาญาของจำเลยที่ 1 ให้จำหน่ายออกจากสารบบ

คดีขายหุ้นจำคุกอดีตผู้บริหาร 3 ราย 6 ปี 8 เดือน

วันเดียวกันที่ห้องพิจารณา 903 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ ด.7254/2543 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 และธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี ร่วมกัน เป็นโจทก์ฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ หรือเสี่ยตั้ว อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี, นายจิตตสร ปราโมช ณ อยุธยา อดีตรองผู้อำนวยการ สำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่, ม.ร.ว.ดำรงเดช ดิศกุล อดีต ผู้บริหารอาวุโส สำนักบริหารเงินและวิเทศกิจ และ ม.ร.ว.หญิงสุภาณี สารสิน หรือ ดิศกุล อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บีบีซี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.352, 353, 354ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ม.307, 308, 309, 311, 312 และ 313

กรณีเมื่อเดือน พฤษภาคม 2538 – กรกฎาคม 2539 จำเลยทั้งสี่และนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษา กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี ร่วมกันวางแผนอนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนของบีบีซี โดยไม่ตรวจสอบประวัติฐานะของบริษัทผู้เข้ามาจองซื้อหุ้น จำนวน 260 ล้านหุ้นให้กับบริษัท ออลบิ ยูเอสเอ อิงค์ และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เครดิต โบรคเกอร์เรจ โฮลดิ้ง อิงค์ ที่มีนาย ราเกซ ที่ปรึกษา กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี เป็นผู้รับมอบอำนาจการซื้อขายหุ้น แล้วบริษัทนำหุ้น 90 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินจำนวน 23,170,731.71ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 570 ล้านบาทไปขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไทยฟูจิ จำกัด เพื่อนำเงินมาชำระค่าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของโจทก์ร่วมรวม 38 ล้านหุ้น และยังได้อนุมัติสินเชื่อจำนวน 126 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่ธนาคารเนชั่นแนลเครดิตแบงก์ รวมทั้งสินเชื่อให้กับบริษัท อาร์คาร์เดีย แคปปิตอล พาร์ทเนอรส์ อิงค์ และบริษัท เอเซซ คอร์ปรเรท โฮลดิ้ง แอนด์ ไฟแนนซ์ อิงค์ อีกรายละ 50 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ โดยนายราเกซเป็นผู้ลงนามในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ทั้งสองบริษัทนำมาวางประกันขอสินเชื่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2548 ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ม.313 ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำคุก 5 กระทงๆ ละ 10 ปี รวม 50 ปี แต่คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 90 และปรับ 472,122,946.02 ดอลลาร์สหรัฐ และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากศาลอาญากรุงเทพใต้ที่พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 ในข้อหายักยอกทรัพย์ด้วย

ส่วนจำเลยที่ 2-4 ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ม.308 ที่เป็นบทหนักสุด จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน และปรับคนละ666,666.66 บาท รวมทั้งให้จำเลยที่ 1 คืนเงินบีบีซี จำนวน167,090,118.28 ดอลลาร์สหรัฐ หากใช้เป็นเงินบาทให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินปัจจุบัน โดยให้จำเลยที่ 2-4 ร่วมชดใช้เงินกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 85,733,882.04ดอลลาร์สหรัฐ หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการยึดทรัพย์สิน จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา โดยระหว่างพิจารณาคดีจำเลยที่ 1 เสียชีวิต

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบ แสดงให้เห็นพฤติกรรมของจำเลยที่ 2 -4 ว่ามีส่วนรู้เห็นในกระบวนการ ยักย้ายถ่ายเทหุ้นโจทก์ร่วม โดยนำเม็ดเงินของโจทก์ร่วมเอง ไปให้สินเชื่อแก่บุคคลภายนอกกู้ยืม แล้วนำกลับมาซื้อหุ้นดังกล่าว จากนั้นนำหุ้นไปโอนให้แก่กันและขายให้แก่บุคคลอื่น ได้รับผลประโยชน์เป็นส่วนตัว ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย อันกระทบต่อฐานะความมั่นคงของโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ จนต้องปิดกิจการ และสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ถือหุ้นของโจทก์ร่วม ลูกค้าของโจทก์ร่วม ประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยไม่มีน้ำหนัก หักล้างพยานของโจทก์และโจทก์ร่วม ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 -4 ฟังไม่ขึ้น

สำหรับปัญหาของจำเลยที่ 2 - 4 ฎีกาว่า ความผิดฐานยักยอก ที่โจทก์ฟ้องสำเร็จเมื่อโจทก์ร่วมโอนเงินกู้ยืม ให้แก่ผู้ขอสินเชื่อ จำเลยที่ 2 - 4 เป็นเพียง ผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และคดีโจทก์ขาดอายุควา แล้วนั้น เห็นว่า ความผิดฐานยักยอก และความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีอาชญากรรมทางธุรกิจ มีลักษณะเป็นกระบวนการมีความซับซ้อน มีการวางแผนและขั้นตอนต่างๆ มีผู้ร่วมกระทำความผิดหลายคน แต่ละคนเข้าร่วมกระทำขั้นตอนต่างๆที่แตกต่างกัน เมื่อการกระทำบรรลุขั้นตอนต่างๆ ตามที่วางแผนไว้ ความเสียหายจึงปรากฏขึ้น ดังนั้น ไม่อาจถือว่าความผิดสำเร็จเมื่อผู้ขอสินเชื่อได้รับเงินกู้ยืมไปจากโจทก์ร่วม แต่ต้องถือว่าความผิดสำเร็จเมื่อทำบรรลุขั้นตอนครบถ้วนตามที่วางแผนและความเสียหายปรากฏ อายุความจริงจึงเริ่มนับ ดังนั้นคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ อีกทั้งผู้ร่วมกระทำผิดทุกคนล้วนเป็นตัวการในความผิดฐานยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ทั้งสิ้น ฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 2-4 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน สำหรับคดีของจำเลยที่ 2 - 4 ส่วนคดีของจำเลยที่ 1ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมจำเลยทั้ง 3 คน ไปยังห้องควบคุมใต้ถุนศาลอาญาและนำตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต่อไป

ออกหมายจับจำเลยที่ 2 เบี้ยวมาศาล

วันเดียวกัน ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ ด.6618/2542 ที่อัยการกองคดีเศรษฐกิจ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี นางพรจันทร์ จันทรขจร และนางสุภาภรณ์ ทิพยศักดิ์ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ กรณีจำเลยร่วมกันเบียดบังยักยอกเงินจากบีบีซี จำนวน 200,956,250 บาท เป็นของตนเองและบุคคลที่ 3

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2549 ให้จำคุกนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี ปรับ 211,160,166 บาท จำคุกนายพรจันทร์ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 12 ปี 16 เดือน ปรับ 1,333,333.32 บาท หากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตาม ปอ.ม.29 ให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ 213/2548 คดีหมายเลขแดงที่ 215/2548 และคดีหมายเลขแดงที่ 217/2548 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ และคดีหมายเลขแดงที่ 3947/2548 ของศาลอาญา ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินจำนวน 93,036,333 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดคืนเงินจำนวน 84,720,000 บาท แก่ธนาคารโจทก์ร่วม และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง แต่ให้แก้ไขคำพิพากษาในส่วนของการชดใช้ค่าเสียหายแก่บีบีซี พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 คืนเงินแก่บีบีซี โจทก์ร่วม จำนวน 128,316,333 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดคืนเงินจำนวน 120,000,000 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยยื่นฎีกา

เมื่อถึงเวลานัดปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เดินทางมาศาล ขณะที่ทนายความของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องถึงการเสียชีวิตของจำเลยที่ 1 ก่อนหน้านี้แล้ว

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 2 ทราบหมายโดยชอบ แต่ไม่ได้เดินทางมาศาล จึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 เพื่อมาฟังคำพิพากษา และให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไป เพื่อส่งสำนวนคืนไปยังศาลฎีกาให้พิจารณาเหตุเสียชีวิตของจำเลยที่ 1


กำลังโหลดความคิดเห็น