xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ฟ้าผ่าเดอะกิ๊ก แอนด์เดอะแก๊ง ใหญ่แค่ไหนก็จับ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ใครเลยจะไปคาดคิดว่า อยู่ๆ คนอย่าง “เดอะกิ๊ก-พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบ.ชก.) จะมีชะตาชีวิตที่พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วข้ามคืนเช่นนี้

จาก “เจ้าพ่อสอบสวนกลาง” ที่มากบารมี และนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้มานับตั้งแต่ปี 2553 วันนี้จะกลายเป็นผู้ต้องหา พร้อม พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. และพวกในคดีร้ายแรงใน 5 ข้อหาฉกรรจ์ที่มีโทษซึ่งต้องบอกว่า หนักหนาสาหัสเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะข้อหาสุดท้ายคือความผิดฐานตามประมวลอาญา มาตรา 112 หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ ซึ่งคำร้องขอฝากขังระบุชัดเจนว่า “เดอะกิ๊กแอนด์เดอะแก๊ง” มีพฤติกรรม “แอบอ้างเบื้องสูง” ในการแสวงหาผลประโยชน์ ทั้งค้าน้ำมันเถื่อน ฟอกเงิน รับส่วยในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ เปิดอภิมหาบ่อนย่านพระราม 9

ฟ้าผ่าครั้งที่ 1 ย้ายเข้ากรุ

กล่าวสำหรับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์นั้น ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในปี 2553 และนั่งอยู่ในเก้าอี้ตัวนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่มีใครกล้าแตะ ไม่มีใครกล้าโยกย้าย ผ่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาหลายต่อหลายคน ผ่านรัฐบาลมาหลายรัฐบาล แม้กระทั่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มี “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ไม่สามารถโยกคลอนเก้าอี้ที่มั่นคงดุจภูผาของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ได้

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางกลายเป็นอาณาจักรของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ที่ไม่มีใครหน้าไหนแตะ

แต่แล้วจู่ๆ กลางดึกของวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ได้มีคำสั่งย้าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์พ้นขาดจากเก้าอี้ ผบช.ก. พร้อมกับ พล.ต.ต.โกวิทย์ โดยให้ไปประจำอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) แบบ “ฟ้าผ่า” ท่ามกลางความสับสนงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น

พล.ต.อ.สมยศให้เหตุผลในการย้ายในครั้งนั้นว่า “มีงานสำคัญที่ต้องมอบหมายให้ทั้งสองท่านไปปฏิบัติ เนื่องจากทั้งสองท่านถือว่ามีความรู้ความสามารถ ส่วนการมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ(ถาวรศิริ) มาทำหน้าที่ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางนั้น ก็เป็นไปตามระเบียบการบริหารจัดการเพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพเท่านั้น”

แน่นอน การถูกโยกย้ายดังกล่าวตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

ทว่า สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป

จากนั้นปมปริศนาซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่ออีกไม่กี่วันถัดมาคือวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 พล.ต.ต.ชัยทัต บุญขำ ผู้บังคับการกองปราบปราม พร้อมด้วย“คนรู้ใจ” ของเดอะกิ๊กอย่าง “ผู้กำกับอั้ม” พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 ป. ถูกย้ายเข้ากรุไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะสำหรับ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์นั้น วงการตำรวจรู้ดีว่าเขาคือสายตรงของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์

ไม่เพียงเท่านั้น เพราะหลังจากถูกย้ายไม่ถึงสัปดาห์ก็เกิดข่าวสะท้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อปรากฏว่า พ.ต.อ.อัครวุฒิ์เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาโดยตกจากอาคารสูงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 และญาติตัดสินใจเผาศพอย่างปัจจุบันทันด่วน

ฟ้าผ่าครั้งที่ 2 ถูกออกหมายจับ แอบอ้างเบื้องสูงแสวงหาประโยชน์

ในที่สุดปมปริศนาก็เริ่มคลี่คลายให้เห็นที่มาและที่ไปชัดเจนขึ้น เมื่อในอีก 2 วันถัดมาคือ วันที่ 22 พฤศจิกายน ศาลอาญาก็ได้อนุมัติหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พล.ต.ต.โกวิทย์ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์และพวกรวม 12 คน ด้วยข้อหาฉกาจฉกรรจ์

การเสียชีวิตของ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์จึงกลายเป็นเรื่องเดียวกับการย้ายและการออกหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ไปโดยปริยาย เนื่องเพราะคำร้องขอฝากขังระบุชัดเจนว่า พวกเขาคือ “แก๊งเดียวกัน” โดยแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงกระทำความผิดในข้อหาค้าน้ำมันเถื่อน ซื้อขายเก้าอี้ รับส่วยเพื่อเปิดบ่อนการพนันและ ฟอกเงิน

พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ที่เป็นคนรู้ใจและเป็นมือไม้ในการทำมาหากินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ในทุกเรื่องเสียชีวิต และในเวลาต่อมาพนักงานสอบสวนให้ข้อมูลยืนยันว่า พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ฆ่าตัวตาย

พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ถูกออกหมายจับ ถูกสั่งให้ออกราชการไว้ก่อน ถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงและถูกส่งตัวไปฝากขัง ณ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ใครจะไปเชื่อว่า พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์จะมีวันนี้

แต่ความจริงก็คือความจริง

พล.ต.พงศ์พัฒน์และ พล.ต.โกวิทย์ถูกแจ้งข้อหาเดียวกันคือ ทำความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใด มอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง หรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, จัดให้เล่นการพนัน (ถั่วครอบ) พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 (1) และความผิดฐาน ฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (5), (9) มาตรา 5 (1), (2) และมาตรา 60

พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ ถูกออกหมายจับ และ แจ้งข้อหาทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ,มาตรา 149, มาตรา 157 และความผิดฐานตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ มาตรา 3 (5), (9) มาตรา 5 (1), (2) และมาตรา 60 ส่วน พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีต ผกก.4 ป. มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, มาตรา 149 และมาตรา 157

พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล ผิดฐานร่วมกันบุกรุก ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าหรือทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันปลูกสร้างฝาย ล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ และใต้น้ำ ของแม่น้ำ ลำคลองบึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ที่ ประชาชนใช้ร่วมกัน ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 55, 72 ตรี และพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 117

ส่วนสองนายดาบตำรวจซึ่งเป็นคนขับรถ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพล.ต.ต.โกวิทย์คือ ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงาและ ด.ต.ฉัตรินทร์หรือจักรินทร์ เหล่าทอง ถูกออกหมายจับและตั้งข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, มาตรา 149, มาตรา 157

นอกจากข้าราชการตำรวจแล้ว คดีนี้ยังมีผู้ต้องหาเป็นพลเรือน 5 คน ประกอบด้วย 1.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ภรรยาของ พ.ต.อ.โกวิท 2.นายสวงค์ มุ่งเที่ยง 3.นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช 4.นางปิยพรรณ ชินนะประภา และ 5.นายชอบ ชินนะประภา

นางสวงค์ มุ่งเที่ยง ผิดฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 19 และ 47 ขณะที่นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช ฐาน ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 19 และ 47

นางสุดาทิพย์ผิดฐานร่วมกันบุกรุก ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าหรือทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันปลูกสร้างฝาย ล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ และใต้น้ำ ของแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 และพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 117

นายชอบ ชินนะประภา และนางปิยพรรณ ชินนะประภา มีความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน

แน่นอน เชื่อว่า สิ่งที่ทุกคนอยากรู้ก็คือ ผู้ต้องหาทั้งหมดมีความเกี่ยวพันกันอย่างไร

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 พล.ต.อ.สมยศและคณะได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเกี่ยวกับคดีดังกล่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมกับแผนผังเครือข่ายแสดงเส้นสนกลในการทำมาหากินของ “เดอะกิ๊กแอนด์เดอะแก๊ง” เอาไว้โดยสรุปได้ดังนี้คือ

พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์แสดงตัวเสมือนเป็นสัญลักษณ์สถาบันเพื่อหวังผลประโยชน์ร่วมกัน โดยวางแผนกับ พล.ต.ต.โกวิทย์ที่มีพฤติกรมเรียกร้องเงินหรือทรัพย์สิน เปิดบ่อน แอบอ้างเบื้องสูง โดยมี พล.ต.ต.บุญสืบ เรียกรับเงินจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อน เก็บรวบรวมส่วยรายเดือนให้ พล.ต.ต.โกวิทย์ เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.วุฒิชาติ ที่เรียกรับเงิน หรือทรัพย์สิน เก็บรวบรวมส่งส่วยรายเดือนที่พล.ต.ต.โกวิทย์

ขณะที่ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หรืออั้ม เรียกร้องเงินหรือทรัพย์สิน และรวบรวมเงินที่ได้จากการซื้อตำแหน่ง ส่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มี ด.ต.สุรศักดิ์ เรียกร้องเงินหรือทรัพย์สินส่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ส่วน ด.ต.จักรินทร์ เหล่าทอง ซึ่งทำหน้าที่พลขับให้พล.ต.ต.โกวิทย์ ก็เรียกร้องเงินหรือทรัพย์สิน เก็บรวบรวม ส่งส่วยรายเดือน ให้ พล.ต.ต.โกวิทย์ โดยมีนางปิยพรรณ และนายชอบ ชินนะประภา เป็นนอมินีถือทรัพย์สินแทนพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์

หลายคนอาจสงสัยว่า นางปิยพรรณและนายชอบคือใคร ทำไมถึงได้ไปเป็นนอมินีถือทรัพย์สินแทน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์

โปรดฟังอีกครั้ง “นางปิยพรรณและนายชอบ” นั้น มิใช่ใครอื่นไกล หากแต่เป็น “น้องเขย” และ “น้องสาว” ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์

ฟ้าผ่าครั้งที่ 3 บุกยึดทรัพย์มูลค่าหลายพันล้าน

ที่น่าสนใจก็คือ ในวันเดียวกับการออกหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวก ตลอดรวมถึงในวันถัดๆ มา ข้อมูลเกี่ยวกับความร่ำรวยผิดปกติก็ถูก เผยแพร่ออกมาอย่างไม่ขาดสาย

พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รองผู้บังคับการกองปราบปราม รักษาราชการแทน ผบก.ป. ในฐานะหัวหน้าชุดในการนำค้นและตรวจยึดพยานหลักฐานทั้งหมด เปิดเผยรายละเอียดว่า จากการตรวจค้นทั้งหมดมี 15 จุด เป็นของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ 11 จุด พล.ต.ต.โกวิทย์ 1 จุด พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ 1 จุด และที่เหลือเป็นของเครือข่าย โดยในส่วนของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ 11 จุดประกอบด้วย 1. บ้านเลขที่ 28/511 ถนนแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 34 ถนนบางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สถาบันกิจการตำรวจสมัยใหม่ 4 ชั้น) 2. บ้านเลขที่ 28/164 ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 34 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 3. บ้านเลขที่ 26/1 และ26/2 ตำบลปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 4. บ้านเลขที่ 59/18 ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 36 ตำบลคลองเกลือ อ.ปากเกร็ด 5. ร้านสวงค์ เลขที่ 16/5 และโกดังเลขที่ 16/21 หมู่2 ถนนแจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด 6. บ้านเลขที่ 30/3หมู่14 ตำบลบางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 7. บ้านเลขที่ 28/311 หมู่บ้านสวัสดิการทหารบก ซอย5/1 หมู่4 ถนนแจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด 8. บ้านเลขที่ 172 ถนนบอนด์สตรีท ต.บางพูด อ.บางเกร็ด 9. อาคารกำลังก่อสร้าง ตั้งอยู่ใกล้บ้านเลขที่ 28/511 ถนนแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 34 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด 10. บ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 6 ต.บางพูด อ.เมือง จ.ปทุมธานี และ 11. กรีนพอยท์ คอนโด ชั้นล่างห้อง 62 แขวงและเขตประชาชื่น กทม.

ทั้งนี้ ในการตรวจค้นมีการตรวจยึดทรัพย์สิ่งของจำนวนมาก พบลักษณะตู้เซฟมีการซุกซ่อนไว้อย่างดี ตู้เซฟมีการฝังดิน ปิดบังอำพรางตู้เซฟไว้ที่บ้านซึ่งยังก่อสร้างไม่เสร็จ มีการพรางให้เห็นว่าจุดนั้นไม่น่าสนใจ ทางเจ้าหน้าที่ต้องใช้อุปกรณ์เปิดเพื่อให้เห็นทรัพย์สินต่างๆ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล มีการฝังใต้พื้นบ้าน พื้นซีเมนต์ ติดตั้งเซฟ โบกปูนทับ มีตู้นิรภัย ห้องนิรภัยติดตั้งลูกกรงเหล็กไว้อย่างดีเพื่อไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น ที่อาคารสถาบันตำรวจสมัยใหม่ มีการทำห้องนิรภัยประตูเหล็กแน่นหนา บางจุดต้องใช้รถแบ็กโฮขุดทำลายเพื่อเปิดเซฟ ตู้นิรภัยที่เก็บไว้ในบ้านบางหลัง อำพรางในตู้ไม้ธรรมดา

สำหรับทรัพย์สินที่ตรวจพบมีวัตถุโบราณหายากล้ำค่าจำนวนมาก เช่น
พระเครื่อง พระพุทธรูปบูชา ภาพเขียนหายาก พบทั้งเงินสดธนบัตรไทยและต่างประเทศ แสตมป์ทองคำหายากมูลค่าราคาสูงมาก มีเพียงไม่กี่ชิ้นในประเทศไทย งาช้าง ฯลฯ ไม่นับรวมเครื่องเพชร พลอย เครื่องประดับ รวมทั้งเครื่องเงิน เครื่องลายคราม เฟอร์นิเจอร์มุก และยานพาหนะราคาแพง

“พล.ต.ต.โกวิทย์ เปรียบเสมือนขุนพลคู่ใจของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ได้ตรวจค้น 1 จุด ที่เพนต์เฮาส์แห่งหนึ่งย่านถนนมหาดเล็กหลวง เปิดตู้เซฟพบพระเครื่องมูลค่ามหาศาล นอกจากนี้ยังมีรถหรูอีกหลายคัน ส่วนการค้นบ้าน พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ ที่เปรียบเสมือนมือขวา เป็นกุนซือของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง การวางตำแหน่งต่างๆ หรือการออกความเห็นในเรื่องของแผนการต่างๆ เป็นเหมือนเสนาธิการคู่กาย ได้ค้นพบทรัพย์สินจำนวนมากทั้งทองรูปพรรณ พระเครื่อง เครื่องเพชร โฉนดที่ดิน รถยนต์ และจักรยานยนต์ราคาสูง เช่น ยี่ห้อฮาร์เลย์, ดูคาติ รวมมูลค่าจำนวนมาก” รรท.ผบก.ป.เปิดเผยรายละเอียด

ย้ำกันอีกครั้งว่า นี่คือความร่ำรวยของ “เดอะกิ๊กแอนด์เดอะแก๊ง” ที่แอบอ้างเบื้องสูงไปแสวงหาผลประโยชน์ในทุกรูปแบบ

ฟ้าผ่าครั้งที่ 4 จับ 3 อัครพงศ์ปรีชา

แต่ที่น่าสะท้านสะเทือนเสียยิ่งกว่าคือการออกหมายจับ “พลเรือน” รอบ 2 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งมีทั้งหมด 5 คนด้วยกันคือ 1. นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา 2. นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา 3. นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา 4. นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ 5.นายชากานต์ ภาคภูมิ

ทั้งนี้ ศาลได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธโดยร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์ เหตุเกิดในเขตรับผิดชอบของ สน.พระโขนง

“กลุ่มคนพวกนี้มีการแอบอ้างสถาบันฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทุกๆ ด้าน ซึ่งคดีนี้ตำรวจคงจะมีการขอออกหมายจับเรื่อยๆ ไม่สามารถเร่งได้ หากพยานหลักฐานเกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยงไปถึงใครก็ต้องดำเนินการ ทุกอย่างว่ากันตามพยานหลักฐาน เป็นไปตามข้อเท็จจริง และยังตอบไม่ได้ว่ามีจำนวนกี่คน เพราะในการสอบสวน การจะออกหมายจับใครต้องมีพยานหลักฐานรองรับ”พล.ต.อ.สมยศให้ข้อมูล

ทันทีที่รายชื่อปรากฏ ความสนใจก็พุ่งไปที่ “นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา” ก่อนเป็นลำดับแรก เพราะคนๆ นี้เป็นคนเดียวกับ “ว่าที่ พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา” ที่ราชกิจจานุเบกษาเพิ่งลงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องในโอกาส พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2557 ให้แก่นายทหารสัญญาบัตร และนายทหารประทวน หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ จำนวน 14 ราย โดยหนึ่งในนั้นเป็นว่าที่พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ซึ่งได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น ตริตาภรณ์มงกุฎไทย

ราชกิจจานุเบกษาได้ลงประกาศเรื่องนี้ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 หรือก่อนหน้าที่จะถูกออกหมายจับและเป็นผู้ต้องหาร่วมแก๊ง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์เพียงแค่ 1 วันเท่านั้น

และภายหลังจากถูกออกหมายจับ ก็ได้รับการยืนยันในเวลาต่อมาว่า ได้ถอดยศว่าที่ พ.ต.ณัฐพลและให้พ้นจากราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนายณัฐพงศ์แล้ว ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้คือ งานนี้มี “พี่น้องอัครพงศ์ปรีชา” ถูกออกหมายจับรวม 3 คนด้วยกัน

ไม่เพียงเท่านั้น ในวันเดียวกันนั้นเอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.ท.สมยศได้มีคำสั่งที่ 643/2557 เรื่องให้ข้าราชการไปปฏิบัติราชการ โดยโยก พล.ต.ต.ชัยทัต บุญขำ ผู้บังคับการกองปราบปรามที่เคยถูกย้ายไปประจำที่ ศปก.ตร.เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 ให้ไปปฏิบัติราชการที่ “สำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ”

งานนี้มิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า พล.ต.ต.ชัยทัตถูกกันไว้เป็นพยาน

อย่างไรก็ตาม เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ขบวนการแอบอ้างเบื้องสูงที่มีความใหญ่โตแก๊งนี้ไม่ได้มีผู้ร่วมขบวนการเพียงแค่ที่ปรากฏเท่านั้น หากแต่จะต้องมีผู้ร่วมขบวนการอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ดำรงตำแหน่งในพื้นที่ต่างๆ ขณะที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์เป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางนับแต่ปี 2553-ปัจจุบัน

ไม่ว่าจะเป็นคดีค้าน้ำมันเถื่อน และคดีบ่อนพระราม 9

ดังนั้น พล.ต.อ.สมยศในฐานะหัวเรือใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องลากคอแก๊งชั่วเหล่านี้ออกมารับโทษทัณฑ์ให้หมด

ใครคือผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ใครคือผู้บังคับการตำรวจน้ำใน ขณะที่เดอะกิ๊กแอนด์เดอะแก๊งทำความผิดในคดีค้าน้ำมันเถื่อน

ในคดีบ่อนพระราม 9 ใครคือผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะเจ้าของพื้นที่ขณะเกิดเรื่อง ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลในช่วงที่มีการเปิดบ่อนปรากฏชื่อ “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

…ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า คดีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์นับเป็นอุทธาหรณ์ ซึ่งบรรดาผู้มีอำนาจในทุกวงการที่มัก “แอบอ้างเบื้องสูง” ต้องพึงตระหนักไว้ เพราะไม่ว่าผู้มีอำนาจคนนั้นจะเป็นใคร ใหญ่โตแค่ไหน ก็ไม่อาจปกปิดและหนีพ้นความผิดที่ได้กระทำไว้

ไม่เช่นนั้นสุดท้ายปลายทางชีวิตก็จะจบลงเฉกเช่นเดียวกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวก






กำลังโหลดความคิดเห็น