xs
xsm
sm
md
lg

ฉากสุดท้ายของการปรองดอง

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ตอนนี้คนเสื้อแดงที่ทักษิณสั่งให้นิ่งให้ร่วมมือกับคสช.ก็เริ่มมีคนออกมาตั้งคำถามแล้วว่าหรือนี่เป็นซูเปอร์ดีลของทักษิณกับทหาร

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ นักวิชาการเสื้อแดงโพสต์เฟซบุ๊กของเขาว่า ตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยรู้ตัวล่วงหน้ามานานพอสมควรแล้วว่า จะมีรัฐประหาร และแนวทางของเขาคือ จะไม่ขัดขืน แต่จะหาทางต่อรองให้ตนเองเสียหายน้อยที่สุด เขาจึงปล่อยให้สถานการณ์ความวุ่นวายไหลไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คิดสู้เลย ยอมยุบสภาโดยดี ไม่ปกป้องตำรวจ ไม่ปะทะกับม็อบ กปปส. ไม่ปกป้องการเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 และยิ่งลักษณ์ไม่ขัดขืน ป.ป.ช.และศาลรธน.จนถูกถอดถอน

แล้วก็สำเร็จเป็น “ซูเปอร์ดีลรอบสอง” (รอบแรกคือ “เหมาเข่ง”) คือ รัฐประหาร 22 พ.ค.57 ที่ตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยนอกจากจะไม่ต่อต้านแล้ว ก็ยัง “คุมเสื้อแดงให้อยู่นิ่งๆ” และลอยแพกลุ่มที่ทหารเชื่อว่า เป็น “พวกล้มเจ้า” ขณะที่ฝ่ายทหารก็ “ไม่ทำอะไร” ตระกูลชินวัตร ไม่มีจับกุม ไม่มี คตส. ไม่มีอายัดทรัพย์

ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายรักษา “ดีล” ไว้ได้ดีพอสมควร ทักษิณย้ำตรงๆ หลายครั้ง “ขอเสื้อแดงให้ความร่วมมือกับ คสช.” ตระกูลชินวัตร พรรคเพื่อไทยและเสื้อแดงในสังกัดแทบไม่มีความเสียหายเลย พวกที่ถูกหาว่า “ล้มเจ้า” ถูกกดดันอย่างหนัก ถ้าไม่โดน ม. 112 หรือคดีอื่นๆ จนติดคุก ก็ต้องหลบหนีไปต่างประเทศ ขณะที่ฝ่ายทหารก็ “ปล่อย” ตระกูลชินวัตร แล้วยังเตะถ่วงความพยายามภายใน สนช.ที่จะเล่นงานยิ่งลักษณ์และนักการเมืองพรรคเพื่อไทย รวมทั้งทหารก็วางตัว “ไม่ยุ่งเกี่ยว” กับองค์กรอิสระของ “ป๋า” ที่พยายามจะเล่นงานยิ่งลักษณ์ในคดีต่างๆ ให้ได้

“ฝันหวาน” ของตระกูลชินวัตรก็คือ “รอเวลา” อย่างที่ทักษิณบอกไว้ชัด รอ “ฟ้าเปลี่ยนสี พระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็พระอาทิตย์ตก แล้วก็พระอาทิตย์ขึ้นอีก ฯลฯ” หลังจากนั้น ก็จะมีการนิรโทษกรรม “เหมาเข่ง” อีกรอบ (ซึ่งทักษิณเชื่อว่า ถึงเวลานั้น ก็แทบจะไม่มีใครออกมาต่อต้านแล้ว) มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ซึ่งจะ “หัวคูณ” สักแค่ไหน ก็รับได้ ค่อยไปแก้ไขกันทีหลัง) แล้วก็มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็จะลงเลือกตั้ง ชนะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง

และนี่ก็เป็น “ฝันหวานของเสื้อแดงที่เหนียวแน่นกับพรรคเพื่อไทย” จำนวนมากด้วย

ผมเชื่อว่า “ฝันหวาน” ทั้งหมดนี้ จะกลายเป็นแค่ “ฝันเปียก” ของพวกเขาในที่สุด แต่จะเป็น “ฝันร้าย” ของประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย

นั่นเป็นความเห็นของพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ซึ่งเป็นนักวิชาการฝั่งเสื้อแดงนะครับ ไม่ใช่ความเห็นจากฝั่งตรงข้ามทักษิณ

แต่ “ดีล” ในความเห็นของพิชิตก็มีความจริงเจือปนอยู่มาก เราจึงเห็นท่าทีของ สนช.สายทหารแสดงท่าทีชัดเจนว่า จะไม่จัดการกับยิ่งลักษณ์และผู้ถูกถอดถอนคนอื่น ผมว่า ถึงเวลาจริงๆ แล้วถ้าเขาไม่กล้าฝืนกระแสตรงๆ เขาก็จะแสร้งเป็นนำเรื่องเข้าไปโหวตในสภาฯ แล้วทำให้เสียงไม่ถึง 3 ใน 5 โดยบอกว่า ให้อิสระ สนช.ในการลงมติ ทั้งๆ ที่รู้ๆ กันอยู่ว่า สนช.นั่นเป็นสภาฝักถั่วที่ คสช.สามารถสั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้อยู่แล้ว

ข้อสงสัยเรื่อง “ดีล” ไม่ใช่เกิดขึ้นกับนักวิชาการเสื้อแดงเท่านั้น เมื่อไม่กี่วันมานี้เรายังได้ยินคนระดับอานันท์ ปันยารชุน ออกมาพูดว่า “มีการพูดกันต่างๆ นานาว่า มีการตกลงกันนอกรอบ ผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่า ถ้ายังสนใจทำเรื่องการปรองดอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องแยกให้ถูก การปรองดองเรื่องหนึ่ง การเอาผิดลงโทษเรื่องหนึ่ง”

ก็ต้องคอยดูผลลัพธ์เรื่องการถอดถอนในสภา สนช.ต่อไป แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง นั่นแหละจะเป็นการตอกย้ำเรื่องซูเปอร์ดีลระหว่างทักษิณกับทหาร และจะทำให้เราย้อนนึกไปถึงคลิปถั่งเช่าอันลือลั่นอีกครั้ง

ต้องเข้าใจนะว่าความจริงคลิปถั่งเช่าเป็นการพูดกันภายในระหว่างคนสองคน แต่ถูกธรรมะจัดสรรให้เปิดเผยออกมาภายนอก มีการพูดถึงเรื่องนิรโทษกรรมที่จะลัดขั้นตอนเอาเข้าสภากลาโหมก่อนออกเป็น พ.ร.ก. และมีการพูดว่า ไว้ใจ ไว้ใจ…มาก

เรื่องนิรโทษกรรมซึ่งเป็นดีลแรกก็พยายามทำกันออกมาแล้ว แต่เพราะย่ามใจกันเกินไป เพราะเชื่อว่า ทุกฝ่ายหนุนหลังไม่มีปัญหา มวลชนฝ่ายตรงข้ามไร้พลัง จึงเดินหน้าแบบสุดซอย จนฝืนมโนธรรมปลุกให้ประชาชนออกมาต่อต้านทั้งเมือง กลายเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย จนสุดท้ายจบลงด้วยการรัฐประหาร

ทฤษฎีเรื่อง “ซูเปอร์ดีล” ระหว่างฝ่ายทักษิณกับทหารตามความเชื่อของนักวิชาการเสื้อแดง จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไปแล้วตอนนั้น ทักษิณก็รู้ดีว่า กลไกของรัฐบาลเดินหน้าไปไม่ได้แล้ว และเมื่อมารวมกับการที่รัฐประหารครั้งนี้ไม่ได้มุ่งที่จะจัดการที่ตัวรัฐบาลจากฝ่าย คสช.เลย รวมถึงการอธิบายผ่านคำปรารภของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ว่า ทหารออกมาเพราะเกิดการปะทะกันของประชาชนทั้งสองฝ่าย ไม่ได้แสดงท่าทีออกมาว่า สนับสนุนฝ่ายไหน และไม่ได้พูดถึงความผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์โดยเฉพาะเรื่องทุจริตคอร์รัปชันเลย

คำถามว่า แม้กระทั่งนักวิชาการเสื้อแดงยังเชื่อเรื่อง “ดีล” ระหว่างทักษิณกับทหารแล้ว ทำไมมวลชนฝั่งตรงข้ามจึงไม่มีความคิดเรื่องนี้เลย แถมมวลชนส่วนใหญ่ยังเป็นกองเชียร์ของ คสช.ด้วยซ้ำไป

หากมองย้อนไปก่อนการรัฐประหารไม่เพียงแต่กลไกของรัฐบาลเดินไปไม่ได้แล้วว่า ตามความเป็นจริงการชุมนุมภายใต้การนำของกำนันสุเทพมาถึงทางตัน แถมมวลชนก็หร่อยหรอลงเมื่อเทียบกับช่วงแรกที่ยังมีชนวนเรื่องการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยที่ทำให้สังคมทั้งสังคมลุกฮือ

แถมตอนนั้นประชาชนที่ออกมาชุมนุมจำนวนมากล้มตายและบาดเจ็บ เพราะรัฐบาลปล่อยให้คนร้ายเอาอาวุธสงครามมายิงโดยไม่มีท่าทีว่าจะได้รับการป้องกันจากหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะตำรวจที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยของประชาชน จนกระทั่งตอนหลังทหารต้องออกมาตั้งบังเกอร์ตามจุดต่างๆ แต่ก็ยังมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น

ปรากฏการณ์แวดล้อมเหล่านี้ทำให้เชื่อว่าทหารอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาล และกำนันสุเทพก็แสดงท่าทีออกมาให้มวลชนเชื่อเช่นนั้น พอทหารออกมายึดอำนาจทำให้คนส่วนหนึ่งมองไม่ออกว่าจริงๆ แล้วทหารออกมาสนับสนุนฝ่ายไหนกันแน่ แต่มวลมหาประชาชนที่ออกมาชุมนุมก็ล้วนแต่เชื่อไปในทิศทางเดียวกันว่า ทหารออกมาเพื่อล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เป็นสิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง

แม้นักวิชาการเสื้อแดงจะเชื่อว่ามี “ดีล” ระหว่างทักษิณกับทหาร แต่จนถึงขณะนี้กำนันสุเทพก็ยังออกมาการันตีคณะรัฐประหารว่าเป็นพวกเดียวกับฝ่ายตัวเอง และแม้บวชเป็นพระแล้วก็ยังออกมาเรียกร้องให้มวลชนของตัวเองให้ความร่วมมือกับ คสช.ไม่ให้มวลชนออกมาเคลื่อนไหวแม้มวลชนของกำนันสุเทพซึ่งเป็นคนใต้จะได้รับความเดือดร้อนเรื่องยางพาราก็ตาม ท่าทีของกำนันสุเทพไม่ต่างกับที่ทักษิณเรียกร้องคนเสื้อแดงให้ความร่วมมือกับ คสช.เลย

หรือว่า จริงๆ แล้วนี้เป็น “ดีล” ซ้อน “ดีล” โดยมีคำอธิบายไว้แล้วคือทหารไม่ได้เป็นฝ่ายไหนทั้งนั้น นอกจากมีเป้าหมายเพื่อให้บ้านเมืองสงบ

คงต้องรอดูฉากสุดท้ายว่า ปรองดองจะหมายถึงเลิกแล้วกันไป โดยไม่มีคนผิดหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น