ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยังคงทำหน้าที่ “รับใช้นาย” อย่างขมีขมันเหมือนเช่นเคย สำหรับ “เสธ.น้ำเงิน” แห่งเพจ “แฉ...ความลับ” ในการทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงและโฆษณาชวนเชื่อให้กับกองทัพและรัฐบาลทหาร
ยิ่งในยามที่รัฐบาลกำลังถูกตั้งคำถามหลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงสายสัมพันธ์กับขั้วอำนาจเก่าที่ยังคงแนบแน่นโดยมีตัวอย่างให้เห็นชัดจากกรณีการปฏิรูปพลังงานด้วยแล้ว ดูเหมือน เสธ.น้ำเงินจะเกรี้ยวกราดเข้าใส่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ราวกับสุนัขบ้า และไม่นำพาข้อเท็จจริงเลยแม้แต่น้อย
วันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เสธ.น้ำเงินคือเจ้าของ “โรงน้ำแข็งขนาดใหญ่” ที่สามารถ “มโน” และกล่อมมวลชนให้คล้อยตามข้อมูลที่เสธ.น้ำเงินผลิต ออกมา จากโรงงานน้ำแข็งแห่งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แน่นอน ต้องย้ำกันอีกครั้งว่า เสธ.น้ำเงินคือหน่วยปฏิบัติการทางจิตวิทยา ของทหารและหน่วยงานความมั่นคงเพื่อกล่อมคนที่ไม่เอาระบอบทักษิณ โดยตรรกะที่เสธ.คนดังเทิดไว้สูงสุดคือ “คนที่วิพากษ์วิจารณ์ คสช.คือคนของระบอบทักษิณ”
แต่จะอย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เดินทางมาถึงวันที่สังคมเริ่มสับสนกับข้อมูลที่ถูกชำแหละออกมาให้เห็นผ่าน “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนซ่อนเงื่อนของ “ขั้วอำนาจเก่า” และ “ขั้วอำนาจใหม่” จนกลายเป็นที่มาของคำว่า “เหยดดดดดด....พวกเดียวกันนิ” ซึ่งเมื่อผนวกรวมกับพฤติกรรมที่เห็นและเป็นอยู่ของ “นาย” ของ เสธ.น้ำเงินใน หลายต่อหลายเรื่อง ก็มีความจำเป็นและถึงเวลาที่ เสธ.น้ำเงินจะต้องไขข้อข้อง ใจ เหล่านี้เสียที เพราะเชื่อว่า ไม่เกินขีดความสามารถของเสธ.น้ำเงินคนเก่ง
การบ้านที่ เสธ.น้ำเงินต้องแสวงหาคำตอบมีอยู่ 5 ข้อด้วยกัน
การบ้านข้อที่ 1
ไขปริศนาความสัมพันธ์กลุ่มทุนพลังงาน ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลและ นช.ทักษิณ ชินวัตร
การบ้านข้อนี้คือการบ้านข้อสำคัญสำหรับ เสธ.น้ำเงิน เพราะนี่มิใช่เรื่อง โคมลอยที่ปล่อยออกมาจากโรงงานน้ำแข็งของเสธ.น้ำเงิน หากแต่มีข้อมูลจาก แหล่งที่น่าเชื่อคือนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
ข้อมูลของนายธีระชัยและการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมทำให้เห็นสายสัมพันธ์อันล้ำลึกระหว่างอดีต นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร - รัฐบาลขิงแก่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ - นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานบอร์ด ปตท. อดีตรมว.กระทรวงพลังงานสมัยรัฐบาลขิงแก่ - นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) - กลุ่ม ปตท. และเพิร์ลออย
ทั้งนี้ โดยมี กลุ่ม ปตท.และผลประโยชน์จากขุมทรัพย์พลังงานไทยเป็นศูนย์กลางให้ทุกขั้วอำนาจมาบรรจบกัน
“ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” คืออดีต รมว.พลังงานยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และคนๆ นี้คือผู้ที่เสนอให้ ครม.ในขณะนั้นอนุมัติสัมปทานรอบที่ 19 แก่ 3 บริษัท ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บริษัท เพิร์ลออย(ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งชื่อกันว่ามีความเชื่อมโยงกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร
เหตุที่เชื่อมโยงกับ นช.ทักษิณก็เพราะเจ้าของเพิร์ลออยล์คือกลุ่มมูบาดาลา กรุ๊ป ซึ่งก็คือชีคคัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค เป็นซีโอโอและกรรมการผู้จัดการ นั้นมีความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจอย่างใกล้ชิดกับ นช.ทักษิณ
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ การซื้อทีมสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ต่อจาก นช.ทักษิณ และการที่ เพิร์ลออยย้ายสำนักงานจากไทยพาณิชย์ปาร์ค พลาซา ไปอยู่อาคารชินวัตร 3
นอกจากนี้ มูบาดาลา กรุ๊ปยังได้จับมือคริส เอนเนอร์ยี บริษัทลูกของเทมาเส็ก ซึ่งเข้ามาซื้อหุ้นชินคอร์ปมูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท พัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ในอ่าวไทยจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในเวลาต่อมาอีกด้วย
กล่าวสำหรับ “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” ต้องไม่ลืมด้วยว่ายังเป็นอดีตแกนนำคนสำคัญของ กปปส.ที่มี “หลวงลุงกำนัน” เป็นผู้นำสูงสุด โดยมีบทบาทในเวทีปฏิรูปพลังงานของกลุ่ม กปปส.ในขณะที่มีการชุมนุม
และสุดท้าย “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” คืออดีต แกนนำ กปปส.ที่ได้รับเลือกจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้เป็นประธานบอร์ด ปตท.
ขณะที่หลวงลุงกำนันที่กำลังเมามันกับเดินสายปกป้องรัฐบาลในทุกรูปแบบนั้น ก็ต้องไม่ลืมว่ามีความใกล้ชิดกับ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” มาเป็นทุนเดิมอยู่ก่อหน้านี้ ทั้งในการจัดตั้งรัฐบาลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจรจาลับเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เวลานั้น คนหนึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ส่วนเวลานี้ คนหนึ่งตัดสินใจบวชหลังมีการรัฐประหาร ขณะที่อีกคนนั่งเก้าอี้เป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
นี่คือความจริงอันน่าเจ็บปวด
เสธ.น้ำเงินจะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนพลังงานที่เชื่อมโยง ระหว่างรัฐบาล คสช.หลวงลุงกำนันและนช.ทักษิณอย่างไร?
การบ้านข้อที่ 2
คลิปถั่งเช่าเปิดสายสัมพันธ์ “แม้ว-ทหารถั่งเช่า”
การบ้านข้อนี้เป็นการบ้านข้อที่สำคัญยิ่งไม่แพ้การบ้านข้อแรกสำหรับ เสธ.น้ำเงินผู้มีองค์ความรู้กว้างขว้างและมีเครือข่ายการแสวงหาข้อมูลเป็นตา สับปะรด
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ขณะที่ปรากฏ “คลิปถั่งเช่า” ออกมาเปลือยตัวตนของขุนทหารชั้นผู้ใหญ่อย่างหมดเปลือกกับวาทะเด็ด “ผมไว้ใจไอ้ตู่มาก” ที่ยังคงความเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้
สาระสำคัญประการหนึ่งที่สังคมได้รับรู้และเชื่อว่ายังคงไม่ลืมกันผ่านการสนทนาระหว่าง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” กับ “บิ๊กอ๊อด-พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” อดีต รมช.กลาโหม ก็คือ แนวความคิดเรื่อง “การนิรโทษกรรม”
หากยังจำกันได้ เวลานั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทยกำลังเร่งผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม แต่สิ่งที่มหัศจรรย์พันลึกจนสังคมคาดไม่ถึงว่าจะมีแนวคิดเช่นนี้ผ่านคลิปถั่งเช่าออกมาได้ ก็คือการเสนอให้มีการนิรโทษกรรมผ่าน “สภากลาโหม” และ “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” ในรูปของพระราชกำหนดเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ โดยให้เหตุผลในเรื่องของความมั่นคง
ทว่า สุดท้ายการนิรโทษกรรมช่องทางพิเศษแบบ “หน้าด้านๆ” ก็ตกไปหลังปรากฏคลิปถั่งเช่า ขณะที่การผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมที่ลักหลับกระทำก็มีอันเป็นไปในทำนองเดียวกันหลังการลุกฮือของภาคประชาชน
แต่กระนั้นก็ดีดูเหมือนความพยายามในข้อนี้จะยังไม่หมดไป และมีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินการในรูปลักษณ์ใหม่ ซึ่งก็ต้องจับตาต่อไปว่า สุดท้ายจะเป็นปรากฏการณ์ถั่งเช่าในภาคต่อหรือไม่
เที่ยวนี้ เป้าหมายสูงสุดมิได้อยู่ที่ นช.หนีคดีทักษิณ ชินวัตร หากแต่เป็นตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังทุกข์หนักกับความผิดในคดีทุจริตการรับจำนำข้าว ขณะที่ตัวองค์กรที่รับหน้าเสื่อดำเนินการให้เปลี่ยนจากสภากลาโหมและสภาความมั่นคงแห่งชาติมาเป็น “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะนี้คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวกำลังถูกตัดตอนให้มีผู้เกี่ยวข้องน้อยที่สุด และยังคงไม่มีความคืบหน้าของคดีให้เห็นเด่นชัดแม้เวลาจะล่วงเลยมาพอสมควรแล้วก็ตาม
กล่าวสำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์ที่ ป.ป.ช.มีมติถอดถอนในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าวและขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช. เป็นที่ชัดเจนมาตั้งแต่ต้นแล้วว่ามี “การยื้อ” เกิดขึ้นนับตั้งแต่เริ่มต้นการพิจารณาบรรจุวาระถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณาของสนช.
ฉับพลันทันทีที่ทีมทนายความของอดีตนายกฯ นกแก้วเล่นเกมยื้อด้วยเทคนิคข้อกฎหมาย โดยอ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้ศึกษารายละเอียดของสำนวนที่ป.ป.ช. เพิ่งส่งมาถึง คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) ก็รับลูกในทันที และแถลงในเวลาต่อมาว่า วิป สนช.มีมติเลื่อนการพิจารณาออกไปเป็นวันที่ 28 พ.ย. 2557
เหตุที่ต้องยอมเลื่อน เหตุที่มีปัญหาเกิดจาก สนช.เอง เพราะเมื่อย้อนดูกระบวนการถอดถอนจาก ป.ป.ช. มาถึงมือของประธาน สนช. คือ วันที่ 14 ต.ค. 2557 แต่กว่าประธาน สนช.จะแจกจ่ายเอกสารให้สมาชิก สนช.และผู้ถูกกล่าวหา ก็ปาเข้าไปถึงวันที่ 27 ต.ค. 2557 และนัดประชุมพิจารณานัดแรกในวันที่ 12 พ.ย. 2557 ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา
กลายเป็นว่า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.คือผู้ที่ทอดเวลาออกไปถึง 13 วัน ก่อนที่จะแจกจ่ายเอกสารให้สมาชิก สนช. จนเกิดการโต้แย้ง
นี่ไม่ใช่ข้อกล่าวหาที่เกินเลย เพราะก่อนหน้านี้เกิดข้อสงสัยในคดีถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภาถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญปมที่มา ส.ว. โดยมิชอบ มาแล้ว ทั้งกรณีที่ สนช.สายทหารเดินสายล็อบบี้เพื่อไม่ให้รับถอดถอน แถมผลการลงมติของ สนช.ที่ออกมาก็สามารถพยากรณ์จุดจบของเรื่องได้อย่างไม่ยากนัก
ดังนั้น คดีถอดนางสาวยิ่งลักษณ์ก็น่าจะมีจุดจบไม่แพ้กัน เพราะต้องใช้คะแนนเสียงของ สนช.ถึง 3 ใน 5 ซึ่งสุดท้ายถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนั้นก็หมายความว่า สนช.ซึ่งก็คือสายตรงของ คสช. ฟอกความผิดให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ไปโดยปริยาย
จะด้วยข้อติดขัดในเรื่องกฎหมายหรือเจตนาช่วยหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่สามารถลบล้างความจริงที่ปรากฏได้ ยิ่งถ้าผลการลงมติออกมาว่า สนช.สายทหารไม่เห็นด้วยกับการถอดถอนด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า งานนี้ อาจเป็นถั่งเช่าภาคต่อก็เป็นได้
เสธ.น้ำเงินจะอธิบายปรากฏการณ์/ความเป็นจริงที่เห็นและเป็นอยู่ อย่างไร
การบ้านข้อที่ 3
รัฐประหารซ่อนเงื่อน
การบ้านข้อนี้ มีความชัดเจนในตัวเองมาตั้งแต่เริ่มต้นเพราะเหตุผลสำคัญในการทำรัฐประหารก็คือ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และเมื่อเวลาผ่านไป เหตุผลในข้อนี้ก็เด่นชัดในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
เสธ.น้ำเงินเห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
ถ้าเห็นด้วยก็คงต้องแสวงหาคำตอบว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
หรือเสธ.น้ำเงินรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น
หลังการรัฐประหาร มีความชัดเจนว่า “ปรองดอง” คือคาถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์เหนือคาถาอื่นใด กระทั่งมีการตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปขึ้น
ถ้ายังไม่ลืม เชื่อว่าคงยังจำภาพการเชิญแกนนำ กปปส.และแกนนำเสื้อแดงมาขึ้นเวทีพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงได้เป็นอย่างดี
และหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้ในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดเลย จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น
นอกจากไม่มีการกวาดล้างและขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณแล้ว ยังห้ามสื่อวิพากษ์วิจารณ์นักโทษชายหนีคดีทักษิณอีกต่างหาก โดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดความปรองดอง
กระบวนการทุกอย่างที่เกิดขึ้นดำเนินไปตามโรดแมปที่วางไว้ และประกาศออกมาชัดเจนว่า มีเวลาในการทำงานเพียงแค่ 1ปี ซึ่งจุดหมายปลายทางของโรดแมปก็คือเคลียร์ปัญหาทุกอย่างเพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง
ขณะเดียวกันการที่มีข้อมูลปรากฏเรื่อง “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ส่งคนไปเจรจาความเมืองกับนายใหญ่คนเสื้อแดงที่จีนเพื่อขอให้เว้นวรรคทางการเมือง 2 สมัยแลกกับการดำเนินคดีกับโคลนนิ่งผู้น้องที่มีชนักติดหลังในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และกระแสข่าวนี้มิได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงอันเลื่อนลอย หากแต่สื่อมวลชนหลายสำนักและหลายแขนงต่างนำเสนอไปในท่วงทำนองเดียวกัน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมการรัฐประหารครั้งนี้ คนเสื้อแดงถึงไม่มีปฏิกิริยาสักเท่าใด แกนนำคนเสื้อแดงและแกนนำพรรคเพื่อไทยถึงไม่เคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน
จริงหรือไม่ที่การรัฐประหารคือการคลี่เงื่อนปมความขัดแย้งและแสวงหาทางออกในทางการเมืองให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้แกนนำคนเสื้อแดงสามารถตอบคำถามมวลชนได้ เพราะพวกเขามิได้พ่ายแพ้ต่อ กปปส.ของหลวงลุงกำนัน
นี่คือการบ้านที่ เสธ.น้ำเงินต้องแสวงหาคำตอบ
การบ้านข้อที่ 4
ตัดตอนคดีอาวุธสงคราม-จาบจ้วงสถาบัน
การบ้านข้อนี้ เป็นการบ้านที่สามารถใช้คำว่า “มีความคืบหน้าน้อยที่สุด” ทั้งเรื่องการจับกุมคดีใช้อาวุธสงครามและคดีจาบจ้วงสถาบัน
สำหรับคดีใช้อาวุธสงคราม หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถูกวางตัวให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ได้สร้างผลงานในเรื่องมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งในที่สุดก็สามารถก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งแห่งกรมปทุมวันสมความตั้งใจของ “บิ๊กป๊อด” ที่ออกแรงผลักดันเต็มอัตราศึก
13 กรกฎาคม 2557 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อนุมัติหมายจับ 7 ผู้ต้องหา ประกอบด้วย นายทวีชัย วิชาคำ นายสุนทร ผิผ่วนนอก นายสุขสันต์ ล้อมวงศ์ นายสมศรี มาฤทธิ์ นายชัชวาล ปราบบำรุง นางกรรณิการ์ วงศ์ตัว และ นายวิเชียร สุขภิรมณ์ หลังพบว่า บุคคลดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับเหตุยิงลูกระเบิดชนิดเอ็ม 79 ใส่พื้นที่การชุมนุม กปปส. บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริเมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งเหตุดังกล่าวมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 20 ราย และมีผู้เสียชีวิต 3 คน โดย 2 คนเป็นเด็ก คือ ด.ญ.พัชรากร ยศอุบล (น้องเค้ก) อายุ 6 ขวบ และ ด.ช.กรวิชญ์ ยศอุบล (น้องเคน) อายุ 5 ขวบ
แต่หลังจากนั้น ข่าวก็เงียบราวคลื่นกระทบฝั่ง ไม่มีการขยายผลการจับกุมว่า ใครเป็นผู้บงการ
หรืออีกคดีหนึ่ง เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 บิ๊กอ๊อดได้แถลงข่าวการจับกุมนายพีระพงษ์ หรือธานินทร์ สินธุสนธิชาติ อายุ 42 ปี ชาว จ.ระยอง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี ที่ 10 ก./2557 ลงวันที่ 25 มิ.ย. 2557 ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมของกลางเอกสารหลักฐานที่ น.ส.กริชสุดา คุณะเสน หรือเปิ้ล สหายสุดซอย นักกิจกรรมเสื้อแดง มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดหาอาวุธสงครามที่ใช้ก่อเหตุในช่วงชุมนุม ทั้งนี้ จากการสอบสวนนายพีระพงษ์ให้การรับสารภาพว่าได้ไปรับอาวุธสงครามมาจาก น.ส.กริชสุดา คุณะเสน หรือเปิ้ล สหายสุดซอย นักกิจกรรมเสื้อแดงซึ่งทาง คสช.ให้ไปรายงานตัว และกำลังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ
แต่หลังจากนั้น ข่าวก็เงียบราวคลื่นกระทบฝั่ง ไม่มีการขยายผลการจับกุมว่า ใครเป็นผู้บงการ
เฉกเช่นเดียวกับคดี พล.ท.มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาค 3 เพื่อน ตท.10 ของ นช.ทักษิณ ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้แค่ตั้งข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และเรื่องก็เงียบหายไป
สำหรับคดีจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงก็ไม่ได้มีการขยายผลหรือสาวให้ถึงผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเลยแม้แต่น้อย คดีนายจักรภพ เพ็ญแขก็ไม่มีความคืบหน้า เจ๊เพ็ญก็ยังคงหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ “ตั้ง อาชีวะ” ก็ยังไม่ถูกจับและไม่เห็นความกระตือรืนร้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการลากคอมาลงโทษ อั้ม เนโกะก็ยังลอยนวลและไม่มีวี่แววว่าจะทำอย่างไรได้
เสธ.น้ำเงินช่วยทำการบ้านต่อทีว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างถึงนิ่ง อยู่กับที่ราวกับถูกแช่แข็งเยี่ยงนี้
การบ้านข้อที่ 5
ปริศนาการเปิดสัมปทานรอบที่ 21
การบ้านข้อที่ 5 ข้อสุดท้ายเป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังเพิ่มอุณหภูมิความร้อนแรงออกมาเรื่อยๆ จากข้อมูลที่ถูกส่งผ่านออกมาถึงความไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะข้อมูลของ “รสนา โตสิตระกูล” สนช.ด้านการปฏิรูปพลังงาน
สนช.รสนาให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่า พื้นที่สัมปทานที่คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานนั้น มี 2 แปลงที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดงเนื่องเพราะ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลของไหล่ทวีป” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เอ็มโอยู 2554” ยังไม่ได้ถูกยกเลิก
นี่คือเรื่องใหญ่ของ “เสธ.น้ำเงิน” ที่ทำงานรับใช้หน่วยงานทางด้านความมั่นคง เพราะเรื่องดินแดนและเรื่องอธิปไตยถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ยิ่งเป็นรัฐบาลทหารด้วยแล้ว ต้องบอกว่า มีความสำคัญเป็นลำดับแรก
มิใช่ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าจะเจรจาผลประโยชน์เรื่องพลังงานกับสมเด็จฮุนเซ็ฯ โดยไม่สนใจในความชัดเจนเรื่องเส้นเขตแดน
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็มิต่างอะไรจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากตรรกะในการบริหารประเทศในยุคที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีและต่อเนื่องสืบทอดต่อมาก็ดำเนินไปในท่วงทำนองนี้
ราชอาณาจักรไทยไม่อาจยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เพื่อแลกกับขุมทรัพย์พลังงาน ซึ่งไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ผลประโยชน์จะตกอยู่กับประเทศชาติหรือประชาชนคนไทยสักกี่มากน้อย
สนช.รสนาอธิบายรายละเอียดเอาไว้ชัดเจนว่า “นักการเมืองที่มาบริหารบ้านเมือง ถ้าเห็นแก่ประโยชน์ของชาติ ย่อมต้องอาศัยการเจรจาให้มีการแก้ไขเส้นแบ่งเขตแดนให้ถูกต้องเสียก่อน แต่นักการเมืองที่เป็นกลุ่มทุนการเมือง จะไม่สนใจอธิปไตยของบ้านเมืองมากกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้า ซึ่งต้องตั้งข้อสงสัยว่าเป็นผลประโยชน์ของใครกันแน่? เหตุผลที่ว่ารัฐบาลไม่ควรเปิดสัมปทานรอบ 21 เพราะมีแปลงสัมปทาน 2 แปลงในสัมปทานรอบนี้ คือ G1/57 และ G2/57A ที่เกาะอยู่กับเส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธิ หากมีการให้สัมปทาน 2 แปลงดังกล่าว เท่ากับประเทศไทยยอมรับเส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธิโดยปริยาย รัฐบาลไทยโดยเฉพาะในยุคนี้ที่เป็นรัฐบาลทหาร จะต้องแก้ไขในสิ่งผิดที่รัฐบาลในสมัย พ.ต.ท ทักษิณ ได้สร้างปัญหาความสุ่มเสี่ยงไว้ต่ออธิปไตยด้านดินแดนทางทะเลของประเทศ ด้วยการประกาศยกเลิก MOU 2544 ในทันที ไม่ควรไปเจรจากับกัมพูชาเพื่อแสวงหาประโยชน์ด้านปิโตรเลียมก่อนที่จะแก้ไขเรื่องเส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธิอย่างไม่ถูกต้องเสียก่อน ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่ต้องเร่งสร้าง แต่เหนืออื่นใด อธิปไตยเหนือดินแดนไทยต้องรักษาไว้ให้มั่นคง”
การบ้านข้อนี้ ถือว่าเป็นโจทย์ใหญ่ที่เสธ.น้ำเงินจำต้องหาหลักฐานมาคัด ง้างข้อมูลของ สปช.รสนา มิใช่จะปล่อยให้ผ่านหูผ่านตาไปได้ เพราะฉะนั้นจะกลับกลายเป็นว่า เสธ.น้ำเงินที่ต่อต้านระบอบทักษิณกลับเห็นด้วยกับการเปิด สัมปทานซึ่งสุ่มเสี่ยงกับการทำให้ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดน
นี่ไม่นับรวมถึงกระแสข่าวเรื่อง “ขาใหญ่” ที่กำลังวิ่งเต้นผ่านกระทรวงพลังงานขอเข้าไปนั่งเป็นบอร์ด ปตท.แบบหน้าไม่อายอีกด้วย